เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ALIVE : เกม ซ้อน เกมNO.W
ตะลุยทัวร์ตึกนรก #2
  • ..........

     

    ตอนที่ 28 : ตะลุยทัวร์ตึกนรก #2

     

                ริกมองไปยังบานพับประตูอลูมิเนียมที่พิงผนังอยู่ “นี่ล่ะคือโล่ของพวกเรา”  มันพูด

    “ความคิดดีนี่หว่า เอาประตูมาเป็นโล่เนี่ย”  ผมเห็นด้วย  “เฝ้าทางไว้นะ”  ริกพูดเสร็จก็ปิดประตูเข้าไปในห้อง  ปล่อยผมนั่งส่องกระจกดูพวกมันอยู่คนเดียว   ปัง !  เกิดเสียงยิงปืนจากข้างใน  ก่อนที่ประตูจะกระแทกเอนลงมายังห้องที่ผมอยู่   

    “เฮ้ย ! นึกว่าจะโดนกูแล้วไง”  ผมตกใจเมื่อประตูเอนลงมา 

     

                ริกออกแรงดึงประตูกับเข้าไปในห้องของตน พวกข้าศึกเหมือนจะรู้ในสิ่งที่พวกเราพยายามจะทำต่างก็ระดมยิงมาจากทั้งสองฝั่งมากขึ้น   “จะทำอะไรก็เร็วหน่อย มันเริ่มมีอุปกรณ์มากขึ้นแล้ว” ผมบอกเมื่อเห็นว่า รปภ.ฝั่งบันไดหนีไฟเริ่มมีโล่สูงเท่าตัว ตรงกลางมีช่องสำหรับยิงปืนโดยเฉพาะ  เจ้าพวกนั้นเริ่มกล้าที่จะเข้ามาแล้ว  ผมเหลือบไปอีกฝั่งก็มีเหมือนกัน  แต่เนื่องจากทางเดินไม่ได้กว้างมากจึงขนาบโล่ได้แค่ประมาณ3 อันเท่านั้น 

    “ถ้ามีสไนเปอร์น้า ไม่รอดกูแล้ว”  ผมพูด 

    “แต่ตอนนี้ไม่มีไง  เอ้า  มึงก็เอาประตูลงมาซะทีสิ จะได้ไปพร้อมๆ กัน” ริกบอก

     

                ผมรีบทำตามมันทันทีเนื่องด้วยเวลาเหลือน้อยลงแล้ว ทุกครั้งที่ริกยิงออกไปจะมีเสียงดัง  แกร้ง ! เกิดขึ้นแสดงว่าพวกมันมีเกราะแล้ว แถมยังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ด้วย

    “ได้แล้ว ทีนี้มึงจะเอาไงต่อ ไม่มีเวลาแล้วนะ”

    “มึงจะไปทางไหน”  ริกถาม  “กูว่าบันไดหนีไฟอาจจะพาเราขึ้นไปต่อได้”  ผมเสนอ

    “เราจะเอามันเป็นโล่ โดยเราอยู่ตรงกลางทั้งคู่ แล้วเราก็วิ่งดิ่งเข้าปะทะไปเลย” ริกอธิบาย

    “มึงคิดได้ไงวะ” ผมทึ่งกับความคิดมัน  “ฉลาดล่ะสิ”   ริกพูดยอตัวเอง

    “ไม่ฉลาดก็เสียสติแล้วล่ะ  มาๆ !นับจบออกไปเลยนะ เดี๋ยวกูหันหน้าไปทางบันไดเอง”

    “อย่าวิ่งเร็วล่ะ กูต้องวิ่งถอยหลังนะเว่ย”  ริกพูด 

    “โอเค  เอาล่ะนะ  1..2.....3 ! ”  สิ้นเสียงนับ ผมกับริกก็ก้าวออกมาพร้อมกัน ทันทีที่พวกเราออกมาห่ากระสุนก็ระดมใส่เราไม่ยั้ง  “โดนเยอะๆ ทะลุแน่เลยว่ะ” ริกพูดด้วยความตกใจ

    “งั้นก็รีบเลย  ย้ากกก !”  ผมวิ่งแบบไม่คิดชีวิต  ตรงไปทั้งๆ ที่ไม่มองข้างหน้าเนี่ยแหละ  แต่ก็ไม่ทิ้งระยะห่างจากริกมากจนเกินไป

     

                กึ้ง ! วัตถุสองอย่างปะทะกันอย่างจัง ผมรู้ทันทีว่าอีกฝั่งของผมกระเด็นล้มลงไปนอนกระแทกกับพื้นแล้วแน่ๆฟังจากเสียงที่เหมือนจะชนต่อๆ ไปแล้วด้วย  ผมจึงทิ้งประตูไว้ด้านข้างก่อนจะขึ้นค่อมโล่พลาสติกใสพร้อมกับยิงผ่านช่องลงไปโดนบริเวณหน้าอกของรปภ. คนหนึ่ง   แล้วรีบดึงโล่ส่งไปให้ริกข้างหลังทันที

     

    รปภ. สองสามคนข้างหน้าผมเริ่มลุกขึ้นมา  ผมก็พุ่งเข้าใส่  เจ้าคนแรกที่ลุกขึ้นมาเสร็จผมไปอีกหนึ่งนัดที่หัวเต็มๆ ผมรีบหยิบโล่ที่พื้นขึ้นมากันกระสุนแบบประชิดได้อย่างหวุดหวิด  ปัง !  แต่หมอนี่ก็พลาดแล้วที่ไม่มีโล่กำบัง ผมเลยจัดการได้ไปอีกคน

    “หมดยัง ข้างหน้ากูมาเป็นสิบเลยเนี่ย !”  ริกตะโกนพลางยิงตอบโต้ออกไป

     

    ปัง !   “เหวอ !”  ริกร้องลั่นก่อนทิ้งโล่ลง  “แล้วมึงจะทิ้งโล่ทำไมเล่า!”  ผมตะโกนก่อนหันไปหามัน

    “มันเล่นสไนเว่ย !”  ริกร้องตกใจ ทันทีที่ริกพูดผมรีบพุ่งกลับไปคว้าประตูอลูมิเนียมที่พวกเราเอามาด้วยขึ้นมากันข้างหน้ามันทันที แต่รู้สึกเหมือนมันจะช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก  เพราะตัวผมกระเด็นไปข้างหลังจนไปชนกับริกพร้อมกับรู้สึกแปลบขึ้นมาที่หัวไหล่ขวา ก่อนจะเห็นเลือดตนเองไหลออกมาจากบาดแผลที่ไหล่

    “รีบเข้าไปข้างในทางหนีไฟเร็วเข้า”  ผมที่ยังล้มอยู่รีบตะโกนบอกริกให้รีบวิ่งขึ้นไป ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่เกราะกำบัง  แต่ถึงมีก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี  ปืนสไนมันแรงกว่าของผมหลายเท่า  ผมไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นแล้ว  ไม่รู้ว่าหมดหนทางที่จะสู้หรือไม่มีแรงลุกกันแน่  ความเจ็บมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว  ผมเหลือบขึ้นไป เห็นริกยืนขึ้นที่ไหล่มันไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก  นี่ถึงกับทะลุสองคนเลยรึเนี่ย  ผมคิดในใจ

     

                ปึก ! โล่ถูกวางทับบนตัวผม ฝีมือริกนั่นเอง  ก่อนจะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนลาก ก็ริกอีกนั่นแหละจะมีใครได้ “มึงอย่าเพิ่งยอมแพ้สิวะ!  อั้กก”   ริกที่กำลังลากผมอยู่โดนยิงเข้าที่ขาอีกหนึ่งนัดสไนเปอร์แน่ๆ ฟังจากเสียงที่ดังก้องหูขนาดนี้ มันทรุดลงกองกับพื้นแต่ก็ไม่วายจะพยายามลากผมต่อ  เหลืออีกนิดเดียวก็จะถึงทางเข้าบันไดหนีไฟแล้ว  ผมเห็นป้ายไฟอยู่ถัดจากหลังมันไปไม่ไกล “วันนี้มึงเป็นฮีโร่ว่ะ ริก”  ผมพูด  พยายามรวบรวมแรงเท่าที่มีลุกขึ้นอีกครั้ง

    “ปล่อยกูได้แล้ว กูไปเองได้”  ผมบอก 

    “หรอ แล้วที่กูลากมึงตั้งนานนี่คืออะไร”  ริกย้อน

     

                สภาพพวกเราสองคนดูไม่ต่างจากพวกใกล้ตายเท่าไหร่นักผมลุกขึ้นพยายามกดบาดแผลที่ไหล่เพื่อห้ามเลือด “ไม่ต้องเอาเกราะแล้ววิ่งอย่างเดียว”  ผมบอกก่อนที่ริกจะหันหลังวิ่งตามที่ผมบอก  แต่มันก็ฮวบทันทีเนื่องด้วยโดนยิงที่ขาไป  ผมวิ่งเข้าไปโอบมันก่อนจะพากันวิ่งไปข้างหน้า  พวกเราสองคนหันปืนกลับมายิงส่งๆ ไปข้างหลัง ซึ่งก็แปลกที่พวกมันไม่ยิงพวกเราต่อกลับปล่อยให้พวกเราวิ่งเข้าบันไดหนีไฟซะอย่างนั้น

     

    “ทำไมพวกมันไม่ไล่เราต่อล่ะ ไม่ก็ยิงพวกเราซะให้จบๆ”  ริกถามขณะผมพยายามออกแรงเท่าที่มีในการพยุงมันขึ้นบันไดไปสู้ชั้นสิบสอง  ซึ่งเป็นดังคาด มันมีบันไดไปต่อ  แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าไปยังชั้นที่สิบสองได้ง่ายๆรึเปล่าเพราะถ้าเป็นแบบที่ซิลว่าบอกมา  นั่นหมายความว่าที่เจ้าพวกนั้นไม่ไล่เราต่อเพราะรู้ว่าไม่ว่าเราจะขึ้นบนลงล่างก็ต้องเจอกับรปภ. ที่เฝ้าประตูเหล็กหนาแต่ละชั้นอยู่ดี

    “มันคงคิดว่าพวกเราไปไหนไม่ได้ไกลแล้วมั้ง”  ผมเอ่ย  เราสองคนขึ้นมาถึงชั้นพักของบันไดก่อนจะถึงประตูชั้นที่สิบสองที่ตอนนี้อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปอีก  ผมบอกให้ริกรีบปฐมพยาบาลตนเองซะ ซึ่งผมก็จะทำเหมือนกัน

    “กระสุนไม่ได้อยู่ที่กู งั้นก็หมายความว่าอยู่ที่มึงน่ะสิ”  ผมถามขณะหยิบขวดยาขึ้นมาจากเป้

    “ใครบอกที่กูก็ไม่มี ที่ขาก็ไม่มี”  ริกตอบ  “ปืนมันแรงเว่อร์ไปแล้วโดนทีวิญญาณแทบออกจากร่าง มึงนี่ก็โหดโดนไปสองนัดยังจะยืนไหวอีก”  ผมพูด

    “คนมันจะตายทำได้ทุกอย่างน่ะแหละ”  ริกพูดพลางยกขวดยาขึ้นดื่ม

    “นี่พวกมันประมาทเราไปอย่างนึงนะ เรื่องที่คิดว่าเราไม่มียาเนี่ยแหละ” ริกบอก

    “ก็จริงแฮะ เล่นไม่ขึ้นมาไล่ต่อด้วยนะ มันจะหยามกันไปหน่อยมั้งเนี่ย”  ตอนนี้แผลผมเริ่มสมานตัวแล้ว ด้วยฤทธิ์ของยาที่ซื้อมาซึ่งยังเหลืออยู่อีกสองขวดแต่ริกมันเหลือแค่ขวดเดียวแล้ว

    “สงสัยมึงต้องเอาสเปรย์มาพ่นๆ อีกหน่อยล่ะมั้งใช้ขวดเดียวมันเลยหายไม่สนิทไง” ผมบอกมันเมื่อเห็นว่าบาดแผลมันยังไม่หายดีเท่าไหร่ก่อนจะหยิบแม็กสำรองขึ้นมาเตรียมกระสุนไว้

    “ก็ต้องงั้นแหละ ว่าแต่จะเข้ายังไงล่ะนั่น ดูดิ ประตูมันแค่เห็นก็รู้แล้วไม่ใช่รึไงว่าโคตรจะแข็งแรง” ริกพูด ตอนนี้ร่างกายเราสองคนดีขึ้นมากแล้วต้องบอกว่ายาที่ไอ้บริษัทนี้มันผลิตขึ้นมาแทบจะเป็นของที่โลกข้างนอกยังไม่มีคนคิดว่าจะเป็นจริงได้ด้วยซ้ำแต่เจ้าของเกมส์นี้กับไม่ได้สนใจจะช่วยเหลือมนุษย์แม้แต่น้อย  กลับคิดจะสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นมาอีก ซึ่งแค่ไอ้ยานี่ก็ทำให้ตนขึ้นไปอยู่เหนือผู้อื่นได้ตั้งเยอะแล้วแท้ๆ

    “ไม่ก็มีอีกทางหนึ่ง ช่องข้างบนของตัวลิฟต์ไงเราก็เปิดช่องแล้วปีนขึ้นไปข้างบนแล้วขึ้นทางประตูลิฟต์ของอีกชั้นหนึ่งได้” ผมเสนอ

    “ลิฟต์มันถึงแค่ชั้น 11 มันจะขึ้นไปต่อได้ไง”  ริกถาม  

    “แล้วก่อนหน้านี้ที่มึงพยายามจะหนีเข้าไปในลิฟต์มึงไม่เห็นรึไงว่ามันบอกว่าอยู่ชั้นอะไร” ผมย้อนถาม

    “ใครมันจะไปมองล่ะวะ มึงเห็นรึไง”   ริกถามกลับ  “เปล่าหรอก แต่ตัวลิฟต์อาจจะออกแบบมาให้เฉพาะพวกระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงโปรแกรมให้ขึ้นไปยังชั้นบนได้ไง”ผมอธิบาย

    “ก็อาจเป็นได้ สรุปแผนมึงคือจะออกไปฉะกับพวกมันเพื่อเข้าลิฟต์ใช่มั้ย”ริกถาม

    “คงงั้นแหละ”  ผมตอบพลางยัดแม็กสำรองไว้ข้างหลัง  “แต่กูว่าเราทำทีเป็นยอมแพ้ตรงหน้าประตูแล้วรอมันเปิดแล้วค่อยจัดการไม่ดีกว่าหรอวะมันน่าจะง่ายกว่านา”  ริกเสนอ

    “นั่นสินะ อาจปะทะน้อยลงหน่อย”  ผมพูดพลางไตร่ตรองแผนที่มันเสนอมา

    “เราก็แค่ไปหน้าประตู ทิ้งปืนให้มันเห็นแต่แอบเหน็บมีดไว้ไงพอเราเข้าไปข้างในเราก็เล่นเลย” ริกอธิบาย   “แผนมึงดีนี่หว่าไม่ต้องเหนื่อยปีนด้วย เอาตามที่มึงว่าละกัน”  ผมตกลง

     

                เมื่อแผลโดนยิงหายอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ยาแล้ว  เราสองคนก็ลุกขึ้นสะพายเป้  ต่างก็เหน็บมีดไว้ที่ข้อเท้าตามแผน ก่อนจะเดินขึ้นไปยังหน้าประตูขึ้นชั้น12 ซึ่งเป็นประตูเหล็กท่าทางแข็งแรง ตรงกลางมีกระจกซึ่งคงเป็นกระจกกันกระสุน สามารถมองผ่านเข้าไปได้ ผมเห็นคนเดินผ่านหน้ากระจกไปแวบนึงก่อนที่พวกเราจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู

    “ทำท่าทางเจ็บตัวไว้ มันยังไม่รู้ว่าเรามียา”  ผมพูดเสร็จก็ใช้ปืนเคาะประตูเหล็กสองสามทีไม่นานใบหน้า รปภ. ก็โผล่มาตรงช่องกระจก  ทันทีที่รปภ. เห็น  เราสองคนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำทีว่ายอมแพ้แล้ว เจ้านั่นทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะหายไป  สงสัยคงไปปรึกษาเพื่อน

    “ที่มันไม่ไล่เราต่อเพราะมันรู้ว่าเราต้องเลือกสักทางที่มีพวกมันอยู่สินะ” ริกพูด

    “ทิ้งปืนซะ !”  เสียง รปภ. ดังขึ้นจากลำโพงตรงไหนสักแห่ง  พวกเราสองคนทำตามทันทีโดยการโยนปืนไปข้างหลัง  ไม่นานประตูก็ค่อยๆ เลื่อนออกแต่ไม่ถึงกับสุด แค่ครึ่งหนึ่งของประตูเท่านั้นหนึ่งใน รปภ.สั่งให้เราเดินเข้าไปข้างในซึ่งเป็นทางเดินที่กว้างกว่าชั้นที่แล้วเล็กน้อย  พวกเรายืนอยู่สุดทางของชั้นเหมือนกับชั้นที่แล้วต่างกันตรงที่ชั้นนี้ไม่มีห้องเยอะเหมือนชั้น 11

    “วางกระเป๋าไว้ที่พื้น แล้วหันหน้าเข้าหากับแพงซะ !”  รปภ. พูด พวกเราวางเป้ลงกับพื้นก่อนจะหันหลังเข้าหากำแพงตามที่สั่ง หนึ่งในรปภ.หยิบกุญแจมือจากข้างตัวขึ้นมา  ผมหันไปสบตาริก ซึ่งตอนนี้พวกเราต่างก็กำลังจะถูกใส่กุญแจมือแล้ว   ผมรอจังหวะที่รปภ. ทั้งสองต่างก็อยู่ข้างหลังเราสองคนและเอื้อมมือมาใกล้กับข้อมือผมมากที่สุด

     

                เมื่อได้เวลา ผมกับริกถีบเท้าเข้ากับกำแพงด้านหน้าทำให้เราพุ่งกระแทกรปภ. ที่อยู่ข้างหลังจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงอีกฝั่ง  เราสองคนหันขวับทันทีก่อนจะพุ่งเข้าประชิดตัวผมปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้า รปภ. คนข้างหลังผมที่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นตั้งตัวจนลงไปนอนกับพื้น ก่อนปล่อยอีกสองสามหมัด  แล้วพยายามจะหยิบปืนข้างเอวของเจ้าคนนี้  แต่เจ้าหมอนี่ก็รู้ทันจึงรีบกระแทกเข่าพร้อมกับโยกตัวส่งให้ผมหงายหลังข้ามหัวเจ้าหมอนี่ไปทันทีที่ตั้งตัวได้ผมรีบชักมีดในจังหวะที่เจ้าหมอนั่นกำลังจะหยิบปืนออกมาจากซองข้างตัว  แต่โชคดีที่เจ้าคนนี้มันเพิ่งมาเป็น รปภ.หรืออย่างไรไม่รู้ กลับตะกุกตะกักกับการหยิบปืนออกจากซองปืนนานไปหน่อย

     

                ผมใช้โอกาสนี้วิ่งพุ่งเข้าไปแทงมีดเข้าที่ท้องจนมิดด้ามร่างเจ้า รปภ. พลันกระตุกเมื่อมีดเสียบผ่านท้องเข้าไป  ผมชักมีดออกพร้อมกับของเหลวสีแดงข้นที่ไหลออกมาตามรอยมีด หมอนี่ทรุดลงไปนอนคว่ำกับพื้นพร้อมกับมือที่ห้ามเลือดไว้ ผมรีบหยิบปืนออกจากข้างเอวทันที  เพื่อความไม่ประมาท  อีกสักพักมันก็คงตายด้วยอาการเสียเลือดแล้ว  ผมจึงหันไปมองการต่อสู้ของริกที่ยังคงนัวเนียไปมาอยู่กับพื้นผมชูปืนที่หยิบขึ้นมาได้ขึ้น

    “เอาล่ะ พอได้แล้วถ้ายังไม่อยากตาย” ผมบอก รปภ. อีกคนที่เหลือจนเจ้านั่นยอมลดมือลงหลังจากกำลังจะปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าริก เจ้านั่นลุกขึ้นยืน  ผมบอกให้มันหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนที่สั่งพวกเรา  ฉึก ! ทันทีที่หันหลังและนาบมือไปกับผนัง  ริกก็พุ่งเข้าเสียบมีดเข้าที่ข้างลำคอจนเกือบมิดด้ามก่อนจะดึงออก เลือดทะลักออกมาทันทีเกือบจะเรียกว่าพุ่งก็ว่าได้

    “ทำไงได้ ถ้าใช้ปืนก็เสียงดังสิเนอะ”  ริกพูดเหมือนไม่มีทางเลือกก่อนจะหยิบปืนข้างเอวเจ้าหน้าที่ที่มันเพิ่งฆ่าไปมาเหน็บไว้ข้างหลังเหมือนกัน“เราคงออกไปเอาปืนที่โยนไปไม่ได้แล้วล่ะ”  ผมบอก

    “ทำไมล่ะ”  ริกถาม   “นี่ไงมันมีที่ให้ใส่รหัสผ่านด้วยน่ะสิโคตรจะแน่นหนาเลย”  ผมตอบ

    “โอ๊ะ โอว ~ เหมือนงานจะมาหาแล้วนะ”  ริกพูดขึ้น  ผมรีบมองตามมันไปนอกกระจกประตูที่เราเพิ่งเข้ามาก่อนจะเห็นกลุ่มรปภ. ที่ตอนนี้ขึ้นมาอยู่หน้าประตูแล้ว

    “พวกแก ! อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลย !”  คนตรงกลางที่ยืนประจันหน้ากับเราผ่านช่องกระจกตะโกนข้ามประตู   

    “ไปเหอะริก”  ผมดึงริกออกจากหน้าประตูที่เต็มไปด้วยรปภ. ที่ไล่ฆ่าเราเมื่อกี้

    “ดักรอที่ลิฟต์มั้ยละ พวกมันอาจจะขึ้นลิฟต์มาเพราะมันมีแค่สองทางที่เข้ามาได้นี่” ริกพูด 

    “ไม่ต้องหรอก เรารีบเข้าไปห้องข้างหน้านี่ดีกว่า”  ผมตอบ ออกตัววิ่งโดยมีริกวิ่งตามมาข้างหลัง

     

                ทั้งทางเดินชั้นนี้มีอยู่แค่ประตูเดียวตรงข้ามกับตัวลิฟต์  ซึ่งก็ไม่รู้จะออกแบบทางเดินข้างหน้าห้องไปทำไม  ผมบอกริกให้เตรียมตัวก่อนยิงลูกบิดประตูทิ้ง ริกกระแทกตัวเข้าห้องไปโดยมีผมระวังให้อยู่หน้าประตู ผมรีบก้าวเข้าไปในห้องเมื่อริกบอกว่าไม่มีคนก่อนหันกลับไปปิดประตูถึงแม้จะล็อคไม่ได้แล้วก็ตาม

     

                ภายในห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับหอควบคุมการบินของพวกนักบินแม้แต่น้อย ในห้องเต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์มากมายนับสิบที่แสดงค่าอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ยังมีตู้ที่มีแผงไฟคอยกระพริบไปมาตั้งเรียงรายชิดกันหลายสิบตู้ ถัดไปลึกหน่อยก็มีเครื่องควบคุมอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ ตัวเครื่องมือ  ตู้  หรือแทบจะทุกอย่างออกแบบมาให้เป็นสีเทาแกมดำของเหล็ก ไฟในห้องนี้สว่างไม่เท่ากับข้างนอกจะสว่างเฉพาะจุดที่มีส่วนที่เอาไว้ควบคุมและปฏิบัติการเท่านั้นส่วนอื่นๆ ก็จะเป็นไฟอ่อนๆแทน

    “ไม่เห็นจะมีพนักงานควบคุมเลยว่ะ”  ริกพูด ซึ่งผมก็ยังมองไม่เห็นเหมือนกันแต่ก็ยังระวังตัวไว้

    “ค่อยๆ เดินเข้าไป หาที่หลบหน่อยก็ดี มายืนอยู่หน้าทางเข้ามันก็ยังไงๆ อยู่” ผมบอก

     

                ผมเดินตามริกที่ไม่รู้พาผมไปไหน พวกเราเลี้ยวไปตามทางนู้นทีทางนี้ทีแบบไม่มีจุดหมาย ระหว่างเราทั้งสองคนเป็นตู้ที่เต็มไปด้วยสวิตซ์และแผนวงจรมากมายหลายตู้  ก่อนที่ริกจะเบรกกะทันหันเมื่อข้างหน้าเป็นส่วนที่เปิดไฟไว้

    “ชู่ว มีคน”  ริกกระซิบบอก 

    “กลับทางเดิมๆ”  ผมกระซิบกลับ แต่พวกเราเดินออกห่างออกมาได้ไม่กี่ก้าวผมกับมันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนอยู่ใกล้ๆพวกเราซะแล้ว

    “เอาแล้วไง”  ริกพูดขึ้น

    “ใจเย็นน่า”  ผมพยายามควบคุมสติและคิดหาทางออก

    “ไฟฉายยังอยู่ใช่มั้ย”  ผมกระซิบถาม  “ต้องใช้ด้วยหรอวะ”   ริกย้อนถาม

    “ใช้ดิ ถ้าเราปิดระบบไฟทั้งสองข้างตัวเรานี่ไง ยังไงก็ต้องปิดอยู่แล้วนี่ ปิดมันซะเลยพวกมันก็มองเราลำบากขึ้นด้วย” ผมบอก

    “และเราก็มองมันลำบากด้วย”  ริกเสริม 

    “อันนั้นมันก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าโดนเจอล่ะน่า”  ผมพูดพร้อมกับค่อยๆ กดปุ่มข้างๆ ตัวลงไปปุ่มหนึ่งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ริกเลยลองทำมั่ง พวกเรากดปุ่มทุกปุ่มข้างตัวไปเรื่อยๆอะไรที่มันเป็นคันโยกพวกเราก็ดึงลงให้หมดจนไฟบนแผงรอบๆ ที่เราอยู่หายไปหมด

    ฟุ่บ !  ทันทีที่ผมดึงสวิตซ์ตัวหนึ่งลงไฟในห้องก็มืดลงมาอีก “มันไปดับตรงไหนของมัน” ผมสงสัย “แค่ดึงลงมาให้หมดก็พอน่า”   ริกดึงสวิตซ์รอบตัวผมลงจนหมดไฟในห้องเริ่มดับทีละดวงๆ ไล่มาเรื่อยๆ จนพวกเรายืนอยู่ในห้องที่มืดสนิท  “ทีนี้แหละของจริง”  ริกพูดขึ้นเมื่อตอนนี้ไฟเกือบครึ่งห้องถูกดับลง ผมคิดว่าสวิตซ์คงมีหลายส่วนแน่ๆ ซึ่งเราต้องไปปิดให้หมด

    “เฮ้ย ! ใครเล่นอะไรวะ”  เสียงคนคุมมอนิเตอร์ตะโกนขึ้นเมื่อหน้าจอตรงหน้าตนดับลง

    “เอาล่ะทุกคน ติดไฟฉายไว้ แล้วกระจายกันไปหาไอ้สองตัวนั้นซะ !”  เสียงซึ่งไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าเป็นไอ้กลุ่มรปภ. กลุ่มนั้นแน่ๆ ที่คงเพิ่งมาถึง คราวนี้ยกกันมากี่คนก็ไม่รู้

    “พวกมันมากันแล้ว ระวังไว้ด้วย พวกนี้ไม่ได้มีแค่ปืนสั้นแล้ว”  ริกเตือน

    “แล้วเรามีอะไรมั่งวะ” ผมถาม  “ปืนสั้นกับมีดไง” ริกตอบ

    “อาวุธพื้นฐานสินะ”  ผมพูด ก่อนจะหันหลังกลับไปทางที่ริกไม่กล้าออกตอนแรก  เพราะมีคนอยู่ตรงหน้า  ผมค่อยๆ เดิน เพราะมองเห็นสภาพรอบตัวไม่ชัด เห็นเป็นแค่เงาดำไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่าไหร่ต่างกับอีกฟากของห้องที่เรายังไม่ได้ปิดไฟ ที่ตอนนี้ยังคงสว่างโร่อยู่

    “รู้สึกเหมือนมันกำลังจะเดินมาทางเรานะ”  ริกกระซิบเมื่อเห็นเงาท่าทางเดินตรงมาทางนี้

    “แหงล่ะ ก็ตรงนี้มันแผงควบคุมไฟนี่”  ผมพูดก่อนจะชักมีดออกมา  “เอามีดไปสู้กับปืนเนี่ยนะบ้ารึไง”  ริกกระซิบ “จะยิงเลยรึไงล่ะ พวกมันก็รู้น่ะสิว่าเราอยู่ตรงไหน จะได้แห่กันมาสู้ลากไปจัดการทีละคนสองคนไม่ดีกว่ารึ” ผมบอก

    “แล้วแต่วุ้ย”  ริกเก็บปืนก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาบ้าง  ผมบอกให้มันก้มลงเพื่อที่เราจะได้ย่องเข้าไปหาได้ ดูจากเงาที่เคลื่อนไหวแล้วมีไม่เกิน 3  

     

    ผมกับริกย่องออกมายังพื้นที่โล่งซึ่งเป็นที่ที่มีแต่จอที่ดับสนิท  พวกเราอาศัยย่อตัวลงพิงตามอุปกรณ์เพื่อที่เงาจะได้ไม่ผิดสังเกต ด้วยความมืดเหมือนกับว่าพวกเรานั่งยองๆ มองเจ้าพวกพวกนี้ที่เหมือนกำลังพยายามกู้ระบบอยู่โดยที่พวกเราไม่มีแม้แต่ที่กำบังแม้แต่น้อย เงาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังแผงไฟที่เราปิดไปเมื่อสักครู่ ผมสะกิดริกให้มันไปจัดการซะก่อนที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของอีกสองคนอยู่

    "อ้าก !"  เสียงร้องของพนักงานดังขึ้นตามมาไม่นานหลังจากผมสะกิดให้ริกไปจัดการ  ทำเอาสองคนที่เหลือต่างก็มุ่งหน้าไปยังทิศที่ริกอยู่  ผมที่คอยมองอยู่  รีบวิ่งเข้าใส่คนสุดท้ายทันทีโดยที่เจ้าคนเเรกยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพื่อนข้างหลังหายไป  ผมวิ่งเข้าไปเเทงมีดเข้าใต้ชายโครง  ร่างตรงหน้าร้องลั่นออกมาโดยความเจ็บปวด  เเต่ผมก็สกัดขาล้มลงก่อนจะกระเเทกมีดลงไปอีกจนเเน่นิ่งไป 

     

    ปัง !   เงาอีกร่างพลันล้มลง ผมรู้ทันทีว่าริกมันใช้ปืนซะเเล้ว  "ใช้ปืนทำไมเนี่ย" ผมถามออกไป  เริ่มเกิดเสียงฝีเท้าของเจ้าหน้าที่มาทางนี้มากขึ้น  "มันเเห่กันมาตั้งเเต่เสียงร้องเเล้ว" ริกตอบ  เเสงไฟข้างหลังพลันสว่างขึ้น ทำเอาผมเห็นกลุ่มรปภ. ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ผ่านช่องของตู้วางของ  ริกหันไปจัดการเจ้าหน้าที่คนเเรกที่ยังไม่ตายก่อนจะยิงเเผงวงจรไฟทั้งสองข้างที่เจ้านั่นมันเปิดอีกรอบทำเอารอบบริเวณมืดขึ้นอีกครั้ง

    “ทำลายทิ้งซะก็จบ”  ริกพูดก่อนจะบอกให้ผมไปต่อ

     

                พวกเรากึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย ผมบอกริกไปว่าจะวิ่งไปตัดไฟอีกส่วนหนึ่งให้หมดแล้วค่อยจัดการเจ้ายามที่ตามเรามาพวกนี้  พวกเราเกือบหลงกันอยู่หลายรอบเนื่องจากมันมืดมากอีกทั้งยังมีทางแยกไปมาหลายทางจนสับสนไปหมด ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าเราอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าเสียงยามที่ตามมามันหายไปอีกแล้ว  ผมจึงหยุดพักเหนื่อยอยู่ตรงไหนสักแห่ง

    “พวกมันนี่ก็แปลกเนอะ พวกเราวิ่งยังเห็นเงาพวกมันเลยแต่นี่อะไรมันกลับไม่เห็นเงาพวกเรารึไง”  ริกถาม  

    “บางทีพวกนั้นมันอาจจะระดมพลไปซ่อมเครื่องก่อนก็ได้มั้งเพราะมันเป็นหัวใจของตึกเลยนี่” ผมตอบ  

    “มันก็จริง ไม่งั้นไอ้พวกซอมบี้ข้างล่างมันอาจจะตื่นก็...ได้...”   ริกพูดเสร็จก็เงียบทันที  

    “นั่นไง ! หางานให้ตัวเองอีกแล้วไง กูว่าและทำไมมันไม่ค่อยสนใจพวกเราเท่าไหร่”ผมบอก

    “แล้วจะเอาไง ยังคิดจะตัดไฟอีกมั้ย”  ริกถาม  “ตัดดิ เพราะตอนนี้พวกมันยังทดลองไม่เสร็จนี่ถ้าปล่อยให้สมบูรณ์ตอนนั้นอาจจะลำบากเรากว่านี้ก็ได้” ผมตอบ

    “งั้นพวกเราก็รีบไปต่อเถอะ”  ริกว่า

     

                พวกเรามุ่งหน้าไปยังแสงไฟของส่วนที่เหลือซึ่งข้างหลังเราก็มีแสงของไฟฉายแวบไปแวบมาเหมือนอยู่ในผับทีเดียวเจ้าพวกนั้นคงซ่อมกันยากหน่อยล่ะก็พี่ริกแกเล่นยิงจนวงจรระเบิดเลยนี่  ผมบอกให้ริกหยุดเมื่อเห็นว่าส่วนของห้องที่ยังมีแสงไฟมีเจ้ายามเหล่านั้นที่ไม่ยอมไล่จับเรามารวมกันเฝ้าระวังอยู่ตรงส่วนนี้ 

    “มาอยู่นี่กันนี่เอง”  ผมพูดขึ้น  “เอาไงล่ะ” ริกถาม 

    “นี่มึงจะถามอย่างเดียวเลยใช่มั้ย”  ผมพูดก่อนจะสอดส่องหาตู้หรืออะไรก็แล้วแต่ที่รวบรวมระบบไฟเอาไว้

    “นั่นไง อยู่ข้างหลังเจ้าพวกนั้นเข้าไปอีก”  ริกกระซิบบอกเหมือนรู้ว่าผมหาอะไรผมมองลอดช่องตามไปเห็นตู้ที่เต็มไปด้วยสวิตซ์ไฟมากมายซึ่งอยู่หลังเจ้าหน้าที่นับโหลเหมือนกัน

    “ถ้ามีสไนคงจะง่ายกว่านี้”  ผมพูด  “แต่ตอนนี้ไม่มีไง” ริกย้ำ

    “ไอ้นี่ก็ขัดกูตลอดเลยวุ้ย เอาระเบิดที่มึงซื้อมาดิ๊”  ผมบอกริกให้หยิบระเบิดที่มันซื้อมา

    “มึงคิดดีแล้วนะที่จะใช้น่ะ”  ริกถาม  “ระเบิดหลอกไงทำให้พวกมันเขวเฉยๆ”  ผมตอบก่อนจะรับระเบิดมาจากริกแล้วนำมาแบ่งกัน

    “ต้องมีพวกมันสักคนรู้แน่ว่าระเบิดถูกปามาจากไหน แต่ไงเราก็จะปาอยู่ดี” ผมพูด

    “แล้วจะพูดทำไม  ว่าแต่มึงจะปาไปตรงไหน” ริกถาม  “ซ้ายขวาหน้าหลังเอาแบบง่ายๆ เลย กูหน้าหลังมึงเอาซ้ายขวาไป”  ผมอธิบายแผนการก่อนเริ่มนับ

     

                สิ้นเสียงนับผมปาลูกแรกไปหน้ารปภ. คนหนึ่ง  เจ้านั่นตกใจสุดขีดก่อนที่ระเบิดลูกแรกจะระเบิดขึ้น ส่วนริกปาไปซ้ายขวาไรเรี่ยกัน  ทำเอาตอนนี้แตกตื่นหมดทั้งบริเวณ  ถึงแม้อานุภาพจะไม่เท่าระเบิดขนาดจริง  แต่แค่นี้ก็ทำเอาเกิดแผลเหวอะหวะได้แล้ว  ผมปาลูกสุดท้ายไปกลางวงทำเอาเจ้าหน้าที่เกือบสิบกว่าคนตรงนั้นโดนแรงระเบิดบ้างล้มบ้างกระเด็นไปกระแทกเกิดเสียงร้องโอดโอยระงม  “เอาเลย !”  ผมบอกริกก่อนจะเปิดฉากยิงเจ้าหน้าที่ตรงหน้าล้มลงไปหนึ่งคน

    “นั่น ! ไอ้สองคนนั้นมันอยู่หลังตู้เอกสาร !”  รปภ. คนหนึ่งตะโกนขึ้นบอกพรรคพวก

     

    เปร้ง ! เสียงกระสุนกระทบเหล็กเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด  ผมกับริกตัดสินใจร่นถอยออกมาผมบอกมันให้อ้อมไปข้างหลังผมจะดึงความสนใจไว้ให้แต่ก็บอกให้มันระวังเจ้าหน้าที่คนอื่นไว้ด้วย 

    “เฮ่ยๆๆ !”  ผมตกใจเมื่อตู้เอกสารข้างๆ ทำท่าจะหล่นลงมาทับ  กึ้ง ! แต่ตู้มันดันหล่นลงมากระแทกพาดอยู่กับอีกตู้หนึ่งแทน ผมก้มตัวลอดผ่านออกมาก่อนจะออกมาหาที่กำบังให้ดีกว่าเดิม

    “อึ้ก !”  อยู่ๆ ก็มีมือมาล็อคคอผมจากด้านหลัง  ผมกระแทกศอกกลับไป มันปล่อยมือ ผมหันไปหมายจะยิงให้จบๆแต่เจ้านี่ก็ถีบยันมาตรงๆ ส่งผมลอยไปกระแทกกับพื้น 

     

    ผมรีบลุกขึ้นแต่มันไม่ปล่อยโอกาสให้ผมตอบโต้  มันคว้าคอเสื้อผมยกขึ้นก่อนประเคนหมัดเข้าหน้าผมอย่างจัง ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าจนผมเริ่มสติไม่อยู่กับตัวแต่ผมก็ไม่ยอมโดนเล่นฝ่ายเดียวแน่  ผมใช้ท่าเดียวกับรปภ. คนอื่นๆ ที่ใช้กับผมคือใช้เท้ายันก่อนจะส่งตัวคนที่ค่อมอยู่เด้งไปข้างหลัง  ทันทีที่เจ้านั่นเด้งไปผมรีบลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาปืน“อ้ากก !”  ยังไม่ทันจะได้จับปืน กระสุนปริศนาก็แฉลบผ่านแขนผมไป

     

                ผมตัดสินใจลุกหันหลังวิ่งไปหาที่หลบก่อนแต่กระสุนลูกที่สองก็ลั่นตามมาติดๆ โดนขาผมเต็มๆ ทำผมทรุดลง แต่มือยังเท้าอยู่กับโต๊ะ ผมตัดสินใจปล่อยมือแล้วนอนลงแทน ถ้าคิดจะไปต่อมันต้องยิงมาอีกแน่ผมเลยตัดสินใจนอนคว่ำลงไป

     

    ……….

     

    ฉึก !  มีดปักเข้าที่กลางหน้าอกของเจ้าหน้าที่ที่กำลังวุ่นอยู่กับการควบคุมระบบอยู่หน้าจอมอนิเตอร์  “คิดว่ามีคนคุ้มกันแล้วจะรอดพี่ริกคนนี้ไปได้รึไงวะ” ริกพูดกับตนเองก่อนก้มหลบกระสุนที่ระดมยิงมาทางนี้  พวก รปภ. เริ่มบุกเข้ามาหมายจะจัดการริกให้ได้

    “มันต้องยังงี้... เอานี่ไปกินซะ !”   

     

    ตู้ม  ! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นไปทั้งห้อง  ตู้เหล็กที่ริกหลบอยู่ข้างหลังถูกแรงอัดระเบิดกระแทกเข้าใส่อย่างจังจนไปกระแทกเข้ากับตู้ข้างหลังอีกที บริเวณส่วนปฏิบัติการณ์โดนแรงระเบิดอัดเละเทะไปหมด เกิดไฟไหม้ขึ้นตามสิ่งที่พอจะติดไฟได้ 

    “กรรม นี่กูปาระเบิดผิดหรอเนี่ย”   ริกพูดกับตนเองก่อนจะคลานออกจากตู้ที่หล่นลงมาพาดระเกะระกะไปหมด  “พวกนั้นคงตายไปแล้วมั้งเนี่ยระเบิดซะเละขนาดนี้ หวังว่าไออ๋องคงไม่อยู่แถวนั้นหรอกนะ”  ริกคลานออกมาก่อนจะเดินกะเผลกไปยังแผงควบคุมระบบไฟ  

     

    เปร้ง !   “อึดกันจริงเว่ยพวกนี้”  ริกย่อตัวลงต่ำเพื่อหลบวิถีกระสุนก่อนจะยิงไปยังแผงวงจรข้างหน้าตนจนเกิดเสียงเปรี๊ยะ  ! แล้วก็ระเบิดขึ้น   ฟุ่บ ! ไฟทั้งหมดดับลง  เสียงเครื่องจักรต่างๆ พลันเงียบทันที ได้ยินแต่เสียงปะทุของไฟที่ยังคงไหม้สิ่งของอยู่ ทุกอย่างในห้องมืดสนิท  มีแต่แสงไฟจากกองไฟที่ยังไหม้ที่ยังคงส่องสว่างชัดเจนในที่มืด

     

    ……….

     

    ปัง !   ผมจัดการยิงเจ้าหน้าที่ที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่  ต้องขอบใจระเบิดไอริกอย่างมากที่ทำเอาไอ้เจ้าชายปริศนาลอยไปกระแทกกับตู้ก่อนจะโดนตู้หล่นลงมาทับดับอนาถไป ผมพยุงตัวก้าวข้ามเศษซากที่โดนแรงระเบิดจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมยิ่งอยู่ในที่มืดยิ่งมองไม่ออกเข้าไปใหญ่ว่าเป็นอะไรมาก่อน 

    “ไอริก !”  ผมตะโกนเรียกออกไปเบาๆก่อนจะหามุมนั่งดีๆ เพื่อจะได้รักษาแผลของตนได้ถนัดและปลอดภัยจากข้าศึก  “อยู่ไหนของมึงวะ” ผมได้ยินเสียงริกกระซิบตอบ

    “อยู่หน้ามึงนี่ไง มองลงมาดิ”  ผมพูดก่อนจะควานหาขวดยาในกระเป๋าโดยใช้ไฟจากกองเพลิงที่ยังไม่มอดลง

    “นี่มึงโดนยิงหรอเนี่ย”  ริกถาม

    “เออดิ ! ใครก็ไม่รู้อยู่ดีๆ ก็โดดล็อกคอกูเฉย” ผมตอบก่อนจะกระดกยาลงไปรวดเดียวหมด  “เอาสเปรย์มึงมาด้วย” ผมบอก

    “เยอะนะมึงเนี่ย”  ริกพูดก่อนจะส่งขวดสเปรย์ให้

    “ใครจะดวงดีเหมือนมึงล่ะ ไม่ตายด้วยแรงระเบิดตัวเองก็บุญและ”  ผมพูดก่อนจะฉีดสเปรย์บริเวณแขนที่โดนยิงจนบาดแผลเริ่มสมานตัว

    “แล้วทีนี้จะเอาไงต่อ”  ริกถาม

    “เราคงต้องขึ้นไปชั้นบนเพื่อจับตัวคนบงการแผนนี้”  ผมพูด

    “อืม งั้นก็ไปต่อเถอะ”  ริกพูดจบก็ลุกขึ้น

    “มึงจะรีบไปไหนล่ะเพื่อน กลัวไม่ตายรึไง”  ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นตาม

     

                เมื่อแผลหายดีแล้วผมก็เดินตามริกไป  ผ่านหลายแยกที่มืดสนิท พวกเราเดินวกไปวนมาจนคิดว่าหลงทางซะแล้วจนเมื่อกลับมาเจอประตูทางออกอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง  ระหว่างทางพวกเราไม่เจอแม้แต่เงาของพนักงานสักคน  ซึ่งก็ไม่รู้ไปไหนกันหมด

     

    ผมบอกริกให้หยิบไฟฉายขึ้นมาใช้อีกครั้ง  เนื่องด้วยตอนนี้ทั้งชั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟลอดเข้ามาเลย สงสัยคงจะไม่มีหน้าต่าง ผมคิด  ก่อนที่พวกเราจะเดินผ่านประตูลิฟต์ไปเพื่อจะเดินไปยังทางหนีไฟที่พวกเราเข้ามา

    “โอ๊ะ โอว !”   ริกที่เดินนำหน้าไปร้องขึ้นเมื่อมองผ่านกระจกประตูหนีไฟออกไป  จนผมเดินมาถึงมันและมองตามมันไป  ภาพข้างหน้าทำเอาผมหัวตื้อคิดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว  เมื่อนอกประตูที่เรายืนอยู่นี้มีเจ้าหน้าที่รปภ. นับสิบ  แต่ที่ตกใจที่สุดก็คือทุกคนเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้วเนี่ยสิ

    “เหอะๆ ...”  ผมได้แต่หัวเราะด้วยความเหนื่อยอ่อน

    “อยากจะบ้าตายว้อย !”  ริกตะโกนใส่กระจกไปยังเจ้าซอมบี้ รปภ. ข้างหน้าตน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับปิดไฟฉาย  “กูขอทำใจก่อนนะ”  ริกพูด 

    “อย่าว่าแต่มึงเลย กูก็ขอทำใจเหมือนกัน”  ผมตอบมันก่อนที่จะปิดไฟฉายตามและย่อตัวลงนั่งพิงกำแพงตรงข้ามกับประตูหนีไฟ

     

    ……….

     

    “รู้สึกเหมือนในเมืองมันครึกครื้นแปลกๆ แฮะ”  เอิร์นพูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินทะลุตรอกไปยังถนน2 เมื่อพวกตนเพิ่งจะออกมาจากลิฟต์

    “นั่นสิ”  เปาเห็นด้วย

    “…ตายแล้ว ! ลืมไปสนิทเลย !”  ซิลว่าตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกับสิ่งที่ตนเพิ่งคิดได้ 

     

    ……….

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in