..........
ตอนที่ 28 : ตะลุยทัวร์ตึกนรก #2
ริกมองไปยังบานพับประตูอลูมิเนียมที่พิงผนังอยู่ “นี่ล่ะคือโล่ของพวกเรา” มันพูด
“ความคิดดีนี่หว่า เอาประตูมาเป็นโล่เนี่ย” ผมเห็นด้วย “เฝ้าทางไว้นะ” ริกพูดเสร็จก็ปิดประตูเข้าไปในห้อง ปล่อยผมนั่งส่องกระจกดูพวกมันอยู่คนเดียว ปัง ! เกิดเสียงยิงปืนจากข้างใน ก่อนที่ประตูจะกระแทกเอนลงมายังห้องที่ผมอยู่
“เฮ้ย ! นึกว่าจะโดนกูแล้วไง” ผมตกใจเมื่อประตูเอนลงมา
ริกออกแรงดึงประตูกับเข้าไปในห้องของตน พวกข้าศึกเหมือนจะรู้ในสิ่งที่พวกเราพยายามจะทำต่างก็ระดมยิงมาจากทั้งสองฝั่งมากขึ้น “จะทำอะไรก็เร็วหน่อย มันเริ่มมีอุปกรณ์มากขึ้นแล้ว” ผมบอกเมื่อเห็นว่า รปภ.ฝั่งบันไดหนีไฟเริ่มมีโล่สูงเท่าตัว ตรงกลางมีช่องสำหรับยิงปืนโดยเฉพาะ เจ้าพวกนั้นเริ่มกล้าที่จะเข้ามาแล้ว ผมเหลือบไปอีกฝั่งก็มีเหมือนกัน แต่เนื่องจากทางเดินไม่ได้กว้างมากจึงขนาบโล่ได้แค่ประมาณ3 อันเท่านั้น
“ถ้ามีสไนเปอร์น้า ไม่รอดกูแล้ว” ผมพูด
“แต่ตอนนี้ไม่มีไง เอ้า มึงก็เอาประตูลงมาซะทีสิ จะได้ไปพร้อมๆ กัน” ริกบอก
ผมรีบทำตามมันทันทีเนื่องด้วยเวลาเหลือน้อยลงแล้ว ทุกครั้งที่ริกยิงออกไปจะมีเสียงดัง แกร้ง ! เกิดขึ้นแสดงว่าพวกมันมีเกราะแล้ว แถมยังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ด้วย
“ได้แล้ว ทีนี้มึงจะเอาไงต่อ ไม่มีเวลาแล้วนะ”
“มึงจะไปทางไหน” ริกถาม “กูว่าบันไดหนีไฟอาจจะพาเราขึ้นไปต่อได้” ผมเสนอ
“เราจะเอามันเป็นโล่ โดยเราอยู่ตรงกลางทั้งคู่ แล้วเราก็วิ่งดิ่งเข้าปะทะไปเลย” ริกอธิบาย
“มึงคิดได้ไงวะ” ผมทึ่งกับความคิดมัน “ฉลาดล่ะสิ” ริกพูดยอตัวเอง
“ไม่ฉลาดก็เสียสติแล้วล่ะ มาๆ !นับจบออกไปเลยนะ เดี๋ยวกูหันหน้าไปทางบันไดเอง”
“อย่าวิ่งเร็วล่ะ กูต้องวิ่งถอยหลังนะเว่ย” ริกพูด
“โอเค เอาล่ะนะ 1..2.....3 ! ” สิ้นเสียงนับ ผมกับริกก็ก้าวออกมาพร้อมกัน ทันทีที่พวกเราออกมาห่ากระสุนก็ระดมใส่เราไม่ยั้ง “โดนเยอะๆ ทะลุแน่เลยว่ะ” ริกพูดด้วยความตกใจ
“งั้นก็รีบเลย ย้ากกก !” ผมวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ตรงไปทั้งๆ ที่ไม่มองข้างหน้าเนี่ยแหละ แต่ก็ไม่ทิ้งระยะห่างจากริกมากจนเกินไป
กึ้ง ! วัตถุสองอย่างปะทะกันอย่างจัง ผมรู้ทันทีว่าอีกฝั่งของผมกระเด็นล้มลงไปนอนกระแทกกับพื้นแล้วแน่ๆฟังจากเสียงที่เหมือนจะชนต่อๆ ไปแล้วด้วย ผมจึงทิ้งประตูไว้ด้านข้างก่อนจะขึ้นค่อมโล่พลาสติกใสพร้อมกับยิงผ่านช่องลงไปโดนบริเวณหน้าอกของรปภ. คนหนึ่ง แล้วรีบดึงโล่ส่งไปให้ริกข้างหลังทันที
รปภ. สองสามคนข้างหน้าผมเริ่มลุกขึ้นมา ผมก็พุ่งเข้าใส่ เจ้าคนแรกที่ลุกขึ้นมาเสร็จผมไปอีกหนึ่งนัดที่หัวเต็มๆ ผมรีบหยิบโล่ที่พื้นขึ้นมากันกระสุนแบบประชิดได้อย่างหวุดหวิด ปัง ! แต่หมอนี่ก็พลาดแล้วที่ไม่มีโล่กำบัง ผมเลยจัดการได้ไปอีกคน
“หมดยัง ข้างหน้ากูมาเป็นสิบเลยเนี่ย !” ริกตะโกนพลางยิงตอบโต้ออกไป
ปัง ! “เหวอ !” ริกร้องลั่นก่อนทิ้งโล่ลง “แล้วมึงจะทิ้งโล่ทำไมเล่า!” ผมตะโกนก่อนหันไปหามัน
“มันเล่นสไนเว่ย !” ริกร้องตกใจ ทันทีที่ริกพูดผมรีบพุ่งกลับไปคว้าประตูอลูมิเนียมที่พวกเราเอามาด้วยขึ้นมากันข้างหน้ามันทันที แต่รู้สึกเหมือนมันจะช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก เพราะตัวผมกระเด็นไปข้างหลังจนไปชนกับริกพร้อมกับรู้สึกแปลบขึ้นมาที่หัวไหล่ขวา ก่อนจะเห็นเลือดตนเองไหลออกมาจากบาดแผลที่ไหล่
“รีบเข้าไปข้างในทางหนีไฟเร็วเข้า” ผมที่ยังล้มอยู่รีบตะโกนบอกริกให้รีบวิ่งขึ้นไป ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่เกราะกำบัง แต่ถึงมีก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ปืนสไนมันแรงกว่าของผมหลายเท่า ผมไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าหมดหนทางที่จะสู้หรือไม่มีแรงลุกกันแน่ ความเจ็บมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ผมเหลือบขึ้นไป เห็นริกยืนขึ้นที่ไหล่มันไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก นี่ถึงกับทะลุสองคนเลยรึเนี่ย ผมคิดในใจ
ปึก ! โล่ถูกวางทับบนตัวผม ฝีมือริกนั่นเอง ก่อนจะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนลาก ก็ริกอีกนั่นแหละจะมีใครได้ “มึงอย่าเพิ่งยอมแพ้สิวะ! อั้กก” ริกที่กำลังลากผมอยู่โดนยิงเข้าที่ขาอีกหนึ่งนัดสไนเปอร์แน่ๆ ฟังจากเสียงที่ดังก้องหูขนาดนี้ มันทรุดลงกองกับพื้นแต่ก็ไม่วายจะพยายามลากผมต่อ เหลืออีกนิดเดียวก็จะถึงทางเข้าบันไดหนีไฟแล้ว ผมเห็นป้ายไฟอยู่ถัดจากหลังมันไปไม่ไกล “วันนี้มึงเป็นฮีโร่ว่ะ ริก” ผมพูด พยายามรวบรวมแรงเท่าที่มีลุกขึ้นอีกครั้ง
“ปล่อยกูได้แล้ว กูไปเองได้” ผมบอก
“หรอ แล้วที่กูลากมึงตั้งนานนี่คืออะไร” ริกย้อน
สภาพพวกเราสองคนดูไม่ต่างจากพวกใกล้ตายเท่าไหร่นักผมลุกขึ้นพยายามกดบาดแผลที่ไหล่เพื่อห้ามเลือด “ไม่ต้องเอาเกราะแล้ววิ่งอย่างเดียว” ผมบอกก่อนที่ริกจะหันหลังวิ่งตามที่ผมบอก แต่มันก็ฮวบทันทีเนื่องด้วยโดนยิงที่ขาไป ผมวิ่งเข้าไปโอบมันก่อนจะพากันวิ่งไปข้างหน้า พวกเราสองคนหันปืนกลับมายิงส่งๆ ไปข้างหลัง ซึ่งก็แปลกที่พวกมันไม่ยิงพวกเราต่อกลับปล่อยให้พวกเราวิ่งเข้าบันไดหนีไฟซะอย่างนั้น
“ทำไมพวกมันไม่ไล่เราต่อล่ะ ไม่ก็ยิงพวกเราซะให้จบๆ” ริกถามขณะผมพยายามออกแรงเท่าที่มีในการพยุงมันขึ้นบันไดไปสู้ชั้นสิบสอง ซึ่งเป็นดังคาด มันมีบันไดไปต่อ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าไปยังชั้นที่สิบสองได้ง่ายๆรึเปล่าเพราะถ้าเป็นแบบที่ซิลว่าบอกมา นั่นหมายความว่าที่เจ้าพวกนั้นไม่ไล่เราต่อเพราะรู้ว่าไม่ว่าเราจะขึ้นบนลงล่างก็ต้องเจอกับรปภ. ที่เฝ้าประตูเหล็กหนาแต่ละชั้นอยู่ดี
“มันคงคิดว่าพวกเราไปไหนไม่ได้ไกลแล้วมั้ง” ผมเอ่ย เราสองคนขึ้นมาถึงชั้นพักของบันไดก่อนจะถึงประตูชั้นที่สิบสองที่ตอนนี้อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปอีก ผมบอกให้ริกรีบปฐมพยาบาลตนเองซะ ซึ่งผมก็จะทำเหมือนกัน
“กระสุนไม่ได้อยู่ที่กู งั้นก็หมายความว่าอยู่ที่มึงน่ะสิ” ผมถามขณะหยิบขวดยาขึ้นมาจากเป้
“ใครบอกที่กูก็ไม่มี ที่ขาก็ไม่มี” ริกตอบ “ปืนมันแรงเว่อร์ไปแล้วโดนทีวิญญาณแทบออกจากร่าง มึงนี่ก็โหดโดนไปสองนัดยังจะยืนไหวอีก” ผมพูด
“คนมันจะตายทำได้ทุกอย่างน่ะแหละ” ริกพูดพลางยกขวดยาขึ้นดื่ม
“นี่พวกมันประมาทเราไปอย่างนึงนะ เรื่องที่คิดว่าเราไม่มียาเนี่ยแหละ” ริกบอก
“ก็จริงแฮะ เล่นไม่ขึ้นมาไล่ต่อด้วยนะ มันจะหยามกันไปหน่อยมั้งเนี่ย” ตอนนี้แผลผมเริ่มสมานตัวแล้ว ด้วยฤทธิ์ของยาที่ซื้อมาซึ่งยังเหลืออยู่อีกสองขวดแต่ริกมันเหลือแค่ขวดเดียวแล้ว
“สงสัยมึงต้องเอาสเปรย์มาพ่นๆ อีกหน่อยล่ะมั้งใช้ขวดเดียวมันเลยหายไม่สนิทไง” ผมบอกมันเมื่อเห็นว่าบาดแผลมันยังไม่หายดีเท่าไหร่ก่อนจะหยิบแม็กสำรองขึ้นมาเตรียมกระสุนไว้
“ก็ต้องงั้นแหละ ว่าแต่จะเข้ายังไงล่ะนั่น ดูดิ ประตูมันแค่เห็นก็รู้แล้วไม่ใช่รึไงว่าโคตรจะแข็งแรง” ริกพูด ตอนนี้ร่างกายเราสองคนดีขึ้นมากแล้วต้องบอกว่ายาที่ไอ้บริษัทนี้มันผลิตขึ้นมาแทบจะเป็นของที่โลกข้างนอกยังไม่มีคนคิดว่าจะเป็นจริงได้ด้วยซ้ำแต่เจ้าของเกมส์นี้กับไม่ได้สนใจจะช่วยเหลือมนุษย์แม้แต่น้อย กลับคิดจะสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นมาอีก ซึ่งแค่ไอ้ยานี่ก็ทำให้ตนขึ้นไปอยู่เหนือผู้อื่นได้ตั้งเยอะแล้วแท้ๆ
“ไม่ก็มีอีกทางหนึ่ง ช่องข้างบนของตัวลิฟต์ไงเราก็เปิดช่องแล้วปีนขึ้นไปข้างบนแล้วขึ้นทางประตูลิฟต์ของอีกชั้นหนึ่งได้” ผมเสนอ
“ลิฟต์มันถึงแค่ชั้น 11 มันจะขึ้นไปต่อได้ไง” ริกถาม
“แล้วก่อนหน้านี้ที่มึงพยายามจะหนีเข้าไปในลิฟต์มึงไม่เห็นรึไงว่ามันบอกว่าอยู่ชั้นอะไร” ผมย้อนถาม
“ใครมันจะไปมองล่ะวะ มึงเห็นรึไง” ริกถามกลับ “เปล่าหรอก แต่ตัวลิฟต์อาจจะออกแบบมาให้เฉพาะพวกระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงโปรแกรมให้ขึ้นไปยังชั้นบนได้ไง”ผมอธิบาย
“ก็อาจเป็นได้ สรุปแผนมึงคือจะออกไปฉะกับพวกมันเพื่อเข้าลิฟต์ใช่มั้ย”ริกถาม
“คงงั้นแหละ” ผมตอบพลางยัดแม็กสำรองไว้ข้างหลัง “แต่กูว่าเราทำทีเป็นยอมแพ้ตรงหน้าประตูแล้วรอมันเปิดแล้วค่อยจัดการไม่ดีกว่าหรอวะมันน่าจะง่ายกว่านา” ริกเสนอ
“นั่นสินะ อาจปะทะน้อยลงหน่อย” ผมพูดพลางไตร่ตรองแผนที่มันเสนอมา
“เราก็แค่ไปหน้าประตู ทิ้งปืนให้มันเห็นแต่แอบเหน็บมีดไว้ไงพอเราเข้าไปข้างในเราก็เล่นเลย” ริกอธิบาย “แผนมึงดีนี่หว่าไม่ต้องเหนื่อยปีนด้วย เอาตามที่มึงว่าละกัน” ผมตกลง
เมื่อแผลโดนยิงหายอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ยาแล้ว เราสองคนก็ลุกขึ้นสะพายเป้ ต่างก็เหน็บมีดไว้ที่ข้อเท้าตามแผน ก่อนจะเดินขึ้นไปยังหน้าประตูขึ้นชั้น12 ซึ่งเป็นประตูเหล็กท่าทางแข็งแรง ตรงกลางมีกระจกซึ่งคงเป็นกระจกกันกระสุน สามารถมองผ่านเข้าไปได้ ผมเห็นคนเดินผ่านหน้ากระจกไปแวบนึงก่อนที่พวกเราจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ทำท่าทางเจ็บตัวไว้ มันยังไม่รู้ว่าเรามียา” ผมพูดเสร็จก็ใช้ปืนเคาะประตูเหล็กสองสามทีไม่นานใบหน้า รปภ. ก็โผล่มาตรงช่องกระจก ทันทีที่รปภ. เห็น เราสองคนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำทีว่ายอมแพ้แล้ว เจ้านั่นทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะหายไป สงสัยคงไปปรึกษาเพื่อน
“ที่มันไม่ไล่เราต่อเพราะมันรู้ว่าเราต้องเลือกสักทางที่มีพวกมันอยู่สินะ” ริกพูด
“ทิ้งปืนซะ !” เสียง รปภ. ดังขึ้นจากลำโพงตรงไหนสักแห่ง พวกเราสองคนทำตามทันทีโดยการโยนปืนไปข้างหลัง ไม่นานประตูก็ค่อยๆ เลื่อนออกแต่ไม่ถึงกับสุด แค่ครึ่งหนึ่งของประตูเท่านั้นหนึ่งใน รปภ.สั่งให้เราเดินเข้าไปข้างในซึ่งเป็นทางเดินที่กว้างกว่าชั้นที่แล้วเล็กน้อย พวกเรายืนอยู่สุดทางของชั้นเหมือนกับชั้นที่แล้วต่างกันตรงที่ชั้นนี้ไม่มีห้องเยอะเหมือนชั้น 11
“วางกระเป๋าไว้ที่พื้น แล้วหันหน้าเข้าหากับแพงซะ !” รปภ. พูด พวกเราวางเป้ลงกับพื้นก่อนจะหันหลังเข้าหากำแพงตามที่สั่ง หนึ่งในรปภ.หยิบกุญแจมือจากข้างตัวขึ้นมา ผมหันไปสบตาริก ซึ่งตอนนี้พวกเราต่างก็กำลังจะถูกใส่กุญแจมือแล้ว ผมรอจังหวะที่รปภ. ทั้งสองต่างก็อยู่ข้างหลังเราสองคนและเอื้อมมือมาใกล้กับข้อมือผมมากที่สุด
เมื่อได้เวลา ผมกับริกถีบเท้าเข้ากับกำแพงด้านหน้าทำให้เราพุ่งกระแทกรปภ. ที่อยู่ข้างหลังจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงอีกฝั่ง เราสองคนหันขวับทันทีก่อนจะพุ่งเข้าประชิดตัวผมปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้า รปภ. คนข้างหลังผมที่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นตั้งตัวจนลงไปนอนกับพื้น ก่อนปล่อยอีกสองสามหมัด แล้วพยายามจะหยิบปืนข้างเอวของเจ้าคนนี้ แต่เจ้าหมอนี่ก็รู้ทันจึงรีบกระแทกเข่าพร้อมกับโยกตัวส่งให้ผมหงายหลังข้ามหัวเจ้าหมอนี่ไปทันทีที่ตั้งตัวได้ผมรีบชักมีดในจังหวะที่เจ้าหมอนั่นกำลังจะหยิบปืนออกมาจากซองข้างตัว แต่โชคดีที่เจ้าคนนี้มันเพิ่งมาเป็น รปภ.หรืออย่างไรไม่รู้ กลับตะกุกตะกักกับการหยิบปืนออกจากซองปืนนานไปหน่อย
ผมใช้โอกาสนี้วิ่งพุ่งเข้าไปแทงมีดเข้าที่ท้องจนมิดด้ามร่างเจ้า รปภ. พลันกระตุกเมื่อมีดเสียบผ่านท้องเข้าไป ผมชักมีดออกพร้อมกับของเหลวสีแดงข้นที่ไหลออกมาตามรอยมีด หมอนี่ทรุดลงไปนอนคว่ำกับพื้นพร้อมกับมือที่ห้ามเลือดไว้ ผมรีบหยิบปืนออกจากข้างเอวทันที เพื่อความไม่ประมาท อีกสักพักมันก็คงตายด้วยอาการเสียเลือดแล้ว ผมจึงหันไปมองการต่อสู้ของริกที่ยังคงนัวเนียไปมาอยู่กับพื้นผมชูปืนที่หยิบขึ้นมาได้ขึ้น
“เอาล่ะ พอได้แล้วถ้ายังไม่อยากตาย” ผมบอก รปภ. อีกคนที่เหลือจนเจ้านั่นยอมลดมือลงหลังจากกำลังจะปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าริก เจ้านั่นลุกขึ้นยืน ผมบอกให้มันหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนที่สั่งพวกเรา ฉึก ! ทันทีที่หันหลังและนาบมือไปกับผนัง ริกก็พุ่งเข้าเสียบมีดเข้าที่ข้างลำคอจนเกือบมิดด้ามก่อนจะดึงออก เลือดทะลักออกมาทันทีเกือบจะเรียกว่าพุ่งก็ว่าได้
“ทำไงได้ ถ้าใช้ปืนก็เสียงดังสิเนอะ” ริกพูดเหมือนไม่มีทางเลือกก่อนจะหยิบปืนข้างเอวเจ้าหน้าที่ที่มันเพิ่งฆ่าไปมาเหน็บไว้ข้างหลังเหมือนกัน“เราคงออกไปเอาปืนที่โยนไปไม่ได้แล้วล่ะ” ผมบอก
“ทำไมล่ะ” ริกถาม “นี่ไงมันมีที่ให้ใส่รหัสผ่านด้วยน่ะสิโคตรจะแน่นหนาเลย” ผมตอบ
“โอ๊ะ โอว ~ เหมือนงานจะมาหาแล้วนะ” ริกพูดขึ้น ผมรีบมองตามมันไปนอกกระจกประตูที่เราเพิ่งเข้ามาก่อนจะเห็นกลุ่มรปภ. ที่ตอนนี้ขึ้นมาอยู่หน้าประตูแล้ว
“พวกแก ! อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลย !” คนตรงกลางที่ยืนประจันหน้ากับเราผ่านช่องกระจกตะโกนข้ามประตู
“ไปเหอะริก” ผมดึงริกออกจากหน้าประตูที่เต็มไปด้วยรปภ. ที่ไล่ฆ่าเราเมื่อกี้
“ดักรอที่ลิฟต์มั้ยละ พวกมันอาจจะขึ้นลิฟต์มาเพราะมันมีแค่สองทางที่เข้ามาได้นี่” ริกพูด
“ไม่ต้องหรอก เรารีบเข้าไปห้องข้างหน้านี่ดีกว่า” ผมตอบ ออกตัววิ่งโดยมีริกวิ่งตามมาข้างหลัง
ทั้งทางเดินชั้นนี้มีอยู่แค่ประตูเดียวตรงข้ามกับตัวลิฟต์ ซึ่งก็ไม่รู้จะออกแบบทางเดินข้างหน้าห้องไปทำไม ผมบอกริกให้เตรียมตัวก่อนยิงลูกบิดประตูทิ้ง ริกกระแทกตัวเข้าห้องไปโดยมีผมระวังให้อยู่หน้าประตู ผมรีบก้าวเข้าไปในห้องเมื่อริกบอกว่าไม่มีคนก่อนหันกลับไปปิดประตูถึงแม้จะล็อคไม่ได้แล้วก็ตาม
ภายในห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับหอควบคุมการบินของพวกนักบินแม้แต่น้อย ในห้องเต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์มากมายนับสิบที่แสดงค่าอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ยังมีตู้ที่มีแผงไฟคอยกระพริบไปมาตั้งเรียงรายชิดกันหลายสิบตู้ ถัดไปลึกหน่อยก็มีเครื่องควบคุมอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ ตัวเครื่องมือ ตู้ หรือแทบจะทุกอย่างออกแบบมาให้เป็นสีเทาแกมดำของเหล็ก ไฟในห้องนี้สว่างไม่เท่ากับข้างนอกจะสว่างเฉพาะจุดที่มีส่วนที่เอาไว้ควบคุมและปฏิบัติการเท่านั้นส่วนอื่นๆ ก็จะเป็นไฟอ่อนๆแทน
“ไม่เห็นจะมีพนักงานควบคุมเลยว่ะ” ริกพูด ซึ่งผมก็ยังมองไม่เห็นเหมือนกันแต่ก็ยังระวังตัวไว้
“ค่อยๆ เดินเข้าไป หาที่หลบหน่อยก็ดี มายืนอยู่หน้าทางเข้ามันก็ยังไงๆ อยู่” ผมบอก
ผมเดินตามริกที่ไม่รู้พาผมไปไหน พวกเราเลี้ยวไปตามทางนู้นทีทางนี้ทีแบบไม่มีจุดหมาย ระหว่างเราทั้งสองคนเป็นตู้ที่เต็มไปด้วยสวิตซ์และแผนวงจรมากมายหลายตู้ ก่อนที่ริกจะเบรกกะทันหันเมื่อข้างหน้าเป็นส่วนที่เปิดไฟไว้
“ชู่ว มีคน” ริกกระซิบบอก
“กลับทางเดิมๆ” ผมกระซิบกลับ แต่พวกเราเดินออกห่างออกมาได้ไม่กี่ก้าวผมกับมันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนอยู่ใกล้ๆพวกเราซะแล้ว
“เอาแล้วไง” ริกพูดขึ้น
“ใจเย็นน่า” ผมพยายามควบคุมสติและคิดหาทางออก
“ไฟฉายยังอยู่ใช่มั้ย” ผมกระซิบถาม “ต้องใช้ด้วยหรอวะ” ริกย้อนถาม
“ใช้ดิ ถ้าเราปิดระบบไฟทั้งสองข้างตัวเรานี่ไง ยังไงก็ต้องปิดอยู่แล้วนี่ ปิดมันซะเลยพวกมันก็มองเราลำบากขึ้นด้วย” ผมบอก
“และเราก็มองมันลำบากด้วย” ริกเสริม
“อันนั้นมันก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าโดนเจอล่ะน่า” ผมพูดพร้อมกับค่อยๆ กดปุ่มข้างๆ ตัวลงไปปุ่มหนึ่งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ริกเลยลองทำมั่ง พวกเรากดปุ่มทุกปุ่มข้างตัวไปเรื่อยๆอะไรที่มันเป็นคันโยกพวกเราก็ดึงลงให้หมดจนไฟบนแผงรอบๆ ที่เราอยู่หายไปหมด
ฟุ่บ ! ทันทีที่ผมดึงสวิตซ์ตัวหนึ่งลงไฟในห้องก็มืดลงมาอีก “มันไปดับตรงไหนของมัน” ผมสงสัย “แค่ดึงลงมาให้หมดก็พอน่า” ริกดึงสวิตซ์รอบตัวผมลงจนหมดไฟในห้องเริ่มดับทีละดวงๆ ไล่มาเรื่อยๆ จนพวกเรายืนอยู่ในห้องที่มืดสนิท “ทีนี้แหละของจริง” ริกพูดขึ้นเมื่อตอนนี้ไฟเกือบครึ่งห้องถูกดับลง ผมคิดว่าสวิตซ์คงมีหลายส่วนแน่ๆ ซึ่งเราต้องไปปิดให้หมด
“เฮ้ย ! ใครเล่นอะไรวะ” เสียงคนคุมมอนิเตอร์ตะโกนขึ้นเมื่อหน้าจอตรงหน้าตนดับลง
“เอาล่ะทุกคน ติดไฟฉายไว้ แล้วกระจายกันไปหาไอ้สองตัวนั้นซะ !” เสียงซึ่งไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าเป็นไอ้กลุ่มรปภ. กลุ่มนั้นแน่ๆ ที่คงเพิ่งมาถึง คราวนี้ยกกันมากี่คนก็ไม่รู้
“พวกมันมากันแล้ว ระวังไว้ด้วย พวกนี้ไม่ได้มีแค่ปืนสั้นแล้ว” ริกเตือน
“แล้วเรามีอะไรมั่งวะ” ผมถาม “ปืนสั้นกับมีดไง” ริกตอบ
“อาวุธพื้นฐานสินะ” ผมพูด ก่อนจะหันหลังกลับไปทางที่ริกไม่กล้าออกตอนแรก เพราะมีคนอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆ เดิน เพราะมองเห็นสภาพรอบตัวไม่ชัด เห็นเป็นแค่เงาดำไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่าไหร่ต่างกับอีกฟากของห้องที่เรายังไม่ได้ปิดไฟ ที่ตอนนี้ยังคงสว่างโร่อยู่
“รู้สึกเหมือนมันกำลังจะเดินมาทางเรานะ” ริกกระซิบเมื่อเห็นเงาท่าทางเดินตรงมาทางนี้
“แหงล่ะ ก็ตรงนี้มันแผงควบคุมไฟนี่” ผมพูดก่อนจะชักมีดออกมา “เอามีดไปสู้กับปืนเนี่ยนะบ้ารึไง” ริกกระซิบ “จะยิงเลยรึไงล่ะ พวกมันก็รู้น่ะสิว่าเราอยู่ตรงไหน จะได้แห่กันมาสู้ลากไปจัดการทีละคนสองคนไม่ดีกว่ารึ” ผมบอก
“แล้วแต่วุ้ย” ริกเก็บปืนก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาบ้าง ผมบอกให้มันก้มลงเพื่อที่เราจะได้ย่องเข้าไปหาได้ ดูจากเงาที่เคลื่อนไหวแล้วมีไม่เกิน 3
ผมกับริกย่องออกมายังพื้นที่โล่งซึ่งเป็นที่ที่มีแต่จอที่ดับสนิท พวกเราอาศัยย่อตัวลงพิงตามอุปกรณ์เพื่อที่เงาจะได้ไม่ผิดสังเกต ด้วยความมืดเหมือนกับว่าพวกเรานั่งยองๆ มองเจ้าพวกพวกนี้ที่เหมือนกำลังพยายามกู้ระบบอยู่โดยที่พวกเราไม่มีแม้แต่ที่กำบังแม้แต่น้อย เงาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังแผงไฟที่เราปิดไปเมื่อสักครู่ ผมสะกิดริกให้มันไปจัดการซะก่อนที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของอีกสองคนอยู่
"อ้าก !" เสียงร้องของพนักงานดังขึ้นตามมาไม่นานหลังจากผมสะกิดให้ริกไปจัดการ ทำเอาสองคนที่เหลือต่างก็มุ่งหน้าไปยังทิศที่ริกอยู่ ผมที่คอยมองอยู่ รีบวิ่งเข้าใส่คนสุดท้ายทันทีโดยที่เจ้าคนเเรกยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพื่อนข้างหลังหายไป ผมวิ่งเข้าไปเเทงมีดเข้าใต้ชายโครง ร่างตรงหน้าร้องลั่นออกมาโดยความเจ็บปวด เเต่ผมก็สกัดขาล้มลงก่อนจะกระเเทกมีดลงไปอีกจนเเน่นิ่งไป
ปัง ! เงาอีกร่างพลันล้มลง ผมรู้ทันทีว่าริกมันใช้ปืนซะเเล้ว "ใช้ปืนทำไมเนี่ย" ผมถามออกไป เริ่มเกิดเสียงฝีเท้าของเจ้าหน้าที่มาทางนี้มากขึ้น "มันเเห่กันมาตั้งเเต่เสียงร้องเเล้ว" ริกตอบ เเสงไฟข้างหลังพลันสว่างขึ้น ทำเอาผมเห็นกลุ่มรปภ. ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ผ่านช่องของตู้วางของ ริกหันไปจัดการเจ้าหน้าที่คนเเรกที่ยังไม่ตายก่อนจะยิงเเผงวงจรไฟทั้งสองข้างที่เจ้านั่นมันเปิดอีกรอบทำเอารอบบริเวณมืดขึ้นอีกครั้ง
“ทำลายทิ้งซะก็จบ” ริกพูดก่อนจะบอกให้ผมไปต่อ
พวกเรากึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย ผมบอกริกไปว่าจะวิ่งไปตัดไฟอีกส่วนหนึ่งให้หมดแล้วค่อยจัดการเจ้ายามที่ตามเรามาพวกนี้ พวกเราเกือบหลงกันอยู่หลายรอบเนื่องจากมันมืดมากอีกทั้งยังมีทางแยกไปมาหลายทางจนสับสนไปหมด ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าเราอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าเสียงยามที่ตามมามันหายไปอีกแล้ว ผมจึงหยุดพักเหนื่อยอยู่ตรงไหนสักแห่ง
“พวกมันนี่ก็แปลกเนอะ พวกเราวิ่งยังเห็นเงาพวกมันเลยแต่นี่อะไรมันกลับไม่เห็นเงาพวกเรารึไง” ริกถาม
“บางทีพวกนั้นมันอาจจะระดมพลไปซ่อมเครื่องก่อนก็ได้มั้งเพราะมันเป็นหัวใจของตึกเลยนี่” ผมตอบ
“มันก็จริง ไม่งั้นไอ้พวกซอมบี้ข้างล่างมันอาจจะตื่นก็...ได้...” ริกพูดเสร็จก็เงียบทันที
“นั่นไง ! หางานให้ตัวเองอีกแล้วไง กูว่าและทำไมมันไม่ค่อยสนใจพวกเราเท่าไหร่”ผมบอก
“แล้วจะเอาไง ยังคิดจะตัดไฟอีกมั้ย” ริกถาม “ตัดดิ เพราะตอนนี้พวกมันยังทดลองไม่เสร็จนี่ถ้าปล่อยให้สมบูรณ์ตอนนั้นอาจจะลำบากเรากว่านี้ก็ได้” ผมตอบ
“งั้นพวกเราก็รีบไปต่อเถอะ” ริกว่า
พวกเรามุ่งหน้าไปยังแสงไฟของส่วนที่เหลือซึ่งข้างหลังเราก็มีแสงของไฟฉายแวบไปแวบมาเหมือนอยู่ในผับทีเดียวเจ้าพวกนั้นคงซ่อมกันยากหน่อยล่ะก็พี่ริกแกเล่นยิงจนวงจรระเบิดเลยนี่ ผมบอกให้ริกหยุดเมื่อเห็นว่าส่วนของห้องที่ยังมีแสงไฟมีเจ้ายามเหล่านั้นที่ไม่ยอมไล่จับเรามารวมกันเฝ้าระวังอยู่ตรงส่วนนี้
“มาอยู่นี่กันนี่เอง” ผมพูดขึ้น “เอาไงล่ะ” ริกถาม
“นี่มึงจะถามอย่างเดียวเลยใช่มั้ย” ผมพูดก่อนจะสอดส่องหาตู้หรืออะไรก็แล้วแต่ที่รวบรวมระบบไฟเอาไว้
“นั่นไง อยู่ข้างหลังเจ้าพวกนั้นเข้าไปอีก” ริกกระซิบบอกเหมือนรู้ว่าผมหาอะไรผมมองลอดช่องตามไปเห็นตู้ที่เต็มไปด้วยสวิตซ์ไฟมากมายซึ่งอยู่หลังเจ้าหน้าที่นับโหลเหมือนกัน
“ถ้ามีสไนคงจะง่ายกว่านี้” ผมพูด “แต่ตอนนี้ไม่มีไง” ริกย้ำ
“ไอ้นี่ก็ขัดกูตลอดเลยวุ้ย เอาระเบิดที่มึงซื้อมาดิ๊” ผมบอกริกให้หยิบระเบิดที่มันซื้อมา
“มึงคิดดีแล้วนะที่จะใช้น่ะ” ริกถาม “ระเบิดหลอกไงทำให้พวกมันเขวเฉยๆ” ผมตอบก่อนจะรับระเบิดมาจากริกแล้วนำมาแบ่งกัน
“ต้องมีพวกมันสักคนรู้แน่ว่าระเบิดถูกปามาจากไหน แต่ไงเราก็จะปาอยู่ดี” ผมพูด
“แล้วจะพูดทำไม ว่าแต่มึงจะปาไปตรงไหน” ริกถาม “ซ้ายขวาหน้าหลังเอาแบบง่ายๆ เลย กูหน้าหลังมึงเอาซ้ายขวาไป” ผมอธิบายแผนการก่อนเริ่มนับ
สิ้นเสียงนับผมปาลูกแรกไปหน้ารปภ. คนหนึ่ง เจ้านั่นตกใจสุดขีดก่อนที่ระเบิดลูกแรกจะระเบิดขึ้น ส่วนริกปาไปซ้ายขวาไรเรี่ยกัน ทำเอาตอนนี้แตกตื่นหมดทั้งบริเวณ ถึงแม้อานุภาพจะไม่เท่าระเบิดขนาดจริง แต่แค่นี้ก็ทำเอาเกิดแผลเหวอะหวะได้แล้ว ผมปาลูกสุดท้ายไปกลางวงทำเอาเจ้าหน้าที่เกือบสิบกว่าคนตรงนั้นโดนแรงระเบิดบ้างล้มบ้างกระเด็นไปกระแทกเกิดเสียงร้องโอดโอยระงม “เอาเลย !” ผมบอกริกก่อนจะเปิดฉากยิงเจ้าหน้าที่ตรงหน้าล้มลงไปหนึ่งคน
“นั่น ! ไอ้สองคนนั้นมันอยู่หลังตู้เอกสาร !” รปภ. คนหนึ่งตะโกนขึ้นบอกพรรคพวก
เปร้ง ! เสียงกระสุนกระทบเหล็กเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด ผมกับริกตัดสินใจร่นถอยออกมาผมบอกมันให้อ้อมไปข้างหลังผมจะดึงความสนใจไว้ให้แต่ก็บอกให้มันระวังเจ้าหน้าที่คนอื่นไว้ด้วย
“เฮ่ยๆๆ !” ผมตกใจเมื่อตู้เอกสารข้างๆ ทำท่าจะหล่นลงมาทับ กึ้ง ! แต่ตู้มันดันหล่นลงมากระแทกพาดอยู่กับอีกตู้หนึ่งแทน ผมก้มตัวลอดผ่านออกมาก่อนจะออกมาหาที่กำบังให้ดีกว่าเดิม
“อึ้ก !” อยู่ๆ ก็มีมือมาล็อคคอผมจากด้านหลัง ผมกระแทกศอกกลับไป มันปล่อยมือ ผมหันไปหมายจะยิงให้จบๆแต่เจ้านี่ก็ถีบยันมาตรงๆ ส่งผมลอยไปกระแทกกับพื้น
ผมรีบลุกขึ้นแต่มันไม่ปล่อยโอกาสให้ผมตอบโต้ มันคว้าคอเสื้อผมยกขึ้นก่อนประเคนหมัดเข้าหน้าผมอย่างจัง ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าจนผมเริ่มสติไม่อยู่กับตัวแต่ผมก็ไม่ยอมโดนเล่นฝ่ายเดียวแน่ ผมใช้ท่าเดียวกับรปภ. คนอื่นๆ ที่ใช้กับผมคือใช้เท้ายันก่อนจะส่งตัวคนที่ค่อมอยู่เด้งไปข้างหลัง ทันทีที่เจ้านั่นเด้งไปผมรีบลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาปืน“อ้ากก !” ยังไม่ทันจะได้จับปืน กระสุนปริศนาก็แฉลบผ่านแขนผมไป
ผมตัดสินใจลุกหันหลังวิ่งไปหาที่หลบก่อนแต่กระสุนลูกที่สองก็ลั่นตามมาติดๆ โดนขาผมเต็มๆ ทำผมทรุดลง แต่มือยังเท้าอยู่กับโต๊ะ ผมตัดสินใจปล่อยมือแล้วนอนลงแทน ถ้าคิดจะไปต่อมันต้องยิงมาอีกแน่ผมเลยตัดสินใจนอนคว่ำลงไป
……….
ฉึก ! มีดปักเข้าที่กลางหน้าอกของเจ้าหน้าที่ที่กำลังวุ่นอยู่กับการควบคุมระบบอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ “คิดว่ามีคนคุ้มกันแล้วจะรอดพี่ริกคนนี้ไปได้รึไงวะ” ริกพูดกับตนเองก่อนก้มหลบกระสุนที่ระดมยิงมาทางนี้ พวก รปภ. เริ่มบุกเข้ามาหมายจะจัดการริกให้ได้
“มันต้องยังงี้... เอานี่ไปกินซะ !”
ตู้ม ! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นไปทั้งห้อง ตู้เหล็กที่ริกหลบอยู่ข้างหลังถูกแรงอัดระเบิดกระแทกเข้าใส่อย่างจังจนไปกระแทกเข้ากับตู้ข้างหลังอีกที บริเวณส่วนปฏิบัติการณ์โดนแรงระเบิดอัดเละเทะไปหมด เกิดไฟไหม้ขึ้นตามสิ่งที่พอจะติดไฟได้
“กรรม นี่กูปาระเบิดผิดหรอเนี่ย” ริกพูดกับตนเองก่อนจะคลานออกจากตู้ที่หล่นลงมาพาดระเกะระกะไปหมด “พวกนั้นคงตายไปแล้วมั้งเนี่ยระเบิดซะเละขนาดนี้ หวังว่าไออ๋องคงไม่อยู่แถวนั้นหรอกนะ” ริกคลานออกมาก่อนจะเดินกะเผลกไปยังแผงควบคุมระบบไฟ
เปร้ง ! “อึดกันจริงเว่ยพวกนี้” ริกย่อตัวลงต่ำเพื่อหลบวิถีกระสุนก่อนจะยิงไปยังแผงวงจรข้างหน้าตนจนเกิดเสียงเปรี๊ยะ ! แล้วก็ระเบิดขึ้น ฟุ่บ ! ไฟทั้งหมดดับลง เสียงเครื่องจักรต่างๆ พลันเงียบทันที ได้ยินแต่เสียงปะทุของไฟที่ยังคงไหม้สิ่งของอยู่ ทุกอย่างในห้องมืดสนิท มีแต่แสงไฟจากกองไฟที่ยังไหม้ที่ยังคงส่องสว่างชัดเจนในที่มืด
……….
ปัง ! ผมจัดการยิงเจ้าหน้าที่ที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ ต้องขอบใจระเบิดไอริกอย่างมากที่ทำเอาไอ้เจ้าชายปริศนาลอยไปกระแทกกับตู้ก่อนจะโดนตู้หล่นลงมาทับดับอนาถไป ผมพยุงตัวก้าวข้ามเศษซากที่โดนแรงระเบิดจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมยิ่งอยู่ในที่มืดยิ่งมองไม่ออกเข้าไปใหญ่ว่าเป็นอะไรมาก่อน
“ไอริก !” ผมตะโกนเรียกออกไปเบาๆก่อนจะหามุมนั่งดีๆ เพื่อจะได้รักษาแผลของตนได้ถนัดและปลอดภัยจากข้าศึก “อยู่ไหนของมึงวะ” ผมได้ยินเสียงริกกระซิบตอบ
“อยู่หน้ามึงนี่ไง มองลงมาดิ” ผมพูดก่อนจะควานหาขวดยาในกระเป๋าโดยใช้ไฟจากกองเพลิงที่ยังไม่มอดลง
“นี่มึงโดนยิงหรอเนี่ย” ริกถาม
“เออดิ ! ใครก็ไม่รู้อยู่ดีๆ ก็โดดล็อกคอกูเฉย” ผมตอบก่อนจะกระดกยาลงไปรวดเดียวหมด “เอาสเปรย์มึงมาด้วย” ผมบอก
“เยอะนะมึงเนี่ย” ริกพูดก่อนจะส่งขวดสเปรย์ให้
“ใครจะดวงดีเหมือนมึงล่ะ ไม่ตายด้วยแรงระเบิดตัวเองก็บุญและ” ผมพูดก่อนจะฉีดสเปรย์บริเวณแขนที่โดนยิงจนบาดแผลเริ่มสมานตัว
“แล้วทีนี้จะเอาไงต่อ” ริกถาม
“เราคงต้องขึ้นไปชั้นบนเพื่อจับตัวคนบงการแผนนี้” ผมพูด
“อืม งั้นก็ไปต่อเถอะ” ริกพูดจบก็ลุกขึ้น
“มึงจะรีบไปไหนล่ะเพื่อน กลัวไม่ตายรึไง” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นตาม
เมื่อแผลหายดีแล้วผมก็เดินตามริกไป ผ่านหลายแยกที่มืดสนิท พวกเราเดินวกไปวนมาจนคิดว่าหลงทางซะแล้วจนเมื่อกลับมาเจอประตูทางออกอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ระหว่างทางพวกเราไม่เจอแม้แต่เงาของพนักงานสักคน ซึ่งก็ไม่รู้ไปไหนกันหมด
ผมบอกริกให้หยิบไฟฉายขึ้นมาใช้อีกครั้ง เนื่องด้วยตอนนี้ทั้งชั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟลอดเข้ามาเลย สงสัยคงจะไม่มีหน้าต่าง ผมคิด ก่อนที่พวกเราจะเดินผ่านประตูลิฟต์ไปเพื่อจะเดินไปยังทางหนีไฟที่พวกเราเข้ามา
“โอ๊ะ โอว !” ริกที่เดินนำหน้าไปร้องขึ้นเมื่อมองผ่านกระจกประตูหนีไฟออกไป จนผมเดินมาถึงมันและมองตามมันไป ภาพข้างหน้าทำเอาผมหัวตื้อคิดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว เมื่อนอกประตูที่เรายืนอยู่นี้มีเจ้าหน้าที่รปภ. นับสิบ แต่ที่ตกใจที่สุดก็คือทุกคนเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้วเนี่ยสิ
“เหอะๆ ...” ผมได้แต่หัวเราะด้วยความเหนื่อยอ่อน
“อยากจะบ้าตายว้อย !” ริกตะโกนใส่กระจกไปยังเจ้าซอมบี้ รปภ. ข้างหน้าตน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับปิดไฟฉาย “กูขอทำใจก่อนนะ” ริกพูด
“อย่าว่าแต่มึงเลย กูก็ขอทำใจเหมือนกัน” ผมตอบมันก่อนที่จะปิดไฟฉายตามและย่อตัวลงนั่งพิงกำแพงตรงข้ามกับประตูหนีไฟ
……….
“รู้สึกเหมือนในเมืองมันครึกครื้นแปลกๆ แฮะ” เอิร์นพูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินทะลุตรอกไปยังถนน2 เมื่อพวกตนเพิ่งจะออกมาจากลิฟต์
“นั่นสิ” เปาเห็นด้วย
“…ตายแล้ว ! ลืมไปสนิทเลย !” ซิลว่าตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกับสิ่งที่ตนเพิ่งคิดได้
……….
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in