……….
ตอนที่ 27 : ตะลุยทัวร์ตึกนรก #1
“แล้วสรุปเราต้องขึ้นไปอีกกี่ชั้นล่ะเนี่ย” ริกถามขึ้นมา ตอนนี้เราทั้งคู่จัดอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าซึ่งก็มีแค่ปืนพกคนละกระบอก “จะไปรู้มั้ยเล่าไอ้เราสองคนก็ไม่ได้ถามซะด้วยสิ” ผมตอบ “ขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเองแหละ”
“ปัญหาอีกอย่างคือจะขึ้นชั้นต่อไปกันยังไง” ริกถามต่อ “ชั้นต่อไปก็ต้องระดับ 2ชั้นที่สอง สินะถ้าชั้นนี้เพิ่งเริ่มระดับ 2” ผมพูดขึ้น
“อือ แล้วไงต่อ”
“แปลว่าตั้งแต่ 2 ครึ่งขึ้นไปคงเริ่มอันตรายแล้วมั้ง เจ้าพวกที่อยู่บนเตียงน่ะ”
“แหงอยู่แล้วล่ะ แล้วมันเกี่ยวกับวิธีขึ้นตรงไหนวะเนี่ย” ริกย้อนถาม
“ไม่เกี่ยวหรอก ทบทวนความจำน่ะ อย่าเครียดดิ เราก็ขึ้นลิฟต์ไปไง ในเมื่อถ้าขึ้นบันไดไปก็เจอประตูเหล็กพร้อมกับยามซึ่งเราไม่มีทางเข้าไปได้ แถมมันยังเห็นเราด้วยกับลิฟต์ที่เมื่อประตูเปิดปุ๊บเราก็ลุยปั๊บเลยไง” ผมเสนอ
“อันแรกก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไมอันที่สองมันโคตรจะโหดเลยวะ ไปตายชัดๆ ไม่ใช่รึไง” ริกแย้ง
“อย่างกับมึงมีความคิดดีกว่านี้อ่ะ” ผมถาม
“ก็นะ แต่คนเสนอแผนต้องนำนะคับอันนี้พูดเลย” ริกยื่นเงื่อนไข
“มันก็เป็นกูมาตลอดไม่ใช่รึไงวะ” ผมถามกลับ “ฮะฮะ นั่นสิเนอะ” ริกหัวเราะเห็นด้วย
“พร้อมแล้วก็ลุยเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา” ผมลุกขึ้นแบกเป้ที่หนักอึ้งด้วยแม็กกาซีนที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้
ผมเดินนำออกมาจากทางแคบๆมืดๆ ออกมายืนอยู่บนโถงทางเดินหน้าห้องทดลอง ที่เต็มไปด้วยว่าที่ซอมบี้กระหายเลือดทั้งหลาย เดินไปอีกนิดข้างหน้าผมก็จะเป็นลิฟต์ขึ้นสำหรับชั้นต่อไปแล้ว พวกเราค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้มีนักวิจัยมาพบเข้า ริกกดปุ่มเรียกลิฟต์ พวกเราหันหน้าคอยมองรอบข้างตลอด ยังดีที่พวกนักวิจัยมัวแต่สนใจงานตรงหน้าโดยไม่มองออกมานอกห้องเท่าไหร่ พวกเราจึงเคลื่อนตัวกันง่าย
พอลิฟต์มาถึงชั้น ผมกับริกรีบเตรียมตั้งรับทันทีเผื่อว่าจะมีคนลงมาด้วย แต่ก็ไม่พบใคร เราทั้งสองจึงเดินเข้าไปในลิฟต์ ผมรีบกดปุ่มปิดประตูทันทีเมื่อเข้าไปข้างในก่อนที่ริกจะถามว่า “เรากดไปชั้นบนสุดซะก็หมดเรื่องจริงมั้ย” ริกเสนอ
“นั่นสินะ จะได้ไม่ต้องลุยทุกชั้น” ผมเห็นด้วย “งั้นก็กดชั้นบนสุดเลย” ริกเอื้อมมือไปกดปุ่ม 11 ทันทีซึ่งเป็นชั้นบนสุดที่มีในแผง
ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดก็ปรากฏหน้าจอสี่เหลี่ยมสีฟ้าขึ้นมาเหนือแผงวงจรก่อนจะขึ้นข้อความว่า //กรุณาใส่รหัสผ่านหรือแสกนบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นไปยังชั้น11 ด้วยค่ะ//
“สงสัยจะยากแล้วสิ” ผมกดปุ่มยกเลิกที่ขึ้นอยู่แถบๆ ล่างของหน้าจอ ก่อนจะกดเลข 10แทนแต่ก็ปรากฏภาพโฮโลแกรมขึ้นมาให้ใส่รหัสผ่านเหมือนเดิม
“ลองกดชั้น 7 ดูดิ๊ ว่าขึ้นได้เปล่าไม่งั้นเราก็หมดสิทธิ์ขึ้นละ” ริกบอก ผมทำตาม แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่สามารถไปได้ถ้าไม่มีรหัสหรือบัตรผ่าน
“สงสัยต้องเข้าทางบันไดที่ล็อคแน่นหนาสินะ” ริกว่าเมื่อเห็นว่าไปต่อไม่ได้
“จะทำได้ไงล่ะ ไปยืนหน้าประตูขู่มันบอกให้เปิดประตูรึไงเราทำลายประตูไม่ได้หรอก จะตายเอาซะเปล่าๆ ถ้าทำงั้น” ผมอธิบาย
“งั้นก็เอาจากพวกนักวิจัยเป็นไง” ริกเสนอ พลันกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์พร้อมกับก้าวออก ผมเดินออกตาม
“มึงหมายถึงปล้นใช่สินะ” ผมถามเพื่อความชัดเจน
“ก็เออสิ จะเดินเข้าไปขอรึไง มันจะให้กันง่ายๆ เรอะ” ริกย้อนถาม
“ตัวเลือกสุดท้ายสินะ เอาก็เอา” ผมพูดแบบหมดหนทาง “รู้สึกชั้นนี้จะมีอยู่ในห้องนั้นห้องเดียวเองมั้งเท่าที่เห็นน่ะ” ริกพูด
“อือ ไปกันเลย” ผมเดินนำริกไปตามทางเดินยาวที่ทอดผ่านห้องทดลองมากมาย เราสองคนกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องข้างหน้าที่มีนักวิจัยอยู่ในห้องประมาณสามสี่คนได้ “เราเอาแค่ใบเดียวพอหรือเอามาเผื่อไว้สองใบ” ผมหยุดกลางทางเพื่อถาม
“เผื่อไว้ก็ดี” ริกตอบ
ผมเดินมาจนถึงหน้าประตูที่ทำด้วยกระจกใส อันที่จริงทุกห้องก็เป็นกระจกที่สามารถมองเห็นข้างในได้อยู่แล้ว สายตาคนในห้องจับจ้องมายังเราสองคนก่อนจะเริ่มทำท่าทางหวาดระแวง ริกเร่งให้ผมเข้าไปในห้องทันทีเมื่อเห็นชายวัยกลางคนในนั้นทำท่าจะส่งสัญญาณเรียกพวกรปภ.
“หยุดอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นให้พวกเราเห็นด้วย !” ผมตะโกนเมื่อก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับยกปืนขึ้นจ่อไปยังนักวิจัยข้างหน้าโดยมีริกคอยจ่อไว้อีกคนหนึ่งที่แยกตัวออกไปอยู่เกือบในของห้อง ทั้งห้องมีทั้งหมดสามคน ทุกคนทำสายตาหวาดกลัว ผมสังเกตเห็นนักวิจัยผู้หญิงคนหนึ่งข้างๆ ชายวัยกลางคนเนื้อตัวเริ่มสั่นเทา ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุยังน้อยกว่าซิลว่าอยู่มาก
“พวกเราไม่ได้จะมาทำร้ายพวกคุณ ขอแค่พวกคุณวางบัตรประจำตัวไว้บนเตียงข้างหน้าผมแล้วพวกเราจะไปทันที” ผมบอกความต้องการออกไป
สีหน้าทุกคนดูลังเลว่าจะให้หรือไม่ให้ ริกตะโกนบอกให้นักวิจัยหนุ่มหลังห้องเดินมารวมกลุ่มกันกับอีกสองคนที่ผมคุมอยู่
“พวกเธอคิดจะทำอะไร” ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงกลางถามขึ้น
“พวกเราแค่ต้องการจะหยุดสิ่งที่ไอ้บริษัทเกมนี้มันกำลังจะทำน่ะสิ” ริกตะโกนตอบ
“พวกเธอคงจะใช้บัตรเพื่อขึ้นไปชั้นบนสินะ” ชายวัยกลางคนยังคงพูดต่อ
“ใช่ แล้วจะทำไม” ริกย้อนถาม
“ก็ไม่ทำไมหรอก” พูดจบตาลุงนี่ก็ล้วงบัตรประจำตัวสำหรับนักวิจัยขึ้นมา ก่อนจะวางลงโต๊ะเหล็กตัวเล็กๆ ข้างเตียงที่มีพวกซอมบี้นอนอยู่ ก่อนทำท่าทางให้ผู้หญิงข้างๆ ตนทำตาม
“แค่สองใบพอ” ผมพูดเมื่อเห็นท่าทางไอ้หนุ่มข้างๆ จะวางกับคนอื่นบ้าง
ผมสะกิดบอกให้ริกไปหยิบบัตรข้างหน้าก่อนที่มันจะรีบเดินกลับมาและเดินผ่านผมไปยังประตูโดยมีผมค่อยๆ เดินถอยหลังออก ในมือยังคงกุมปืนเอาไว้เผื่อพวกนี้จะเล่นตุกติก
“อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียว” ผมพูดปรามขณะก้าวถอยหลัง
“ขอเตือนไว้อย่างนะเจ้าหนู....จงระลึกไว้เสมอว่าพวกเธอกำลังทำเพื่ออะไร” ชายวัยกลางคนพูด สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงปนตื่นเต้นเล็กน้อยถ้าผมสังเกตไม่ผิด
“ทำไมเราปล่อยไปง่ายๆ อย่างงี้ล่ะคับ” หนุ่มข้างๆ ถามขึ้น
“พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนซิลว่าความหวังเราก็มีแค่เด็กพวกนี้เท่านั้นแหละ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น
“มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรอวะ” ริกถามขณะมุ่งหน้าไปยังลิฟต์
“ไม่รู้สิ ว่าแต่รีบหน่อยก็ดี ไม่รู้ลับหลังพวกนั้นเรียกพวกมาจับเรารึเปล่า” ผมบอก
พวกเราทั้งสองคนเข้ามาในตัวลิฟต์อีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเรามีบัตรของนักวิจัยแล้วทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงพวกเราตัดสินใจกดไปยังชั้นที่ 11 เพราะเป็นชั้นที่สูงที่สุดที่มีบนแผงก่อนจะปรากฏภาพโฮโลแกรมขึ้นมาอีกครั้ง ผมทาบบัตรพนักงานลง สักพักระบบก็ขึ้นข้อความว่า รหัสถูกต้องระบบลิฟต์เริ่มทำงาน ตัวลิฟต์กำลังพาเราทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นบนของตัวตึกนี้
“มึงว่าระหว่างทางจะมีคนกดลิฟต์มั้ยวะ” อยู่ๆ ริกก็ถามขึ้น
“แล้วมึงจะพูดขึ้นให้มันได้อะไรขั้นมาเนี่ย” ผมพูด
“เตือนไว้ก่อนไง” ริกตอบ
“ถ้ามี รปภ. หน้าประตูเราก็จัดการคนละข้าง แล้วก็ขึ้นต่อ” ผมบอกมัน
แต่ในที่สุดลิฟต์ก็พาเราขึ้นมาถึงชั้นที่11 ได้โดยไม่ต้องแวะจอด ซึ่งนั่นถือว่าโชคดีสำหรับพวกเรามากที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมชะโงกหน้าออกไปเพื่อสังเกตภายนอก ซึ่งเป็นทางเดินยาวออกไปทั้งสองข้างและมีห้องที่ประตูน่าจะทำด้วยอลูมิเนียมหรืออะไรสักอย่างออกสีเทาๆเรียงไปตลอดความยาวของทางคล้ายกับเรากำลังอยู่ในโรงแรมสักแห่ง
“ทางสะดวก” ผมบอกก่อนจะก้าวออกมาจากลิฟต์โดยมีริกอยู่ข้างหลัง
“เอาไง จะไปซ้ายหรือขวา” ริกถามเมื่อมันมีสองทางให้เลือก
“มันน่าจะเหมือนกันล่ะมั้ง” ผมเดา ก่อนจะเดินนำไปทางซ้ายของตัวลิฟต์ ที่ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากอีกทางเท่าไรนัก เพราะตลอดทางก็มีแต่ประตูที่ทำด้วยอลูมิเนียมที่ไม่มีแม้แต่ช่องตาแมวด้วยซ้ำ พวกเราเดินมาสุดอีกฝั่งหนึ่งซึ่งสุดทางด้วยบันไดหนีไฟ
“สงสัยต้องไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วล่ะ” ผมบอก ริกลองขยับกลอนประตูไปมาซึ่งทุกห้องล้วนแต่ล็อคไว้ทั้งนั้น
“ห้องพวกนี้มีไว้ทำไม ที่เก็บศพอีกรึ” ริกสงสัย
“ไม่น่าจะใช่ ชั้นนี้ดูเรียบร้อยและสะอาดเกินไปที่จะเป็นห้องเก็บศพ” ผมตอบ
“นั่นสินะ งั้นก็รีบไปดูอีกทางเถอะ เราไม่มีที่กำบังเลยนะถ้าเกิดปะทะขึ้นมาสองข้างมีแต่ห้องอะไรก็ไม่รู้” พูดเสร็จริกก็เดินย้อนกลับไปอีกทาง ผมเดินตามหลังมันไป ระหว่างทางผมก็หมุนกลอนประตูห้องที่เดินผ่านไปด้วยเผื่อจะมีสักห้องที่สามารถเข้าไปข้างในได้
“ข้างหน้ามีทางไปต่อแฮะ” ริกว่า ผมมองตามมันไปเห็นทางที่สามารถไปทางซ้ายต่อได้ ที่เราไม่เห็นตอนแรกคงเป็นเพราะสีของผนังที่มันกลมกลืนกันจนมองออกได้ยาก
“หยุดทำไมล่ะ เดินไปดิ” ผมพูดเมื่อเห็นมันยังไม่ยอมเดินต่อ
“เหมือนจะได้ยินเสียงคนน่ะสิ” ริกกระซิบ
“ไม่มีใครนี่” ผมบอกมันเมื่อเหลือบออกไปมองก็ไม่เห็นใครสักคน
“ระวังไว้หน่อยละกัน” ริกเตือน
ผมก้าวย่างช้าๆ หลังชิดกำแพงไปตลอดทาง ข้างหน้าผมมีแสงไฟสว่างโร่ออกมาจากทางด้านซ้าย ตรงต่อไปก็จะเป็นทางเดินยาวที่มีแต่ห้องที่เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราผ่านมา ใกล้สุดทางเดินผมได้ยินเหมือนริกไม่มีผิด มันเป็นเสียงของคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมหันมามองริกเพื่อขอความคิดเห็น แต่มันก็ทำหน้าแบบเดียวกันใส่
“พวกเธอสองคนทำอะไรอยู่น่ะ” ผมกับริกหันหลังขวับทันทีเมื่ออยู่ๆก็มีคนพูดขึ้นมาจากด้านหลัง ทันทีที่หันไปก็เห็นนักวิจัยหญิงคนหนึ่ง อายุไม่น่าจะเกินเลขสามเมื่อเธอเห็นปืนในมือของเราสองคนก็เริ่มทำท่าหวาดกลัวขึ้นมา ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอแต่ก็สายไปซะแล้วเธอร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดังพอที่จะทำให้คนเกือบทั้งชั้นได้ยิน
ผมรีบเอามือปิดปากเธอก่อนจะเพยิดหน้าบอกให้ริกรีบมาอยู่ข้างหลังผม ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้านับสิบกำลังแห่มาข้างหน้าที่ซึ่งเรายังไม่ได้คิดจะเดินออกไป ผมขู่นักวิจัยที่ผมเอามือปิดปากให้เงียบ ไม่งั้นได้ตายจริงแน่จนเธอเงียบลง ก่อนหันไปบอกให้ริกรีบไปดูทางข้างหลังไว้ว่ามีคนมารึเปล่า ผมค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังโดยใช้นักวิจัยคนนี้เปรียบเสมือนโล่ป้องกันตัวไว้ ก่อนที่ข้างหน้าจะปรากฏเงามืดขวางทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นรปภ. ทั้งสิ้น
“ทิ้งอาวุธทุกอย่างไว้กับพื้น ไม่งั้นเธอคนนี้นองเลือดแน่” ผมตะโกนออกไปยังกลุ่ม รปภ.ข้างหน้า ผมค่อยๆ เดินถอยหลังเรื่อยๆเจ้าพวกนั้นไม่ยอมทำตามที่ผมบอก กลับค่อยๆ เดินตามผมมาช้าๆ “หาทางไปต่อเร็วเข้า” ผมกระซิบบอกริกที่ระวังหลังให้ “แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ”ริกตอบกลับทันที
“ชั้นนี้ใช่ห้องควบคุมระบบไฟรึเปล่า” ผมถามนักวิจัยที่ผมคุมตัวไว้อยู่
“ไม่ใช่ ชั้นนี้เป็นห้องพักพนักงานต่างหาก ต้องขึ้นไปอีกชั้นนึง” เธอตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“แต่ในลิฟต์มีถึงแค่ชั้นนี้นี่” ผมถาม
“เพราะชั้นที่เหลือเป็นชั้นสำนักงานแล้วก็ห้องผู้บริหารน่ะสิ เจ้าหน้าที่ธรรมดาๆ ขึ้นไปไม่ได้หรอก” เธอตอบ
“แล้วจะขึ้นไปยังไง” ผมถามต่อ “ก็....อึ่ก !” เลือดสดๆ กระเซ็นโดนใส่หน้าผมเต็มๆเมื่อพวก รปภ. มันยิงมาที่นักวิจัยตรงหน้า ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวเธอที่มากขึ้นเนื่องจากเธอไม่มีแรงยืนต่อไปแล้ว
ปัง ! ผมได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังก่อนจะเห็นรปภ. สองสามคนตรงหน้าโดนยิงจนล้มลงไป พวกทีเหลือก็เริ่มถอยกลับไปตามสัญชาตญาณมนุษย์ คงไม่มีใครอยู่ในทางเดินที่ไม่มีแม้แต่ที่กำบังเปรียบเสมือนเป้านิ่งแบบนี้หรอก ผมค่อยๆ วางร่างเธอลงกับพื้นช้าๆ รู้สึกผิดที่ตนทำให้เธอต้องตาย
“วิ่งเร็วเข้า !” ริกดึงผมขึ้นหันหลังวิ่งกลับมายังทางเดิมผมวิ่งตามริกไปข้างหน้า
“อาจจะเข้าลิฟต์ทัน” ริกตะโกนบอก ผมยิงไปยังกลอนประตูของห้องข้างหน้าก่อนเปิดออกเผยให้เห็นห้องพักจริงดังที่นักวิจัยหญิงพูดไม่มีผิด
“เร็วสิวะๆๆ” ริกพูดขณะรอลิฟต์ที่ยังมาไม่ถึง
“ไม่ทันแล้วริก” ผมพูดเมื่อไอพวกนั้นมันระดมยิงไล่หลังมา ก่อนจะดึงไอริกให้วิ่งต่อ “มึงบอกเองนี่ว่าบันไดหนีไฟเราเข้าไม่ได้หรอก” ริกพูดขณะวิ่ง
“ก็จริงแต่มันมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะ” ผมย้อนถาม
ครึ่ก ! สิ้นเสียงประตูทางหนีไฟก็เปิดขึ้นเผยเจ้าหน้าที่ขึ้นมาอีก ผมกับริกรีบยิงออกไปทันทีจนเจ้าพวกนั้นกลับเข้าไปหลบอยู่ข้างในทางหนีไฟ ผมหันหลังกลับมายิงไอพวกที่ตามมาข้างหลังอีกครั้งจนล้มลงไปคนหนึ่ง “อ้ากก !” ผมหันไปหาริกทันทีเมื่อเห็นมันล้มไปนอนกับพื้น“โดนที่ขา” ริกตอบเมื่อรู้ว่าผมจะถามอะไร “จบแล้วอ๋อง มาได้แค่นี้แหละ” ริกพูดเหมือนยอมแพ้
“จบห่าไร มันเพิ่งเริ่มต่างหาก !” ผมหันไปยิงลูกบิดประตูเหนือตัวมันก่อนจะบอกให้มันเข้าไปหลบซะ ก่อนจะหันมายิงห้องฝั่งตนก่อนจะรีบถีบประตูเข้าไป
ผมกับริกหลบอยู่ในห้องตรงข้ามกัน ซึ่งพวกเราหมดหนทางไปต่อ แล้วยังมีพวก รปภ. ทั้งสองทางต้อนเราสองคนจนมุมอีก“ยังไหวนะ” ผมถาม “ยังไหวอยู่” ริกตอบกลับ
ผมรีบเปลี่ยนแม็กสำรองที่เตรียมไว้อย่างเร็ว ตะโกนบอกให้มันทำแผลตัวเองก่อน ดูจากเลือดที่ไหลแล้วคราวนี้ไม่ได้เฉี่ยวแน่ๆ ทันทีที่เปลี่ยนแม็กเสร็จผมยื่นปืนออกไปนอกตัวห้องก่อนจะยิงส่งๆไปยังทั้งสองทาง หวังว่าจะถ่วงเวลาได้บ้าง
“อยู่แบบนี้นานๆ ไม่ได้แน่” ริกพูดก่อนเปิดฝายาแล้วรีบดื่มรวดเดียวหมด
“เราไม่เห็นการเคลื่อนไหวของมันเลย” ผมพูด
“เข้าไปดูในห้องมึงสิว่ามีกระจกหรืออะไรสะท้อนภาพได้เปล่าเดี๋ยวกูยิงถ่วงไว้ให้ เร็ว !” ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืนที่พวกนั้นเริ่มยิงตอบโต้มา
ภายในห้องก็ไม่ใหญ่มากโดยรวมก็มีแค่เตียงนอน โต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำเล็กๆ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำกระชากกระจกเงาบานหนึ่งที่ถูกติดไว้เหนืออ่างล้างหน้าเดินกลับออกมายังหน้าประตูห้องที่ริกกำลังยิงถ่วงเวลาไว้ให้
“อันนี้น่าจะใช้ได้” ผมตะโกนข้ามไปพร้อมกับถือให้มันดู
“ก็รีบใช้เซ่ มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ไม่กล้าชะโงกหน้าออกไปเลยเนี่ย” ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืน
ผมนั่งตรงหน้าประตูก่อนจะค่อยๆ เลื่อนกระจกออกไปผมเห็นรปภ. สองคนนอนนิ่งอยู่บนพื้นถัดจากหน้าประตูหนีไฟมาเล็กน้อยสงสัยไม่ริกก็ผมคงยิงมั่วไปโดนเข้า “มันอยู่หลังประตูหนีไฟ ตายไปสอง” ผมบอกมันก่อนจะเปลี่ยนด้านกระจกกลับมาอีกทิศที่ซึ่งพวกเราวิ่งหนีมาซึ่งก็มี รปภ.นอนแน่นิ่งอยู่สองสามคนเช่นเดียวกัน คงคิดจะบุกเข้ามาแต่ก็โดนลูกมั่วพวกเราไปซะก่อน เจ้าพวกนั้นรู้สึกจะหลบอยู่ตรงมุมไม่กล้าโผล่ออกมา เพราะผมไม่เห็นแม้แต่ปืนที่ชะโงกออกมาด้วยซ้ำ “มันหายไปไหนหมดไม่รู้ฝั่งนี้” ผมบอกริก
“งั้นรีบไปต่อเถอะ แผลกูหายแล้ว” ริกพูดพลางเปลี่ยนแม็กสำรอง ตอนนี้ผมกับริกหยุดยิงแล้ว พวกมันก็ดูท่าจะหยุดยิงเหมือนกัน
“จะไปไหนเล่า” ผมถาม
“มึงดูพวกมันไว้ก่อน กูมีความคิดดีๆ และ” ริกพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in