เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ALIVE : เกม ซ้อน เกมNO.W
ตะลุยทัวร์ตึกนรก #1
  • ……….

     

    ตอนที่ 27 : ตะลุยทัวร์ตึกนรก #1

     

    “แล้วสรุปเราต้องขึ้นไปอีกกี่ชั้นล่ะเนี่ย”   ริกถามขึ้นมา ตอนนี้เราทั้งคู่จัดอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าซึ่งก็มีแค่ปืนพกคนละกระบอก “จะไปรู้มั้ยเล่าไอ้เราสองคนก็ไม่ได้ถามซะด้วยสิ”  ผมตอบ “ขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเองแหละ” 

    “ปัญหาอีกอย่างคือจะขึ้นชั้นต่อไปกันยังไง”  ริกถามต่อ  “ชั้นต่อไปก็ต้องระดับ 2ชั้นที่สอง สินะถ้าชั้นนี้เพิ่งเริ่มระดับ 2”  ผมพูดขึ้น

    “อือ แล้วไงต่อ”  

    “แปลว่าตั้งแต่ 2 ครึ่งขึ้นไปคงเริ่มอันตรายแล้วมั้ง เจ้าพวกที่อยู่บนเตียงน่ะ”

    “แหงอยู่แล้วล่ะ แล้วมันเกี่ยวกับวิธีขึ้นตรงไหนวะเนี่ย”  ริกย้อนถาม

    “ไม่เกี่ยวหรอก ทบทวนความจำน่ะ อย่าเครียดดิ เราก็ขึ้นลิฟต์ไปไง ในเมื่อถ้าขึ้นบันไดไปก็เจอประตูเหล็กพร้อมกับยามซึ่งเราไม่มีทางเข้าไปได้ แถมมันยังเห็นเราด้วยกับลิฟต์ที่เมื่อประตูเปิดปุ๊บเราก็ลุยปั๊บเลยไง”  ผมเสนอ  

    “อันแรกก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไมอันที่สองมันโคตรจะโหดเลยวะ  ไปตายชัดๆ ไม่ใช่รึไง”  ริกแย้ง

    “อย่างกับมึงมีความคิดดีกว่านี้อ่ะ”  ผมถาม

    “ก็นะ  แต่คนเสนอแผนต้องนำนะคับอันนี้พูดเลย”  ริกยื่นเงื่อนไข

    “มันก็เป็นกูมาตลอดไม่ใช่รึไงวะ”  ผมถามกลับ  “ฮะฮะ นั่นสิเนอะ”   ริกหัวเราะเห็นด้วย

    “พร้อมแล้วก็ลุยเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา”  ผมลุกขึ้นแบกเป้ที่หนักอึ้งด้วยแม็กกาซีนที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้

     

                ผมเดินนำออกมาจากทางแคบๆมืดๆ ออกมายืนอยู่บนโถงทางเดินหน้าห้องทดลอง ที่เต็มไปด้วยว่าที่ซอมบี้กระหายเลือดทั้งหลาย เดินไปอีกนิดข้างหน้าผมก็จะเป็นลิฟต์ขึ้นสำหรับชั้นต่อไปแล้ว พวกเราค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง  ไม่อยากให้มีนักวิจัยมาพบเข้า  ริกกดปุ่มเรียกลิฟต์  พวกเราหันหน้าคอยมองรอบข้างตลอด  ยังดีที่พวกนักวิจัยมัวแต่สนใจงานตรงหน้าโดยไม่มองออกมานอกห้องเท่าไหร่  พวกเราจึงเคลื่อนตัวกันง่าย

     

                พอลิฟต์มาถึงชั้น  ผมกับริกรีบเตรียมตั้งรับทันทีเผื่อว่าจะมีคนลงมาด้วย แต่ก็ไม่พบใคร  เราทั้งสองจึงเดินเข้าไปในลิฟต์  ผมรีบกดปุ่มปิดประตูทันทีเมื่อเข้าไปข้างในก่อนที่ริกจะถามว่า  “เรากดไปชั้นบนสุดซะก็หมดเรื่องจริงมั้ย”  ริกเสนอ 

    “นั่นสินะ จะได้ไม่ต้องลุยทุกชั้น” ผมเห็นด้วย  “งั้นก็กดชั้นบนสุดเลย”  ริกเอื้อมมือไปกดปุ่ม 11 ทันทีซึ่งเป็นชั้นบนสุดที่มีในแผง

     

                ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดก็ปรากฏหน้าจอสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมาเหนือแผงวงจรก่อนจะขึ้นข้อความว่า  //กรุณาใส่รหัสผ่านหรือแสกนบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นไปยังชั้น11 ด้วยค่ะ//   

    “สงสัยจะยากแล้วสิ”  ผมกดปุ่มยกเลิกที่ขึ้นอยู่แถบๆ ล่างของหน้าจอ  ก่อนจะกดเลข 10แทนแต่ก็ปรากฏภาพโฮโลแกรมขึ้นมาให้ใส่รหัสผ่านเหมือนเดิม

    “ลองกดชั้น 7 ดูดิ๊ ว่าขึ้นได้เปล่าไม่งั้นเราก็หมดสิทธิ์ขึ้นละ”  ริกบอก ผมทำตาม  แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม  ไม่สามารถไปได้ถ้าไม่มีรหัสหรือบัตรผ่าน

    “สงสัยต้องเข้าทางบันไดที่ล็อคแน่นหนาสินะ”  ริกว่าเมื่อเห็นว่าไปต่อไม่ได้

    “จะทำได้ไงล่ะ ไปยืนหน้าประตูขู่มันบอกให้เปิดประตูรึไงเราทำลายประตูไม่ได้หรอก จะตายเอาซะเปล่าๆ ถ้าทำงั้น” ผมอธิบาย

    “งั้นก็เอาจากพวกนักวิจัยเป็นไง”  ริกเสนอ  พลันกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์พร้อมกับก้าวออก  ผมเดินออกตาม

    “มึงหมายถึงปล้นใช่สินะ”  ผมถามเพื่อความชัดเจน

    “ก็เออสิ  จะเดินเข้าไปขอรึไง  มันจะให้กันง่ายๆ เรอะ”  ริกย้อนถาม

    “ตัวเลือกสุดท้ายสินะ เอาก็เอา” ผมพูดแบบหมดหนทาง “รู้สึกชั้นนี้จะมีอยู่ในห้องนั้นห้องเดียวเองมั้งเท่าที่เห็นน่ะ”  ริกพูด

    “อือ ไปกันเลย”  ผมเดินนำริกไปตามทางเดินยาวที่ทอดผ่านห้องทดลองมากมาย  เราสองคนกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องข้างหน้าที่มีนักวิจัยอยู่ในห้องประมาณสามสี่คนได้ “เราเอาแค่ใบเดียวพอหรือเอามาเผื่อไว้สองใบ” ผมหยุดกลางทางเพื่อถาม 

    “เผื่อไว้ก็ดี” ริกตอบ     

     

                ผมเดินมาจนถึงหน้าประตูที่ทำด้วยกระจกใส  อันที่จริงทุกห้องก็เป็นกระจกที่สามารถมองเห็นข้างในได้อยู่แล้ว สายตาคนในห้องจับจ้องมายังเราสองคนก่อนจะเริ่มทำท่าทางหวาดระแวง  ริกเร่งให้ผมเข้าไปในห้องทันทีเมื่อเห็นชายวัยกลางคนในนั้นทำท่าจะส่งสัญญาณเรียกพวกรปภ.

     

    “หยุดอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นให้พวกเราเห็นด้วย !”  ผมตะโกนเมื่อก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับยกปืนขึ้นจ่อไปยังนักวิจัยข้างหน้าโดยมีริกคอยจ่อไว้อีกคนหนึ่งที่แยกตัวออกไปอยู่เกือบในของห้อง  ทั้งห้องมีทั้งหมดสามคน  ทุกคนทำสายตาหวาดกลัว  ผมสังเกตเห็นนักวิจัยผู้หญิงคนหนึ่งข้างๆ ชายวัยกลางคนเนื้อตัวเริ่มสั่นเทา ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุยังน้อยกว่าซิลว่าอยู่มาก

    “พวกเราไม่ได้จะมาทำร้ายพวกคุณ ขอแค่พวกคุณวางบัตรประจำตัวไว้บนเตียงข้างหน้าผมแล้วพวกเราจะไปทันที”  ผมบอกความต้องการออกไป

     

                สีหน้าทุกคนดูลังเลว่าจะให้หรือไม่ให้  ริกตะโกนบอกให้นักวิจัยหนุ่มหลังห้องเดินมารวมกลุ่มกันกับอีกสองคนที่ผมคุมอยู่  

    “พวกเธอคิดจะทำอะไร” ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงกลางถามขึ้น

    “พวกเราแค่ต้องการจะหยุดสิ่งที่ไอ้บริษัทเกมนี้มันกำลังจะทำน่ะสิ”  ริกตะโกนตอบ

    “พวกเธอคงจะใช้บัตรเพื่อขึ้นไปชั้นบนสินะ”  ชายวัยกลางคนยังคงพูดต่อ

    “ใช่  แล้วจะทำไม”  ริกย้อนถาม 

    “ก็ไม่ทำไมหรอก”  พูดจบตาลุงนี่ก็ล้วงบัตรประจำตัวสำหรับนักวิจัยขึ้นมา  ก่อนจะวางลงโต๊ะเหล็กตัวเล็กๆ ข้างเตียงที่มีพวกซอมบี้นอนอยู่ ก่อนทำท่าทางให้ผู้หญิงข้างๆ ตนทำตาม

    “แค่สองใบพอ”  ผมพูดเมื่อเห็นท่าทางไอ้หนุ่มข้างๆ จะวางกับคนอื่นบ้าง

     

                ผมสะกิดบอกให้ริกไปหยิบบัตรข้างหน้าก่อนที่มันจะรีบเดินกลับมาและเดินผ่านผมไปยังประตูโดยมีผมค่อยๆ เดินถอยหลังออก ในมือยังคงกุมปืนเอาไว้เผื่อพวกนี้จะเล่นตุกติก

    “อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียว”  ผมพูดปรามขณะก้าวถอยหลัง

    “ขอเตือนไว้อย่างนะเจ้าหนู....จงระลึกไว้เสมอว่าพวกเธอกำลังทำเพื่ออะไร” ชายวัยกลางคนพูด สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงปนตื่นเต้นเล็กน้อยถ้าผมสังเกตไม่ผิด

    “ทำไมเราปล่อยไปง่ายๆ อย่างงี้ล่ะคับ”  หนุ่มข้างๆ ถามขึ้น

    “พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนซิลว่าความหวังเราก็มีแค่เด็กพวกนี้เท่านั้นแหละ”  ชายวัยกลางคนพูดขึ้น

     

    “มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรอวะ”   ริกถามขณะมุ่งหน้าไปยังลิฟต์

    “ไม่รู้สิ ว่าแต่รีบหน่อยก็ดี ไม่รู้ลับหลังพวกนั้นเรียกพวกมาจับเรารึเปล่า” ผมบอก

     

    พวกเราทั้งสองคนเข้ามาในตัวลิฟต์อีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเรามีบัตรของนักวิจัยแล้วทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงพวกเราตัดสินใจกดไปยังชั้นที่ 11 เพราะเป็นชั้นที่สูงที่สุดที่มีบนแผงก่อนจะปรากฏภาพโฮโลแกรมขึ้นมาอีกครั้ง  ผมทาบบัตรพนักงานลง  สักพักระบบก็ขึ้นข้อความว่า รหัสถูกต้องระบบลิฟต์เริ่มทำงาน ตัวลิฟต์กำลังพาเราทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นบนของตัวตึกนี้

    “มึงว่าระหว่างทางจะมีคนกดลิฟต์มั้ยวะ”  อยู่ๆ ริกก็ถามขึ้น

    “แล้วมึงจะพูดขึ้นให้มันได้อะไรขั้นมาเนี่ย”  ผมพูด 

    “เตือนไว้ก่อนไง”  ริกตอบ

    “ถ้ามี รปภ. หน้าประตูเราก็จัดการคนละข้าง แล้วก็ขึ้นต่อ” ผมบอกมัน

     

                แต่ในที่สุดลิฟต์ก็พาเราขึ้นมาถึงชั้นที่11 ได้โดยไม่ต้องแวะจอด  ซึ่งนั่นถือว่าโชคดีสำหรับพวกเรามากที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่อีกครั้ง  ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมชะโงกหน้าออกไปเพื่อสังเกตภายนอก  ซึ่งเป็นทางเดินยาวออกไปทั้งสองข้างและมีห้องที่ประตูน่าจะทำด้วยอลูมิเนียมหรืออะไรสักอย่างออกสีเทาๆเรียงไปตลอดความยาวของทางคล้ายกับเรากำลังอยู่ในโรงแรมสักแห่ง

     

    “ทางสะดวก”  ผมบอกก่อนจะก้าวออกมาจากลิฟต์โดยมีริกอยู่ข้างหลัง

    “เอาไง จะไปซ้ายหรือขวา”  ริกถามเมื่อมันมีสองทางให้เลือก

    “มันน่าจะเหมือนกันล่ะมั้ง”  ผมเดา ก่อนจะเดินนำไปทางซ้ายของตัวลิฟต์  ที่ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากอีกทางเท่าไรนัก เพราะตลอดทางก็มีแต่ประตูที่ทำด้วยอลูมิเนียมที่ไม่มีแม้แต่ช่องตาแมวด้วยซ้ำ พวกเราเดินมาสุดอีกฝั่งหนึ่งซึ่งสุดทางด้วยบันไดหนีไฟ

    “สงสัยต้องไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วล่ะ”  ผมบอก   ริกลองขยับกลอนประตูไปมาซึ่งทุกห้องล้วนแต่ล็อคไว้ทั้งนั้น 

    “ห้องพวกนี้มีไว้ทำไม ที่เก็บศพอีกรึ” ริกสงสัย

    “ไม่น่าจะใช่ ชั้นนี้ดูเรียบร้อยและสะอาดเกินไปที่จะเป็นห้องเก็บศพ” ผมตอบ

    “นั่นสินะ งั้นก็รีบไปดูอีกทางเถอะ เราไม่มีที่กำบังเลยนะถ้าเกิดปะทะขึ้นมาสองข้างมีแต่ห้องอะไรก็ไม่รู้”  พูดเสร็จริกก็เดินย้อนกลับไปอีกทาง  ผมเดินตามหลังมันไป ระหว่างทางผมก็หมุนกลอนประตูห้องที่เดินผ่านไปด้วยเผื่อจะมีสักห้องที่สามารถเข้าไปข้างในได้

    “ข้างหน้ามีทางไปต่อแฮะ”  ริกว่า  ผมมองตามมันไปเห็นทางที่สามารถไปทางซ้ายต่อได้ ที่เราไม่เห็นตอนแรกคงเป็นเพราะสีของผนังที่มันกลมกลืนกันจนมองออกได้ยาก

    “หยุดทำไมล่ะ เดินไปดิ” ผมพูดเมื่อเห็นมันยังไม่ยอมเดินต่อ 

    “เหมือนจะได้ยินเสียงคนน่ะสิ”  ริกกระซิบ

    “ไม่มีใครนี่” ผมบอกมันเมื่อเหลือบออกไปมองก็ไม่เห็นใครสักคน 

    “ระวังไว้หน่อยละกัน”  ริกเตือน 

     

    ผมก้าวย่างช้าๆ หลังชิดกำแพงไปตลอดทาง  ข้างหน้าผมมีแสงไฟสว่างโร่ออกมาจากทางด้านซ้าย  ตรงต่อไปก็จะเป็นทางเดินยาวที่มีแต่ห้องที่เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราผ่านมา ใกล้สุดทางเดินผมได้ยินเหมือนริกไม่มีผิด  มันเป็นเสียงของคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมหันมามองริกเพื่อขอความคิดเห็น แต่มันก็ทำหน้าแบบเดียวกันใส่

     

    “พวกเธอสองคนทำอะไรอยู่น่ะ”   ผมกับริกหันหลังขวับทันทีเมื่ออยู่ๆก็มีคนพูดขึ้นมาจากด้านหลัง  ทันทีที่หันไปก็เห็นนักวิจัยหญิงคนหนึ่ง  อายุไม่น่าจะเกินเลขสามเมื่อเธอเห็นปืนในมือของเราสองคนก็เริ่มทำท่าหวาดกลัวขึ้นมา  ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอแต่ก็สายไปซะแล้วเธอร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดังพอที่จะทำให้คนเกือบทั้งชั้นได้ยิน

     

                ผมรีบเอามือปิดปากเธอก่อนจะเพยิดหน้าบอกให้ริกรีบมาอยู่ข้างหลังผม ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบกำลังแห่มาข้างหน้าที่ซึ่งเรายังไม่ได้คิดจะเดินออกไป ผมขู่นักวิจัยที่ผมเอามือปิดปากให้เงียบ ไม่งั้นได้ตายจริงแน่จนเธอเงียบลง ก่อนหันไปบอกให้ริกรีบไปดูทางข้างหลังไว้ว่ามีคนมารึเปล่า  ผมค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังโดยใช้นักวิจัยคนนี้เปรียบเสมือนโล่ป้องกันตัวไว้  ก่อนที่ข้างหน้าจะปรากฏเงามืดขวางทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นรปภ. ทั้งสิ้น

    “ทิ้งอาวุธทุกอย่างไว้กับพื้น ไม่งั้นเธอคนนี้นองเลือดแน่”  ผมตะโกนออกไปยังกลุ่ม รปภ.ข้างหน้า  ผมค่อยๆ เดินถอยหลังเรื่อยๆเจ้าพวกนั้นไม่ยอมทำตามที่ผมบอก กลับค่อยๆ เดินตามผมมาช้าๆ  “หาทางไปต่อเร็วเข้า”  ผมกระซิบบอกริกที่ระวังหลังให้  “แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ”ริกตอบกลับทันที

    “ชั้นนี้ใช่ห้องควบคุมระบบไฟรึเปล่า”  ผมถามนักวิจัยที่ผมคุมตัวไว้อยู่

    “ไม่ใช่ ชั้นนี้เป็นห้องพักพนักงานต่างหาก ต้องขึ้นไปอีกชั้นนึง”  เธอตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

    “แต่ในลิฟต์มีถึงแค่ชั้นนี้นี่”  ผมถาม 

    “เพราะชั้นที่เหลือเป็นชั้นสำนักงานแล้วก็ห้องผู้บริหารน่ะสิ  เจ้าหน้าที่ธรรมดาๆ ขึ้นไปไม่ได้หรอก”  เธอตอบ

    “แล้วจะขึ้นไปยังไง”  ผมถามต่อ  “ก็....อึ่ก !”  เลือดสดๆ กระเซ็นโดนใส่หน้าผมเต็มๆเมื่อพวก รปภ. มันยิงมาที่นักวิจัยตรงหน้า  ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวเธอที่มากขึ้นเนื่องจากเธอไม่มีแรงยืนต่อไปแล้ว  

     

    ปัง !  ผมได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังก่อนจะเห็นรปภ. สองสามคนตรงหน้าโดนยิงจนล้มลงไป  พวกทีเหลือก็เริ่มถอยกลับไปตามสัญชาตญาณมนุษย์ คงไม่มีใครอยู่ในทางเดินที่ไม่มีแม้แต่ที่กำบังเปรียบเสมือนเป้านิ่งแบบนี้หรอก  ผมค่อยๆ วางร่างเธอลงกับพื้นช้าๆ  รู้สึกผิดที่ตนทำให้เธอต้องตาย 

    “วิ่งเร็วเข้า !”  ริกดึงผมขึ้นหันหลังวิ่งกลับมายังทางเดิมผมวิ่งตามริกไปข้างหน้า  

    “อาจจะเข้าลิฟต์ทัน”  ริกตะโกนบอก  ผมยิงไปยังกลอนประตูของห้องข้างหน้าก่อนเปิดออกเผยให้เห็นห้องพักจริงดังที่นักวิจัยหญิงพูดไม่มีผิด

    “เร็วสิวะๆๆ”  ริกพูดขณะรอลิฟต์ที่ยังมาไม่ถึง   

    “ไม่ทันแล้วริก”  ผมพูดเมื่อไอพวกนั้นมันระดมยิงไล่หลังมา ก่อนจะดึงไอริกให้วิ่งต่อ “มึงบอกเองนี่ว่าบันไดหนีไฟเราเข้าไม่ได้หรอก”  ริกพูดขณะวิ่ง

    “ก็จริงแต่มันมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะ”  ผมย้อนถาม 

     

                ครึ่ก !  สิ้นเสียงประตูทางหนีไฟก็เปิดขึ้นเผยเจ้าหน้าที่ขึ้นมาอีก ผมกับริกรีบยิงออกไปทันทีจนเจ้าพวกนั้นกลับเข้าไปหลบอยู่ข้างในทางหนีไฟ ผมหันหลังกลับมายิงไอพวกที่ตามมาข้างหลังอีกครั้งจนล้มลงไปคนหนึ่ง   “อ้ากก !”  ผมหันไปหาริกทันทีเมื่อเห็นมันล้มไปนอนกับพื้น“โดนที่ขา”  ริกตอบเมื่อรู้ว่าผมจะถามอะไร  “จบแล้วอ๋อง มาได้แค่นี้แหละ”  ริกพูดเหมือนยอมแพ้  

    “จบห่าไร มันเพิ่งเริ่มต่างหาก !”   ผมหันไปยิงลูกบิดประตูเหนือตัวมันก่อนจะบอกให้มันเข้าไปหลบซะ  ก่อนจะหันมายิงห้องฝั่งตนก่อนจะรีบถีบประตูเข้าไป

     

                ผมกับริกหลบอยู่ในห้องตรงข้ามกัน  ซึ่งพวกเราหมดหนทางไปต่อ  แล้วยังมีพวก รปภ. ทั้งสองทางต้อนเราสองคนจนมุมอีก“ยังไหวนะ”  ผมถาม  “ยังไหวอยู่”  ริกตอบกลับ

     

                ผมรีบเปลี่ยนแม็กสำรองที่เตรียมไว้อย่างเร็ว  ตะโกนบอกให้มันทำแผลตัวเองก่อน  ดูจากเลือดที่ไหลแล้วคราวนี้ไม่ได้เฉี่ยวแน่ๆ  ทันทีที่เปลี่ยนแม็กเสร็จผมยื่นปืนออกไปนอกตัวห้องก่อนจะยิงส่งๆไปยังทั้งสองทาง  หวังว่าจะถ่วงเวลาได้บ้าง

    “อยู่แบบนี้นานๆ ไม่ได้แน่”  ริกพูดก่อนเปิดฝายาแล้วรีบดื่มรวดเดียวหมด

    “เราไม่เห็นการเคลื่อนไหวของมันเลย”  ผมพูด

    “เข้าไปดูในห้องมึงสิว่ามีกระจกหรืออะไรสะท้อนภาพได้เปล่าเดี๋ยวกูยิงถ่วงไว้ให้ เร็ว !”   ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืนที่พวกนั้นเริ่มยิงตอบโต้มา

     

                ภายในห้องก็ไม่ใหญ่มากโดยรวมก็มีแค่เตียงนอน โต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำเล็กๆ  ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำกระชากกระจกเงาบานหนึ่งที่ถูกติดไว้เหนืออ่างล้างหน้าเดินกลับออกมายังหน้าประตูห้องที่ริกกำลังยิงถ่วงเวลาไว้ให้

     

    “อันนี้น่าจะใช้ได้”  ผมตะโกนข้ามไปพร้อมกับถือให้มันดู

    “ก็รีบใช้เซ่ มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ไม่กล้าชะโงกหน้าออกไปเลยเนี่ย”  ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืน

     

                 ผมนั่งตรงหน้าประตูก่อนจะค่อยๆ เลื่อนกระจกออกไปผมเห็นรปภ. สองคนนอนนิ่งอยู่บนพื้นถัดจากหน้าประตูหนีไฟมาเล็กน้อยสงสัยไม่ริกก็ผมคงยิงมั่วไปโดนเข้า  “มันอยู่หลังประตูหนีไฟ ตายไปสอง” ผมบอกมันก่อนจะเปลี่ยนด้านกระจกกลับมาอีกทิศที่ซึ่งพวกเราวิ่งหนีมาซึ่งก็มี รปภ.นอนแน่นิ่งอยู่สองสามคนเช่นเดียวกัน  คงคิดจะบุกเข้ามาแต่ก็โดนลูกมั่วพวกเราไปซะก่อน เจ้าพวกนั้นรู้สึกจะหลบอยู่ตรงมุมไม่กล้าโผล่ออกมา  เพราะผมไม่เห็นแม้แต่ปืนที่ชะโงกออกมาด้วยซ้ำ  “มันหายไปไหนหมดไม่รู้ฝั่งนี้” ผมบอกริก

     

    “งั้นรีบไปต่อเถอะ แผลกูหายแล้ว”  ริกพูดพลางเปลี่ยนแม็กสำรอง  ตอนนี้ผมกับริกหยุดยิงแล้ว พวกมันก็ดูท่าจะหยุดยิงเหมือนกัน

    “จะไปไหนเล่า”  ผมถาม

    “มึงดูพวกมันไว้ก่อน กูมีความคิดดีๆ และ”  ริกพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน

     

    ..........

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in