เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ALIVE : เกม ซ้อน เกมNO.W
ผิดที่
  • ……….

     

    ตอนที่ 21 : ผิดที่

     

    “อือ....”   ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนคว้าไอดีการ์ดบนโต๊ะหัวเตียงข้างๆเพื่อดูเวลาว่านี่มันกี่โมงแล้ว  ‘ตี 5 ยังเช้าอยู่เลยหรอเนี่ย’  ผมคิดก่อนจะวางไอดีการ์ดลงและพลิกตัวกลับมานอนต่อ  แต่พลิกไปพลิกมายังไงมันก็หลับต่อไม่ได้สักที

     

                ผมลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง มองเพื่อนๆ ที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในห้องที่มีแสงสลัวๆ ของไฟข้างถนนลอดเข้ามาก่อนจะได้ยินเสียงผู้คนคุยกันเบาๆ จากข้างนอก ‘เริ่มอีกวันแล้วสินะ’ ผมคิดก่อนลุกขึ้นจากเตียงนอนในสภาพชุดนอนสีขาวที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราคนละชุด  ผมเดินไปเปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวก่อนเดินไปอาบน้ำ

     

                หลายนาทีต่อมาผมเปิดประตูห้องน้ำและสะดุ้งตกใจริกที่นั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆสายตามองมาที่ผม


    “ตกใจไรล่ะ จำกูไม่ได้รึไง” ริกถามก่อนลุกขึ้นจากเตียง


    “เปิดประตูมาเจอคนนั่งจ้องอยู่ในที่มืดๆใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ”  ผมพูดก่อนเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อวาน ก่อนจะได้ยินเสียงริกหายไปพร้อมกับเสียงปิดประตูห้องน้ำ


    “พวกมึงตื่นเช้ากันจัง” เปาพูดด้วยเสียงงัวเงียพร้อมกับพลิกตัวไปมาเหมือนคนที่กำลังจะลุกขึ้นจากเตียงแต่เหมือนยังไม่อยากจากความนุ่มสบายของเตียงไป


    “ไอเอิร์นมันขี้เซาตลอดเลยรึไงเนี่ย”ผมพูดก่อนดึงกระเป๋าออกมาจากตู้แล้วมานั่งลงบนเตียง เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียงพลางเปิดกระเป๋าค้นนู่นนี่เรื่อยเปื่อย


    “มันก็งี้แหละ”เปาพูด ลุกขึ้นนั่งบนเตียง


    “ฮ้า ~  อาบน้ำแล้วมันสดชื่นยังงี้แหละน้า” ริกพูดขณะก้าวออกจากห้องน้ำ


    “อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะมึงเนี่ย” เปาว่า ลุกไปอาบน้ำบ้าง


    “ตอนเช้าใครเค้าอารมณ์เสียกันบ้างล่ะ” ริกกระโดดลงไปบนเตียงทันทีเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

    “นี่มึงจะเอาปืนเข้าไปด้วยหรออ๋อง” ริกถามเมื่อเห็นผมยัดปืนสั้นไว้ที่ต้นขา


    “พกไว้อุ่นใจน่ะ” ผมพูดพลางถกกางเกงขึ้น  ยัดมีดลงไปในรองเท้าและเอาขอบกางเกงคลุมเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น


    “อือๆกูเอาแค่มีดไปด้วยก็พอและ เผื่อมันไม่ได้เข้าขึ้นมาจะแย่เอา เห็นคนเดินกันไม่พกอาวุธให้เห็นเลย”  ริกเอ่ย


    “กูก็ไม่เห็นคนพกเหมือนกันว่ะแต่ช่างเหอะ ไงกูก็จะไปเอาอยู่ดีแหละ” ผมตอบก่อนยัดแม็กกาซีนสำรองไว้ข้างหลังกางเกง


    “ไอเอิร์น ! เค้าตื่นกันหมดแล้ว มึงไม่คิดจะตื่นรึไง”  ริกตะโกนพลางลุกไปเขย่าตัวมัน


    “อือ ~ ตื่นแล้วๆ เดี๋ยวเปาอาบเสร็จกูลุกเลย”  เอิร์นตอบ ยังมุดอยู่ในผ้าห่ม


    “มันอาบเสร็จพอดีเลย”ผมบอกเอิร์นเมื่อเปาเปิดประตูห้องน้ำออมาพอดี


    “โห่ ~ รีบอาบหรอวะเปา” เอิร์นพึมพำๆก่อนจะลุกด้วยสภาพงัวเงียเดินตรงไปยังห้องน้ำ

     

                ไม่กี่นาทีต่อมาพวกเราทุกคนก็พร้อมที่จะออกเดินสำรวจเมืองแห่งนี้กัน  ก่อนอื่นพวกเราทั้งสี่คนเดินมายังถนน 6เพื่อมาหาอะไรกินกันก่อน  ซึ่งนี่ก็ปาไปเกือบ8 โมงเช้าแล้ว ผู้คนเริ่มพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราตกลงกันว่าจะแยกกันไปซื้อของแล้วไปรวมกันที่ศูนย์กลางประมาณเที่ยง เพื่อจะได้ซื้ออาวุธแล้วก็เดินกลับกัน

     

                โดยผมกับริกขอออกมาก่อนเนื่องจากไม่อยากรอเอิร์นที่ยังขอกินต่อโดยมีเปาอยู่เป็นเพื่อนเนื่องจากมันยังไม่ค่อยอยากเดินเท่าไหร่


    “นี่มึงจะไปไหนก่อน” ริกถามขณะเรากำลังเดินสวนผู้คนในซอยที่แออัดเพื่อที่จะไปยังถนน7 ซึ่งที่นี้มีร้านขายของจิปาถะมากมาย  แต่จุดประสงค์ของผมก็คืออยากเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง


    “ร้านขายเสื้อไงกูรู้สึกว่าตอนนี้มันมีกลิ่นเน่าโชยออกมาจากตัวพวกเราไงไม่รู้สิ” ผมบอก


    “อย่าว่าแต่มึงเลย กูว่ากูก็ได้กลิ่น” ริกตอบพลางมองร้านนู้นทีร้านนี้ที

     

                ร้านค้าต่างๆล้วนน่าเข้าไปหมดไม่ว่าจะเป็นทั้งเสื้อและกางเกงล้วนแต่มีทั้งแฟชั่นปัจจุบันที่โลกภายนอกยังฮิตกันอยู่ไปจนถึงแฟชั่นแบบต่างๆเรียกว่าสามารถหาได้ทุกแบบที่คุณอยากจะใส่เลยก็ว่าได้


    “ร้านนี้มะ”  ริกชี้ไปยังร้านที่เยื้องไปทางขวาข้างหน้าพวกเรา  มันเป็นร้านขายเสื้อผ้าวัยรุ่นผู้ชาย  จากข้างนอกผมเห็นเสื้อยืดลายต่างๆ ถูกแขวนเต็มไปหมดและยังมีโซนกางเกงของผู้ชายอีก  ดูจากร้านที่ไม่ค่อยหรูหรามากนักจึงไม่น่าจะแพงเท่าไหร่  ซึ่งไม่เหมือนกับร้านที่พวกเราผ่านมาซึ่งแค่การประดับร้านก็นึกว่าโรงแรมห้าดาวซะแล้ว  ทำเอาเราสองคนไม่กล้าเข้าเลยทีเดียว


    “ดูท่าจะโอเคอยู่นะร้านนี้” ผมตอบ

     

                ภายในร้านเป็นทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่ถึงกับเล็กจนเกินไป  สองข้างผนังร้านมีตู้ไม้สีเข้มด้านในเต็มไปด้วยสียืดหลากหลายขนาดถูกแขวนเรียงเต็มไปหมด  โดยข้างร้านนี้จะแบ่งเป็นซีกขายเสื้อและซีกที่ขายกางเกง พอเข้ามาในร้านผมกับริกก็แยกย้ายกันไปตามหาสิ่งที่ตนเองชอบ 

     

                คราวนี้ผมเลือกเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาอ่อนแทนตัวเก่าที่ใส่อยู่ซึ่งเป็นสีขาว  ถึงตอนนี้มันจะไม่ขาวแล้วก็เถอะ  ผมเลือกมาสองตัวแบบแขนสั้นและแขนยาว  และซื้อกางเกงยีนสีดำเข้มตัวใหม่ ส่วนริกก็เลือกเสื้อยืดสีน้ำตาลที่เขียนข้างหลังว่า Alive  และเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มแทนตัวเก่าที่เลอะไป

     

                พวกเราต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของใหม่ทันทีและทิ้งของเก่าไว้กับทางร้าน  ส่วนอีกตัวผมเก็บใส่เป้ที่แบกมาด้วย  พวกเราทุกคนทิ้งอาวุธไว้ในโรงแรมหมด  เลือกเอามาแต่กระเป๋ามาใส่ของเท่านั้น

     

                เมื่อเสร็จสิ้นการซื้อเสื้อผ้า  ผมกับริกก็ไม่รู้จะไปไหนกันต่อ เลยเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางแยกทิศใต้และรอคิวขึ้นรถรางที่มีบริการตรงทางแยกทั้ง 4 ทิศเพื่อเข้าไปสู่ใจกลางมากขึ้น

     

    ……….

     

     

    “อันที่จริงรู้สึกว่ามันก็ไม่มีอะไรให้ซื้อมากนักนี่หว่าเราซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนเสร็จยังไม่ 10 โมงเลยมึงลองส่งข้อความไปถามพวกมันดิว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว”  เปาบอกเอิร์นพลางมองรถรางที่ผ่านหน้าไป  ตอนนี้เปากับเอิร์นอยู่ที่ปลายถนน 7ทางทิศตะวันตก


    “มึงอยู่ไหนกันแล้ว”เอิร์นพิมพ์ถาม


    “อยู่บนรถรางขาเข้า” ไม่นานริกก็ตอบกลับมา


    “บอกมันด้วยนะว่าอย่าลืมซื้อพวกยาไปด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวจะลำบากเอา”  เปาเตือน


    “พวกมึงอย่าลืมซื้อยานะเว้ย!”  เอิร์นพิมพ์ตามที่เปาบอก


    “เออว่ะ ! ลืมเลย งั้นเดี๋ยวไปซื้อและ” ริกตอบกลับมา


    “ดีนะที่มึงเตือน ไม่งั้นพวกมันก็คงลืมซื้อยาอีกแหละ” เอิร์นบอก


    “กลัวออกไปแล้วจะไม่มีที่ขายหรือหาเจอง่ายๆน่ะสิ”  เปาพูด


    “งั้นก็ไปต่อเถอะ” เอิร์นเดินต่อโดนมีเปาเดินตามหลัง  ซึ่งตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินอยู่ทางแยกใหญ่ทิศตะวันตกและเดินฝ่าฝูงคนที่ค่อนข้างหนาแน่นเข้าไปข้างในใจกลางเรื่อยๆ

     

     

    ……….

     

    “ว่าแต่ร้านยามันอยู่ละแวกไหนล่ะเนี่ย” ผมถามริกขณะก้าวลงจากบันไดรถราง  พวกเราลงในถนน 8 


    “ขึ้นได้แปปเดียวก็ลงซะและ”  ริกพูดไล่หลังตามมาติดๆ


    “ฮะฮะ นั่นสิตอนนี้ช่วยกันหาร้านขายยาก่อนเถอะ จะได้ไม่ลำบากกันคราวหลัง”  ผมพูด


    “เดินไปเดี๋ยวก็เจอเองแหละน่า” ริกพูดพลางหลบคนที่เดินสวนมา

     

                พวกเราเดินกลับเข้าสู่ถนน 8 ซึ่งหนาแน่นไปด้วยผู้คนอันที่จริงมันก็ทุกถนนนั่นแหละนะ ในถนนเส้นนี้มีแทบทุกร้านจิปาถะต่างๆทั้งอุปกรณ์พื้นฐานพวกถุงมือ  ซองปืนไปจนถึงร้านขายเสื้อเกราะกันกระสุน  และยังมีร้านขายของต่างๆอีกมากมาย  ซึ่งในนั้นต้องมีร้านขายอุปกรณ์รักษาพยาบาลอยู่แน่นอน

     

                เราเข้าร้านแรกที่เจอค่อนข้างใหญ่ทีเดียวและมีผู้คนในร้านจำนวนหนึ่งที่ต่างเดินดูหาในสิ่งที่ตนต้องการ

     

                ภายในร้านทาด้วยสีขาวสะอาดสะอ้านมีชั้นวางยาและอุปกรณ์ประเภทผ้าก็อตพันแผล น้ำยาล้างแผล  มีตั้งแต่ระดับพอใช้ไปจนถึงระดับดีเลยทีเดียว   เราสองคนต่างเลือกซื้อน้ำยารักษาแผลระดับกลางมาคนละสามขวด  แค่ขวดเดียวก็ปาไป 2 พันแล้ว  ถ้ารวมค่าเสื้อผ้า ค่าอาหาร ค่าที่พักนี่หมดกันไปเกือบ2 หมื่น ยังดีที่พวกเรามีปืนพร้อมอยู่แล้วจึงแค่ซื้อกระสุนเป็นพอซึ่งเงินเรายังมีพอเหลือซื้อกันอยู่บ้าง  เมื่อจ่ายตังเสร็จริกก็สะกิดผมบอกว่าเอิร์นกับเปาเพิ่งเดินผ่านหน้าร้านไป


    “ตามมันไปมะ”  ริกถาม


    “ถ้ายังทันนะ” ผมตอบ

     

                พวกเราออกมาจากร้านขายยาและก็ต้องลืมความคิดที่จะตามเอิร์นกับเปาไปได้เลย  เนื่องผู้คนที่เยอะมากจนผมอดที่จะบอกริกให้สะพายเป้ไว้ข้างหน้าตัวไม่ได้  เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่จะไม่มีโจร

     

                ผมกับริกค่อยๆเดินฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆ พลางดูราคาอาวุธและกระสุนปืนต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะแปะไว้หน้าร้าน  เท่าที่ดูราคามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เราจึงตัดสินใจเลือกร้านที่มีคนน้อยที่สุดแทนจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน

     

                พวกเราเลือกเข้าไปยังร้านสภาพค่อนไปทางดี ไม่มีชื่อร้าน  ราคาก็ถือว่ารับได้และคนก็ไม่เยอะซะด้วย  พวกเราใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่  เพราะต่างก็รู้กันว่าจะซื้ออะไร  ผมก็แค่กระสุนปืนสั้น  ปืนกล สไนเปอร์  ริกก็แค่สองอย่างแรกเท่านั้นแต่จำนวนอาจจะมากกว่าผมหน่อย  เพราะผมต้องหารตังไปซื้อกระสุนสไนเปอร์ด้วย

     

    “พวกมึงอยู่ไหนกันแล้ว”  ริกพิมพ์ไปถามพวกเปาระหว่างที่เรายืนมองผู้คนเบียดเสียดไปมาบนถนนอยู่ภายในร้าน


    “เดินไปเรื่อยอ่ะกะจะดูให้หมดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจซื้อ” เปาตอบ


    “บอกมันไปว่างั้นไปเจอกันที่ตึกของเกมส์นะ” ผมบอกริกที่กำลังจิ้มนิ้วไปมาบนแผ่นไอดีการ์ดใสๆของมัน  อันที่จริงถ้าเรากดปิดนี่แทบจะนึกว่าเป็นกระจกแผ่นเล็กๆแผ่นนึงซะมากกว่านะเนี่ย  ผมคิด


    “มันบอกว่า ก็ได้”  ริกบอก ก่อนเก็บไอดีการ์ดไว้ในกระเป๋ากางเกง


    “งั้นเราก็ไปกันเถอะ กูอยากเห็นจะแย่แล้วเนี่ย” ผมเปิดประตูออกสู่ถนนที่แออัดอีกครั้ง

     

                พวกเราสองคนเดินฝ่าผู้คนเข้าสู่ตรอกเพื่อทะลุมายังถนน9 ที่ทั้งถนนเป็นแหล่งขายอาวุธแทบจะทุกร้านก็ว่าได้ ตั้งแต่ มีดพับ ไปจนถึง RPG พี่แกก็มีขายแต่ผมกับริกไม่ได้สนใจที่จะแวะกันสักเท่าไหร่  พวกเราเดินต่อ ทะลุอีกตรอกมาจนถึงถนน  ไม่สิ  น่าจะเรียกว่าลานโล่งมากกว่า

     

                ทันทีที่ก้าวออกมาจากตรอกเล็กๆเราก็มายืนอยู่หน้าลานกว้างที่ประดับประดาไปด้วยพุ่มไม้ที่มีดอกไม้หลากสีสันเต็มไปหมด  และมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาอยู่ประปราย  ข้างใต้มีม้านั่งยาวไว้สำหรับผู้เล่น  ตัวอาคารเป็นกระจกทึบทำให้ตัวอาคารเองสะท้อนภาพของสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษที่อยู่ข้างหลังผมกับริก  แต่ในรอบๆ บริเวณนี้มีแต่ร้านกาแฟและร้านขนมร้านอาหาร  เหมือนกับเอาไว้ให้ผู้คนมานั่งพักผ่อนกันซะมากกว่า อีกทั้งตัวตึกที่สูงเกือบจะสิบชั้นได้ทำเอาผมกับริกทึ่งไปตามๆกันเนื่องจากไอ้เมืองนี่มันอยู่ในเขาไม่ใช่เรอะ ! ไหงมันถึงสร้างได้สูงขนาดนี้ล่ะ ! ผมคิดในใจ


    “ไอ้เขาที่สูงประมาณตึก10 ชั้นนี่กูคิดว่ายังพอมี แต่นี่มันมีพระอาทิตย์ในภูเขาได้ไงวะ !”  ริกพูดขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปยังทองฟ้า


    “เออว่ะ  เพิ่งจะสังเกตนะเนี่ย”  ผมพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่พวกเราอยู่ในเขา


    “เอ้อ ! กูก็ลืมไปว่านี่มันเกมส์นี่หว่า ฮ่าฮ่า”   ริกพูดเองตอบเอง


    “เข้าไปดูข้างในกันเถอะ” ผมพูด ก่อนที่พวกเราจะเดินข้ามลานกว้างมุ่งไปยังหน้าประตูตึกของเกมส์ที่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าประตูกระจกทึบอยู่สองคน 

     

                พวกเราโดนตรวจเป้ มันทำเอาผมเสียววาบขึ้นมาเลย  ถ้าพี่แกเห็นปืนที่เหน็บไว้ข้างหลังเสื้อยืดที่ตอนหลังผมไปซื้อเสื้อหนังแขนยาวสีน้ำตาลเข้มมาใส่อีกชึ้นนึงและมันก็ได้ผลซะด้วยเพราะพวกเราสามารถผ่านยามหน้าประตูเข้ามาได้


    “ดีนะต่างก็ซื้อเสื้อชั้นนอกมาใส่เนี่ย ไม่งั้นมึงงานเข้าแน่อ๋อง”  ริกเอ่ยด้วยสีหน้าโล่งอก


    “เออดิเมื่อกี้นี่เสียววาบเลยกู”  ผมตอบก่อนมองสภาพภายในอาคาร

     

                ทันทีที่พวกเราก้าวเข้ามาก็เป็นพื้นที่ตรงกลางโล่งๆ ซ้ายขวาเป็นโต๊ะนั่งและโซฟาต่างก็มีผู้เล่นนั่งกันบ้างบางส่วน  ตรงไปข้างหน้ารู้สึกจะเป็นล็อบบี้ของฝ่ายประชาสัมพันธ์และมีร้านค้าเล็กๆที่ออกแนวหรูหรามาเปิดให้ลูกค้าได้นั่งเล่นกันในชั้นแรก


    “พวกเราจะมาสอบถามทางในเกมส์นี้น่ะคับไม่ทราบว่าต้องไปตรงไหนอย่างไร”  ผมถามพนักงานหญิงที่นั่งคู่กับเพื่อนอีกหนึ่งคนซึ่งก็กำลังตอบคำถามผู้เล่นกลุ่มหนึ่งอยู่เหมือนกัน


    “จะขออธิบายก่อนแล้วกันนะคะชั้นสองของที่นี่จะเป็นสมาคมต่างๆ ที่พวกผู้เล่นได้จัดตั้งขึ้น รวมไปถึงที่ขายของมือสองที่พวกผู้เล่นนำมาขายเองซึ่งจะมีราคาถูกกว่าในตลาดค่ะส่วนชั้น 3นั้นจะเป็นส่วนที่เอาไว้บริการสำหรับผู้เล่นที่มีปัญหาและสงสัยในการเล่นเกมส์ต่างๆค่ะ”


    “อ่อ ~  โอเคคับขอบคุณสำหรับคำอธิบายครับผม”  ผมกล่าวขอบคุณก่อนละออกมาจากเคาน์เตอร์พนักงาน เพื่อจะได้ให้ผู้เล่นคนอื่นที่เข้าคิวอยู่ต่อไป


    “ชั้น 3 เท่านั้นนะคะที่พวกคุณทั้งสองจะต้องขึ้นไป ถ้าเกินกว่านั้นจะเป็นเขตหวงห้ามและมีโทษสถานหนักสำหรับผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปในเขตดังกล่าวนะคะ” พนักงานพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานพร้อมกับรอยยิ้มตามมารยาทของเจ้าหน้าที่


    “ครับผม”  ผมรับคำเจ้าพนักงาน


    “ไมย้ำจังวะเอาซะกูสงสัยเลย”  ริกพูดขณะเดินไปยังลิฟต์ที่อยู่เยื้องไปข้างหลังเคาน์เตอร์


    “นั่นดิ  ว่าแต่ขึ้นบันไดดีกว่ามะ อยากไปดูชั้นสองด้วยว่ะไหนๆ ก็มาแล้ว”  ผมบอก


    “ก็ได้”  ริกผลักประตูหนีไฟก่อนเดินนำหน้าผมขึ้นไปยังชั้นสองของตัวอาคาร


    “ทำไรอีกอ่ะ”  ริกถามพลางคว้าที่จับประตูเตรียมจะออกไปชั้นสอง


    “ถามไอ้สองคนนั้นน่ะดิไม่รู้อยู่ไหนกัน ช้าจริงๆ”  ผมส่งข้อความไปถามเปาว่า


    “นี่อยู่ไหนกันเนี่ย”  ผมถาม


    “อยู่หน้าตึกแล้วไอเอิร์นมันขอแวะกินข้าวเที่ยงอยู่ พวกมึงไม่กินกันรึไง”  เปาถามกลับทำเอาผมชำเลืองไปยังขอบบนขวาไอดีการ์ดที่บอกเวลาเกือบบ่ายแล้ว‘สงสัยจะตื่นเต้นกับสถานที่มากไปหน่อยเลยไม่หิว’  ผมคิดก่อนจะตอบกลับไปว่า


    “ยังไงก็เจอกันข้างในละกันพวกกูรออยู่ข้างบนนี่แหละ”  ผมตอบก่อนจะยัดไอดีการ์ดใส่กระเป๋ากางเกง  เดินตามริกที่รอผมอยู่ออกไปยังชั้นสอง

     

                บรรยากาศชั้นนี้ค่อนข้างสงบกว่าที่คิด  คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ในตัวตึกด้วยล่ะมั้ง ทุกอย่างเลยดูเป็นทางการไปซะหมด  เท่าที่ผมกับริกเดินดูในชั้นนี้จะมีสมาคมที่ผู้เล่นต่างก็ตั้งกันเองเสมือนรวมกลุ่มกันออกไปจัดการซอมบี้ซึ่งย่อมมีการแข่งขันกันระหว่างสมาคมแน่นอนระหว่างทางก็มีหลายสมาคมเข้ามาทักทายและพยายามชวนผมกับริกเข้าไปอยู่ในสมาคมด้วยกันแต่พวกเราก็เลือกที่จะปฏิเสธไว้ก่อนเพราะยังไม่อยากมีเรื่องรกหัวเยอะจนเกินไป

     

                นอกจากสมาคมต่างๆแล้วยังมีการรวมกลุ่มกันของผู้เล่นที่มีจุดมุ่งหมายทางการค้าเท่านั้น ก็คือการออกไปหาของตามสถานที่ต่างๆมาขายซึ่งมันจะมีระดับที่ไม่มีขายในตลาดทั่วไป  พวกเราเดินดูไปเรื่อยๆ ซึ่งชั้นนี้ค่อนข้างกว้างและใหญ่อยู่มาก ตอนนี้เราก็มาอยู่ในจุดขายของมือสองและของที่หาได้จากในเกม  ซึ่งมีราคาถูกกว่าในตลาดแต่ดูจากสภาพแล้วต้องเลือกให้ดีเลยทีเดียว  ผมกับริกตัดสินใจขึ้นชั้นต่อไปเลย  เพราะเราก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับชั้นนี้อยู่แล้ว


    “ชั้นนี้คนไม่ค่อยมีเลยวุ้ย” ริกพูดขึ้นเมื่อเปิดประตูหนีไฟออกไปสู่ชั้นสามซึ่งถูกแบ่งเป็นแผนกๆไว้อย่างชัดเจน  แต่ละแผนกก็จะมีผู้เล่นบ้างประปรายใช้บริการอยู่ซึ่งไม่เยอะเท่าไหร่


    “แล้วมึงมาชั้นนี้ทำไม” ริกถามขณะเดินนำไปนั่งบนโซฟาที่ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับผู้เล่น


    “ใจจริงก็แค่อยากมาเดินเล่นเท่านั้นแหละมาทั้งที แต่ไงก็อยากรู้ซะหน่อยว่าไอ้เกมส์นี้แผนที่มันไปสุดที่ไหนอย่างไร” ผมตอบพลางมองผู้คนที่เดินไปเดินมา


    “อืม ก็ดีนะจะได้คิดถูกว่าจะไปไหนบ้าง”  ริกว่า


    “งั้นก็ลุกเถอะตอนนี้คนน้อยอยู่”   เราสองคนเดินไปยังแผนกที่เขียนข้างบนไว้ว่า  สอบถามข้อมูลทั่วไป  ซึ่งอันที่จริงมีอยู่แค่ไม่กี่แผนกเท่านั้นแหละ เพราะอีกครึ่งนึงของชั้นนี้มีกำแพงกั้นไว้ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าหลังกำแพงนั่นคืออะไร


    “สวัสดีค่ะ  ต้องการสอบถามเรื่องอะไรคะ”  พนักงานหญิงหน้าตาใจดีถามขึ้น


    “พวกเราอยากจะรู้อาณาเขตทั้งหมดของเกมส์น่ะคับว่าสามารถไปตรงไหนได้บ้าง” ผมพูด


    “ข้อมูลในส่วนนี้เราไม่สามารถบอกได้ค่ะเนื่องจากทางเกมส์อยากให้ผู้เล่นได้ผจญภัยและเปิดแผนที่ด้วยตนเอง ดังนั้นคุณสองคนสามารถสอบถามได้กับสมาคมของผู้เล่นที่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อทำแผนที่โดยเฉพาะค่ะ” พนักงานตอบด้วยเสียงฉะฉาน


    “อ่อ ~ ขอบคุณมากคับ”  ผมกล่าวขอบคุณ


    “งั้นแสดงว่าเราต้องไปซื้อแผนที่สินะ”  ริกถาม


    “ก็คงงั้น” ผมตอบ


    “เอ้อ ตอนนี้พวกไอเปาอยู่ชั้นสองแล้วนะ” ริกบอก


    “งั้นบอกมันให้ซื้อแผนที่ซะสิแล้วเดี๋ยวลงไปเจอกันข้างล่าง”  ผมพูดก่อนเดินนำริกไปยังลิฟต์


    “อ่าวไม่ลงลิฟต์ล่ะ” ริกถามพลางส่งข้อความไปบอกพวกเปา


    “ขามาขั้นบันไดขากลับขอลงลิฟต์บ้างดิมาทั้งทีไม่ได้เข้านี่แย่เลย”  ผมพูด พวกเรากดปุ่มเรียกลิฟต์และก้าวเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด


    “มาเร็วแฮะ”  ริกเอ่ย

     

                ทันทีที่เข้ามาในลิฟต์ผมก็เงื้อมมือไปยังแผงปุ่มกดที่มีอยู่แค่3 ชั้นเท่านั้น  ผมกดปุ่ม 2ก่อนที่จะพบว่าไฟมันไม่ขึ้น กดเท่าไหร่ไฟก็ไม่ขึ้นจึงหันไปมองริกที่สงสัยเหมือนกัน  มันจึงเงื้อมมือมากดมั่งแต่ไฟก็ยังไม่ติด  พวกเราย้ำๆ ทั้งกดแบบแรงและนุ่มนวลก็แล้วก็ยังไม่ได้


    “ห่าราก ตึกอย่างหรูทำไมลิฟต์เป็นงี้”  ริกอุทานขึ้นก่อนกระแทกนิ้วไปยังเลข1 ปรากฏว่าไฟติด และประตูลิฟต์ก็ปิดตัวลง


    “ไม่มีอะไรดีไปหมดหรอกน่า”  ผมพูด

     

    ติ๊ง ~ เสียงสัญญาณว่าถึงชั้นที่หมายแล้วดังขึ้น

     

    “ต้องเดินขึ้นอีกสิน่า…”   ริกพูดขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก


    “….”  

     

                ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด  ภาพข้างหน้าทำเอาเราทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงเนื่องด้วยชั้น1 ที่เราลงมามันไม่ใช่ชั้นเดียวกับตอนแรกที่ขึ้น แต่มันดันกลายเป็นว่าเรามาโผล่อยู่ชั้นอะไรก็ไม่รู้ที่ค่อนข้างมืดสลัว  มีโคมไฟระย้าห้อยต่องแต่งเป็นทางยาวไปเรื่อยๆ ที่ไม่รู้ไปสุดอยู่ที่ไหน พื้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำอะไรไม่รู้ที่ขังไว้ตามร่องบนพื้น อากาศก็ชื้นๆ  อึดอัดแบบบอกไม่ถูก ทันทีที่ผมตั้งสติได้ก็รีบกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ทันที  แต่ให้ตายมันก็ไม่ปิด  ไม่แม้แต้จะมีไฟขึ้นซะด้วยซ้ำ  ผมเลยกดมันหมดเลยเลขหนึ่ง สอง สามแต่ไฟก็ไม่ขึ้นสักปุ่ม ริกจึงพูดขึ้นว่า


    “ลิฟต์มันดับแล้วมึงไม่รู้รึไงดูไฟบอกชั้นข้างบนสิดับแล้วเห็นมะ”  ริกพูดขึ้นด้วยเสียงที่เหมือนยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าลิฟต์ใช้ไม่ได้ทั้งที่ตนเองเป็นคนพูด


    “งั้นหมายความว่า...” ผมพูดพร้อมกับสายตาของผมกับริกจะมองออกไปยังทางเดินที่ชื้นแฉะและมืดสลัวข้างหน้า

     

    ……….

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in