เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cineflixswiftism
It Chapter Two (2019) - โผล่จากนรก


  • หนังออกมาครบสองภาคแล้ว แต่ผมยังอ่านนิยายไม่จบเลยแม้จะซื้อมาตั้งแต่ที่ภาคแรกเข้าโรงใหม่ๆ คือมันหนามากกกกก + สำนวนของผู้แปลมันพิลึกๆชอบกล (ความเห็นส่วนตัวผมนะ) มันก็เลยไม่น่าอ่านเท่าไรแม้เนื้อหาข้างในจะเย้ายวนแค่ไหนก็ตาม การดู It Chapter Two จึงเหมือนเป็นการสปอยล์ตัวเองไปในตัว

    จริงๆผมก็แอบอ่านสปอยล์หนังสือมานานมากแล้วแหละ นานจนจำไม่ได้แล้วว่ารายละเอียดมันเป็นยังไง พอได้มาดูหนังจึงอ๋อ มันเป็นแบบนี้ๆนี่หว่า เพราะฉะนั้นผมจะบอกตรงนี้เลยละกันว่าหนังภาคนี้ค่อนข้างคล้ายหนังสือทีเดียวครับ (คล้ายหรือเหมือนแค่ไหนไม่ทราบจริงๆเพราะยังอ่านไม่จบ แต่จุดใหญ่ๆผมคิดว่าหนังน่าจะหยิบจากนิยายมาใช้ครบเลย)

    ตอนแรกแอบลังเลนิดนึงเพราะเห็นว่าหนังได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างเสียงแตกพอสมควร บางคนชอบก็ชอบไปเลย ส่วนบางคนที่บอกว่าสู้ภาคแรกไม่ได้ก็มีเยอะ ยิ่งก่อนหน้านี้ที่ผู้กำกับ Andy Muschietti ออกมาบอกว่าภาคนี้จะน่ากลัวกว่าภาคแรกมาก ยิ่งทำให้ความคิดผมเกิดความคาดหวังขึ้นมา แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้หวังเยอะ จนสุดท้ายผมคิดว่าผมเอ็นจอยกับหนังมากๆเลยแฮะ

    แม้หนังจะยาวเกือบสามชั่วโมง (ยาวเป็นอเวนเจอร์สกันเลยทีเดียว) แต่ผมรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปไวมากกกกกกกก เพราะโดยปกติแล้วผมเป็นคนสมาธิสั้น วอกแวกง่าย ถ้าหนังเรื่องไหนน่าเบื่อจะดูนาฬิกาทันทีว่าเมื่อไหร่มึงจะจบว้า เบื่อฉิบหายแล้วโว้ย แต่กับเรื่องนี้คือมันผ่านไปแบบรู้ตัวอีกทีก็คือเดินออกจากโรงแล้ว

    (source: IMDb)
    หนังสนุกมาก สนุกแบบบ้าคลั่ง แม้จะยืดไปบ้างในบางช่วง แต่ภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าผู้กำกับคุมจังหวะหนังได้ลงตัว คือมันลื่นไหล เรื่องราวเริ่มจากจุด A ไปจุด B อย่างไม่รู้สึกติดขัดอะไร จังหวะมันเร็วด้วยแหละ

    ที่ว่าภาคนี้น่ากลัวกว่าภาคแรกมั้ย ผมว่าไม่นะ โอเค คือมันยังมีความหลอนๆอับๆอยู่ในโทนเรื่อง แต่ด้วยความที่ตัวละครมันโตกันหมดแล้วอะ อย่างภาคแรกที่มันยังเด็กอยู่ พอมันไปเจอเพนนีไวส์ เรารู้สึกว่ามันสู้ไม่ได้แฮะ แต่พอมันโตขึ้น กลับมองว่าเฮ้ย ต้องสู้มันกลับบ้างแล้วแหละ ฝีมือน่าจะสมน้ำสมเนื้อกันอยู่ ภาคนี้จึงค่อนข้างออกกลิ่น 'มันส์ๆ' เหมือนหนังแอ็คชั่น อะไรแบบนี้ ผมเลยมองว่าภาคนี้น่ากลัวไม่เท่า แต่โทนมันดาร์กขึ้นนิดนึง เรื่อง jump scare ก็ยังจัดเต็มนะ (แต่ส่วนตัวผมที่กลัวตุ้งแช่เนี่ย ได้ดูเรื่องนี้แล้วไม่ค่อยปิดตาเหมือนเรื่องที่ผ่านๆมานะ 555555)

    ส่วนตัวแล้วผมชอบภาคนี้สูสีกับภาคแรกนะ คือ It เนี่ยมันเป็นเรื่องราวมิตรภาพ + coming-of-age ที่มีตัวตลกเพนนีไวส์เป็นตัวละครที่ช่วย clarify ให้พวกเด็กๆได้เข้าใจถึงการเติบโต ส่วนภาคนี้ตัวละครมันโตกันหมดแล้ว แต่หนังก็ยังรักษาความ COA เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ผมถูกจริตกับหนังแนวนี้อยู่แล้วไง ดูแล้วมันเกิดคำถามในตัวเองว่าตกลงแล้วเราโตเหมือนที่เราคิดแล้วหรือยังนะ

    แคสท์ตอนโตผมว่าเจ๋งมาก เหมาะสมกับบทกันทุกคน แต่ที่ประทับใจมากๆเลยคือ Bill Hader ในบทริชชี่ กับ James Ransone ที่รับบทเอ็ดดี้ เป็นตัวขโมยซีนของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ออกมาแต่ละฉากนี่เตรียมฮาได้เลย เป็นการผ่อนอารมณ์หนังที่ effective มาก ประทับใจมากๆ

    (source: IMDb)
    เป็นการดูหนังที่อิ่มที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่ดูหนังมา ทั้งเรื่องความยาวที่จัดหนักจัดเต็ม และเนื้อหาข้างในที่ appealing จนไม่อยากให้มันจบเลย อิ่มจนแบบถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่ใช้ส่วนลดค่าตั๋วอะครับ ขนาดนั้นเลย 5555555 It Chapter Two มีทุกอย่างจริงๆ ทั้งความสนุก ความน่ากลัว เรื่องราวของมิตรภาพ การเติบโต ไปจนถึงการต่อสู้กับความกลัวในจิตใจของตัวเอง มีความตลกแบบเกินคาด แต่ก็ยังไม่ทิ้งฉากชวนสะดุ้งไปไหน โดยรวมแล้วชอบมากๆครับ อิ่มจริงๆ ดูจบแล้วไม่กินข้าวเลยสามวัน

    และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด นี่ก็น่าจะติดในลิสต์หนังแห่งปี 2019 ของผมแน่นอนครับ

    ปล. : มี easter eggs จากนิยายเรื่องนึงของ Stephen King ด้วย + ตัวละครลับที่ว้าวมาก ทั้งสองที่ว่ามาผมนี่กรี๊ดเลย + หนังไม่มีฉากท้ายเครดิตนะครับ :-)

    Score: 8.5/10

    Directed by: Andy Muschietti
    Screenplay by: Gary Dauberman
    Based on the novel by: Stephen King
    Genre: Horror, Thriller
    Runtime: 169 mins

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ ^^
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in