เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short Episode & Shotoliviamillw
[LODW] After story
  • After Story

    Ten years Ago

      

    วันนี้เป็นวันที่อากาศดีวันหนึ่งของคอร์เดเลียเนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  หมู่วิหคบินถลาร่อนไปตามกระแสลมอ่อนๆท่ามกลางท้องฟ้าสีครามและมวลเมฆสีขางบริสุทธิดุจปุยฝ้าย  ในระเบียงทางเดินของมหาราชวังใจกลางคอร์เดเลีย แสงแดดสาดส่องไปที่ระเบียง เสียงฝีเท้าหนักๆและมั่นคงค่อยๆก้าวเดินไปตามทางเดินอย่างเป็นจังหวะ

      

    เส้นผมสีน้ำตาลที่เคยสั้นแค่บ่าตอนนี้กลับถูกมัดเป็นหางม้ายาวจรดบั้นท้าย มัดด้วยริ้บบิ้นสีน้ำเงินเข้มที่ผู้เป็นภรรยาบอกว่าเข้ากับสีผมของเขามากและยังเข้ากับชุดทางการที่เขาใส่ทำงานมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ละชุดทรงเกียรติของบุรุษทั่วทั้งคอร์เดเลียอย่าง “อัศวิน” ไปแล้ว

      

    ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงความสวยไว้เฉกเช่นเหมือนอายุยี่สิบปลายๆ ทว่าในความงดงามนั้นกาลเวลาได้หล่อหลอมให้คมเข้มขึ้นตามแบบฉบับของบุรุษเพศที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ชายหนุ่มม้วนเอกสารเก็บหลังจากที่เขาอ่านจบแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆเพราะเอกวารม้วนนี้คือม้วนสุดท้ายของงานในอาทิตย์นี้

     

      “ท่านวาลันครับ!...ท่านวาลัน!!”  เสียงของเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปดปีในชุดเครื่องแบบอัศวินคนหนึ่ง เส้นผมสีทองกระเซอะกระเซิงไม่ได้ทรงเพราะเจ้าตัวมัวแต่วิ่งตามคนที่หยุดยืนรอเขา

      

    “ท่านลืมของน่ะครับ...”  เด็กหนุ่มว่าพลางหอบหายใจ ก่อนที่มือของเขาจะยื่นนาฬิกาพกให้ วาลัน อคาวิลา อดีตราชองครักษ์ของคอร์เดเลีย เขายิ้มสุภาพให้กับเด็กหนุ่มอัศวินตรงหน้า

     

      “ขอบใจเจ้ามากนะ...” แล้วจึงรับนาฬิกาพกมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุม

     

      “หามิได้ครับ...แต่คราวหน้าถ้าลืมอีก ข้าคงช่วยท่านไม่ได้แล้วนะครับ..” เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างสดใส

     

      “อืม...เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวพวกคนอื่นๆจะรอนะ...”


       “ครับ...แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะครับ” อัศวินหนุ่มรับคำอย่างสดใส ขณะค้อมตัวแล้วจึงวิ่งกลับไปตามทางเดินที่เขามา วาลันมองภาพนั้นแล้วมุมปากของเขาจึงยกยิ้ม

      

       คิดถึงวันเก่าๆ...

      

    วันที่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มถือธนูวิ่งอยู่ในกองอัศวิน...

      

    แล้วจึงหันหลังเดินไป วาลันเดินออกมาพร้อมกับเอกสารสองม้วน ไม่ได้มีรถม้ามาจอดรอรับชายหนุ่มดั่งเช่นขุนนางหรือผู้มีฐานะคนอื่นๆ เขาเดินลัดเลาะไปทางด้านซ้ายของอาคารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา เพื่อมุ่งตรงไปยังอาคารไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆที่มีม้ายืนเรียงรายอยู่ในคอก

     

      อาชาสีดำตัวเขื่องกำลังยืนรอผู้เป็นนายของมัน วาลันลูบหน้ามันเบาๆ เจ้าม้าจึงส่งเสียงขยับหัวแทนคำตอบ

      

    “กลับบ้านกันเถอะ ดาร์ค...” เสียงทุ้มกล่าว เขาเดินพาเจ้าดาร์คออกจากคอก วาลันนำเอกสารไปใส่ไว้ในกรเป๋าท้ายอาน แล้วจึงค่อนกระโดดขึ้นขี่หลังของเจ้าม้าอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงฮ้อมาออกไป ...


    =========================

      

    กลิ่นของต้นหญ้าและสายลมทำให้วาลันรู้สึกสดชื่อ เขาสูดหายใจเข้าออกยาวๆอย่างผ่อนคลายขณะที่กำลังขี่เจ้าดาร์คไปตามถนน สภาพแวดล้อมรอบข้างของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปจากบ้านเรือนมากมายที่เบียดเสียดกันใจกลางเมืองค่อยๆกลายเป็นบ้านไม้ล้อมรั้วเตี้ยๆที่มีผักสวนครัวกำลังงอกงาม ท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า

      

    วาลันขี่ม้ามาถึงหน้ารั้วแห่งหนึ่งที่แตกต่างจากรั้วไม้ธรรมดาทั่วไป เพราะมันเป็นรั้วที่ทำจากอิฐและความสูงของมันก็มากกว่ามาตรฐานทั่วไปของรั้วในบริเวณนี้เล็กน้อย คนสวนวิ่งมาเปิดประตูรั้ว จากนั้นชายหนุ่มจึงค่อยบังคับให้เจ้าดาร์ควิ่งผ่านเข้าไป

      

    บ้านขนาดสองชั้นสไตล์ที่ทำจากอิฐแต่ดุไม่ซึมกะทือเพราะมีรากไม้เลื้อยสีเขียวสดแซมอยู่เป็นหย่อมๆอย่างไม่ขัดตา ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่พอที่จะเรียกว่าเป็นคฤหาสน์ แต่ก็ไม่ได้เล็กพอที่จะเป็นบ้านของคนธรรมดาสามัญเช่นกัน ตรงกลางหน้าประตูตัวบ้านไม่ได้มีน้ำพุรูปปั้นกามเทพเริงระบำอยู่เฉกเช่นภาพในมโนคติของใครๆหลายคนๆ แต่มันถูกแทนด้วยพุ่มดอกไม้สีฟ้าสดใสที่ชวนมองแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นแทน

      

    วาลันพาเจ้าดาร์คเข้าไปในบ้านของมันซึ่งคือโรงเลี้ยงม้าเล็กที่พอให้ม้าอยู่สองถึงสามตัว ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของตัวบ้าน เขาลงจากม้า มือหนาถอดอานของเจ้าดาร์คออกอย่างที่ทำตามความเคยชินแล้วนำไปแขวนไว้ที่บนผนังของโรงเลี้ยงม้าซึ่งเป็นที่เก็บประจำ

      

    “ยินดีต้อนรับกลับขอรับท่านวาลัน ...” คนสวนซึ่งเป็นชายอายุประมาณห้าสิบ เส้นผมของเขาเป็นสีเทา ดวงสีเขียวสดที่ยังคงวาววับเหมือนเด็กหนุ่มไม่สมอายุเอ่ยทักทายอย่างร่าเริง แล้วส่งยิ้มยิงฟันให้

      

    “อืม..คุณผู้หญิงกับฟินซ์ล่ะ??”  คนถามยกยิ้มนุ่มละมุนอย่างอารมณ์ดียามเมื่อถามถึงบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองของตน คนสวนได้แต่หัวเราะออกมาแห้งๆ แล้วกล่าวว่า

      

    “คุณผู้หญิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือขอรับ ส่วนนายน้อย....” พูดถึงตรงนี้ปลายประโยคก็หายไป คิ้วหนาของวาลันยกขึ้นอย่างสงสัย

      

    “ฟินซ์ทำไมรึ ท่านลุง??...”  ถามไปขณะที่ตนเองนั้นกำลังเดินเข้าไปในตัวบ้าน

     

      “กระผมว่านายท่านไปดูเองดีกว่าขอรับ...กระผมขอตัวไปเก็บใบไม้ต่อล่ะขอรับ” กล่าวจบบุรุษสูงวัยจึงค้อมตัวทำความเคารพอย่างสวยงามแล้วเดินจากไปทำธุระของตนต่อ วาลันถอนออกมาหายใจ

      

    สงสัยเจ้าลูกชายตัวแสบคงจะก่อเรื่องอีกแล้วสิท่า....


    ======================================

      

    บนชั้นสองของบ้านนอกจากจะเป็นห้องนอนสี่ห้องแล้ว ยังมีห้องหนังสือประจำตระกูลและห้องทำงานของนายใหญ่แห่งอคาวิลา วาลันส่งเสื้อคลุมตัวนอกให้สาวใช้ที่เดินเข้ามารับอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองมุ่งตรงสู่ห้องหนังสือ เสียงฝีเท้าที่ก้าวอย่างเป็นจังหวะที่มั่นคงและแข็งแรงเรียกความสนใจของคนที่นั่งอยู่ในห้อง

      

    หนึ่งคือสตรีผู้มีเส้นผมสีแดงยาวสยายมัดรวบครึ่งศีรษะ กับดวงตาโตสีอำพันที่เสียแต่ว่าใบหน้าอีกข้างมีรอยแผลเป็นทำให้เธอต้องปัดผมลงมาปิดเอาไว้ทว่าไม่ได้ลดความน่ามองลงไปเลย  ชุดประโปรงลูกไม้สีครีมอ่อนๆขับให้ผิวของเธอขาวอมชมพูดุจสาวแรกรุ่นแม้วัยจะล่วงเลยเลขสามมาแล้วก็ตาม มือเรียวสวยบรรจงปิดหนังสือที่เธอกำลังอ่าน ขณะที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี

      

    “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ...วาล” หญิงสาวลุกขึ้นไปต้อนรับบุรุษผู้ที่เคยเป็นทั้งเพื่อนและในยามนี่คือสามีอันเป็นที่รักยิ่งของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาอย่างหวานหยดย้อยพลางดึงร่างของเธอเขาไปแนบชิด ริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา

      

    “ลูกอยู่ไหน เกว็น ?” วาลันเอ่ยถาม อัลเบอติน เกว็นเน็ธ หรือ ในตอนนี้คือ เกว็นเน็ธ อคา-วิลา นายหญิงคนปัจจุบันของบ้านอคาวิลาอย่างสงสัยใคร่รรู้ว่าลูกชายตัวดีหรือ ฟินซ์ อคาวิลา นั้นหายไปไหน เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาบ้านหากฟินซ์ได้ยินเสียงม้าจะวิ่งออกมารอที่หน้าประตูและตะโกนเรียกเขาทุกครั้งไป

     

      “ข้าให้ทาช่าพาฟินซ์ไปอาบน้ำล้างตัวอยู่ค่ะ..” พูดถึงตรงนี้หญิงสาวได้แค่ถอนหายใจ จนทำให้ผู้ที่เป็นพ่ออย่างวาลสงสัย โดยทาช่าที่พวกเขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นคือแม่นมของวาลที่อายุอานามปาเขาไปจะขึ้นเลขหกแล้ว แต่ยังแข็งแรงดีเหมือนหญิงสาววัยแรกรุ่น

      

    “เกิดอะไรขึ้นกับฟินซ์ ??” วาลนั่งลงบนโซฟาหนังชุดสีน้ำตาลเข้มซึ่งเขานั่งบนตัวเดี่ยว ส่วนเกว็นเน็ธนั่งลงตัวใหญ่ที่นั่งได้สามคน ตรงกลางเป็นโต๊ะน้ำชาไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าแกะสลักลวดลายเถาวัลย์ไม้สวยงามความสูงระดับแค่เข่า  ซึ่งตอนนี้เกว็นวางหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้

     

      “เจ้าดูเอาเองเถอะ..มาพอดีเลย” สิ้นเสียงของหญิงสาว ประตูห้องได้เปิดออกพร้อมกับการมาของเด็กชายคนหนึ่งวัยประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ เส้นผมสีแดงเพลิงหยักศกเป็นคลื่นสวยเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นมารดา ดวงตาคู่สวยหวานสีฟ้าเขียวเหมือนผืนน้ำทะเลฉายชัดถึงความมุทะลุและร่าเริงสดใสแต่ก็แฝงไปด้วยความฉลาดเหมือนผู้เป็นพ่อ ตอนนี้เด็กชายใส่เสื้อสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อกั๊กมีฮู้ดสีน้ำเงินกรมทาสกับกางเกงสีน้ำตาลเข้มสั้นประมาณเข่า กับรองเท้าหนังที่หนังตรงส่วนข้อเท้าถูกพับเป็นปกสีน้ำตาล สิ่งที่ทำให้ผู้เป็นพ่อมองแล้วคิ้วต้องขมวดผูกเป็นปมคือรอยช้ำตามใบหน้า ได้แก่บริเวณตรงปาก หางคิ้วข้างซ้าย ตรงหัวเข่า และรอยถลอกอีกนิดหน่อยตรงขาทั้งสองข้าง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวได้รับการปฐมพยาบาลจากทาช่าเรียบร้อยแล้ว

      

    “ดิฉันบอกแล้วไงคะ คุณทาช่าว่าไม่ต้องทำแผลให้แกเดี๋ยวดิฉันทำเอง...” เกว็นบอกกับแม่นมอย่างสุภาพ แม้เธอจะเป็นนายหญิงแล้วแต่ความสุภาพถ่อมตัวคงเธอไม่เคยเลือนหายไปจากเมื่อครั้งเธอยังเป็นสาวใช้ ทาช่าได้แต่ส่งยิ้มหวานมาให้นายหญิงของบ้าน เป็นเชิงว่าไม่ทำคงไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องดูแลนายน้อยคนสำคัญ

      

    “ฟินซ์มานี่ครับ...” เกว็นเรียกเด็กน้อยเสียงเข้ม เท้าเล็กๆก้าวเดินลงมานั่งบนโซฟาข้างผู้เป็นแม่อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าใดนัก

     

      “ป้าไปพักผ่อนเถอะครับ...เย็นนี้ข้าทานมาจากกองอัศวินแล้วคงไม่ทานอะไรเพิ่มแล้วครับ ” วาลันกล่าวขณะที่เขาเองเดินไปที่ประตู

      

    “ค่ะ นายท่าน...”หญิงชรารับคำขณะแล้วจึงปิดประตูห้องลงอย่างแผ่วเบา วาลันถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ จากนั้นร่างสันทัดเดินไปเปิดลิ้นชักไม้ของโต๊ะทำงานที่อยู่เยื้องไปทางขวาของห้องจากประตูพอสมควร ขณะเดียวกันเกว็นเน็ธก็จับคางฟินซ์ผู้เป็นลูกชายหมุนไปมาเพื่อดูแผล

      

    “ไปทำอะไรมาฟินซ์..?” วาลันมองใบหน้าบูดบึ้งของลูกชายแล้วได้แต่ถอนหายใจ เป็นสิ่งที่คนในบ้านอคาวิลารู้ดีว่านายน้อยของพวกเขานั้นทั้งแข็งแรง ร่าเริงและสดใสขนาดไหน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายน้อยอย่าง ฟินซ์ อคาวิลา จะมีแผลถลอกเล็กน้อยตามตัวให้เห็นเป็นประจำอยู่บ่อยครั้ง แต่คงมีครั้งนี้แหละที่มันมากเกินไป...

      

    “ฟินซ์...เจ้ายังไม่ได้ตอบแม่เลยนะว่าทำไมถึงกลับมาบ้านด้วยเนื้อตัวมอมแมมพร้อมแผลเต็มตัวขนาดนี้...” เกว็นเน็ธถามย้ำ ฟินซ์ทำหน้ายู่ ใบหน้าเล็กน่าเอ็นดูก้มลงไม่ยอมสบบุพการีทั้งสอง เด็กชายเพียงแค่ตอบด้วยเสียงอันอ้อมแอ้มและแผ่วเบา

      

    “ข้าหกล้มตกลงไปในทุ่งครับ ท่านแม่..” ฟินซ์ไม่ยอมสบตาขณะตอบ


       “อย่าโกหกแม่กับพ่อนะฟินซ์...ถ้าลูกตกลงไปในทุ่ง แล้วแผลฟกช้ำที่มุมปากนี่ล่ะ?” เกว็นเน็ธถามฮึดฮัดอย่างไม่ค่อยจะอารมณ์สู้ดีสักเท่าไหร่นัก มีแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ทำให้ท่านหญิงผู้อ่อนหวานของบ้านอคาวิลาจะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา จะเว้นเสียก็แต่เรื่องของลูกชายตัวดีตรงหน้า

      

    “ฟินซ์....” วาลันเรียกลูกชายของตน เด็กน้อยหันมาสบตาก่อนจะเริ่มทำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้ แล้วตอบด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือ “ก็พวกฟรานซ์มันบอกว่าผม ว่าท่านพ่อชอบเล่านิทานไร้สาระ...” ปลายประโยคเสียงเริ่มแผ่ว พลางเหล่มองมารดาที่มีสีหน้าอ่อนใจกับคำพูดของผู้เป็นลูก

     

      “เลยชกฟรานซิส??” ฟรานซิสที่เขากำลังพูดถึงคือลูกชายของอัศวินคนหนึ่ง ด้วยความที่เป็นเด็กโตและมีนิสัยค่อนข้างเกเร จึงมักจะชอบข่มขู่คนที่ตัวเล็กหรืออ่อนวัยกว่า แม้บิดาของเด็กชายจะทราบถึงพฤติกรรมของลูกชาย และทำโทษแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลกับเด็กชายเลย เด็กน้อยยังคงเที่ยวเกเรสร้างความเดือดร้อนไปทั่วจนชาวบ้านแถวนี้ต่างพากันเอือมระอา


       “ครับ...” ฟินซ์ตอบเสียงค่อย

     

      “แล้วก็เลยโดนเขารุมกลับมา...” วาลันต่อ เกว็นเน็ธจึงรีบพูดเสริมต่อ


       “ทำไมเจ้าถึงไม่เคยเชื่อฟังพ่อกับแม่บ้างเลยฮะ ฟินซ์...” ทั้งที่ๆปกติลูกของเธอก็เป็นเด็กดีน่ารักมาตลอดแท้ๆ แต่พอเจอฟรานซิสที่ไรมีเรื่องกันเป็นทุกครั้งเสียร่ำไป... เกว็นเน็ธคิดแล้วถอนหายใจ

     

      “ท่านพ่อ....ท่านแม่..ฮึก...ข้า...ขอโทษ” ขอบตาของฟินซ์เริ่มแดง เสียงของฟินซ์เริ่มสะอึกสะอื้น วาลันยิ้มอย่างอ่อนโยน มือหนาวางลงบนศีรษะของเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา

      

    “ทำผิดก็ต้องยอมรับ...เจ้ากล้าหาญแล้วที่ทำแบบนี้ อย่าร้องไห้เลยฟินซ์...” มือลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีแดงเพลิงอย่างอ่อนโยน ฟินซ์มองบิดา มือเล็กๆของเขาปาดน้ำตาบนหน้าออกไปอย่างลวกๆ รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามน้อยๆของเขา

      

    “ครับ..ข้าสัญญาครับ ท่านพ่อว่าข้าจะเป็นเด็กดี ข้าจะไม่ทำอีก...” ฟินซ์กล่าวอย่างหนักแน่นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากบิดาและมารดาได้เป็นอย่างดี ถึงลูกชายของเขาจะมีเกเรไปบ้าง แต่จริงๆแล้วเขาเป็นเด็กดีเป็นที่รักของทุกคนในบ้านอคาวิลาเลยทีเดียว

      

    “แล้วถ้าเจอฟรานซิสคราวหน้า ลูกต้องทำยังไง ฟินซ์ ?” มุมปากของเกว็นเน็ธยกยิ้มประหนึ่งเหมือนจะลองหยั่งเชิงลูกชายตัวน้อย

      

    “ข้าจะไม่ชกเขาครับ แต่ถ้าเขาจะชกข้า ข้าก็จะหลบเลี่ยง...” เด็กน้อยตอบอย่างมั่นใจ

      

    “สุภาพบุรุษที่ดีจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ลูกทำถูกแล้วฟินซ์..” วาลันเอ่ยสำทับ

      

    “ท่านพ่อ...” ฟินซ์หันมาจ้องหน้าผู้เป็นบิดา


     “ว่าไง ?” คิ้วของวาลเลิกขึ้น


       “ข้าสงสัยถ้าฟรานซ์บอกว่าท่านพ่อโกหกจริง แล้วทำไมเวลาท่านพ่อเล่าเหมือนท่านพ่อเคยเห็นเลยล่ะครับ??” สิ้นประโยควาลันจึงมองลูกชายคนเดียวของเขาอย่างเอ็นดู มันนานมากแล้วเหมือนกันถึงแม้เขาจะยังคงทำงาน มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในราชสำนักและกองอัศวิน แต่มันก็นานมากแล้วเช่นกันที่เขาไม่ได้ใส่ชุดผ้าคลุมสีดำแดง มือของเขาไม่ได้สัมผัสคันธนูและคมดาบ และที่สำคัญที่สุดคือ

      

    ทุกๆคนที่เขารู้จัก

       ชาวบ้าน

       คนในวัง

       อัศวิน

       เจ้าชาย

       และสุดท้ายสิ่งมีชีวิตที่สร้างความประหลาดใจให้เขาได้ตลอด

       มังกร…..

     

      “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ!!” เสียงของฟินซ์ทำให้วาลันตื่นจากภวังค์ ใบหน้าของเจ้าตัวงงงวย

      

    “ฟินซ์เรียกเจ้าน่ะ เห็นเจ้าเงียบไป เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ??” ภรรยารีบถามอย่างเป็นห่วงเพราะนานมากแล้วที่เธอไม่ได้เห็นสามีอันเป็นที่รักของเธอใจลอย


       “อ่อ..ข้าไม่เป็นไร เกว็น...” เขาหันไปตอบภรรยาที่มองมาอย่างเป็นห่วง วาลันคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

     

      “จริงสิ ฟินซ์ ลูกยังอยากฟังนิทานต่อไหม?” นิทานที่วาลันพูดถึงคือ นิทานเรื่องการผจญภัยของอัศวินกับเหล่ามังกร ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ทั่วไปในคอร์เดเลียนิยมเล่าให้ลูกหลานฟังเป็นนิทานก่อนนอน

      

    “อยากฟังครับ!!” ดวงตาของฟินซ์เป็นประกาย เพราะมันคือนิทานเรื่องโปรดของเขา ซึ่งเป็นนิทานที่วาลันกับเกว็นเน็ธจะสลับกันเล่าให้ฟังตอนก่อนนอนทุกคืน


       “งั้นลูกต้องทำอย่างไร หืม ฟินซ์?..” วาลันยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย เด็กชายตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วจึงรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องทำงานก่อนจะตรงไปยังห้องนอนของตนเองอย่างรวดเร็ว

      

    “มุขนี่ใช้ได้ผลดีตลอดเลยนะคะ...” เกว็นเน็ธแซว เธอลุกขึ้นขณะจะเดินตามออกไปดูลูกชายที่วิ่งนำออกไปก่อนแล้ว แต่มือของวาลันเอื้อมไปดึงเธอล้มลงเข้ามาสู่อ้อมกอดของเขา ซึ่งเขายังนั่งอยู่บนโซฟา เกว็นจึงเหมือนล้มลงใส่เขา

      

    “ว้าย!...ทำอะไรคะเนี่ย วาล!!” เกว็นเน็ธหวีดร้องมองการกระทำของผู้เป็นสามีอย่างตกใจ ใบหน้าสวยหันไปมองใบหน้าของวาลที่กำลังยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ยังไม่ทันที่เกว็นเน็ธจะได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากนุ่มๆบรรจงกดทับริมฝีปากของหญิงสาวไปเรียบร้อยแล้ว มันทั้งอบอุ่นและนุ่มละมุนจนเสียงของเธอถูกกลืนหายไปในลำคอ วาลถอนจูบออกอย่างช้าๆ ใบหน้าของเกว็นเน็ธขึ้นสีแดงแปร๊ดเหมือนสาวแรกรุ่น มือเรียวตีเข้ากับอกของวาลดังเพี๊ยะ ...

      

    “โอ๊ย!..เกว็น ข้าเจ็บนะ...” วาลทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ แหม่...น้ำหนักมือของภรรยาสุดที่รักของเขามันเบาๆเสียเมื่อไหร่ล่ะ

      

    “ก็เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า...” เกว็นไม่ยอมสบตา ใบหน้าของเธอซุกลงกับแผ่นอกที่เมื่อก่อนมันยังเคยบอบบางแต่ตอนนี้มันแข็งแกร่งอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะมี มือของเธอขยำเสื้อของวาลเสียแน่นจนอีกฝ่ายรับรู้ได้

      

    “ข้าแค่คิดถึงวันแรกที่ข้าจูบเจ้----โอ๊ย!!” ยังไม่ทันจบประโยคฝ่ามือพิฆาตตีลงมาที่แผ่นอกจนเขารู้สึกสะอึกอีกครั้ง ใบหน้าของเขายิ้มกะล่อนออกมาเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเขินเขาถึงเพียงใด

      

    “เจ้าจะทำให้ข้าอายอีกกี่ครั้งฮะ...วาล...” เกว็นเน็ธมองหน้าสามีจอมกะล่อนของเธอย่างเอาเรื่องเล็กน้อย ปกติเขาก็เป็นสุภาพบุรุษดีแท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องแกล้งเธอนี่กะล่อนไม่มีที่ติเลย...

     

      “ฮ่าๆ...” วาลันหัวเราะก่อนจะหยุดเมื่อเห็นหญิงที่เขารักที่สุดในชีวิตกำลังหน้างอ เขาดึงเธอออกจากตัวแล้วจึงบรรจงจูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา

      

    “ไปหาลูกเถอะ...แกคงรอเราแย่แล้ว...” แล้วทั้งสองจึงออกจากห้องไป

     

      ภายในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่ที่การตกแต่งเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตรงข้ามกับเตียงนอนไม้เป็นเตาผิงที่ก่อจากอิฐขนาดใหญ่ ด้านข้างซ้ายตรงมุมใกล้หน้าต่างบานใหญ่มีตู่หนังสือกับโซฟาเดี่ยวตัวเล็กให้เจ้าของห้องได้ใช้นั่งอ่านหนังสือ ในขณะที่เว้นจากขอบหน้าต่างมาอีกฝั่งเดียวกันเป็นโต๊ะเขียนหนังสือขนาดเล็กกับตู้เสื้อผ้า

      

    เด็กชายฟินซ์กำลังนอนมองเพดานห้องด้วยหัวใจเป็นสุข เขาชอบมากเวลาที่มีคนเล่านิทานหรือตำนานเกี่ยวกับอัศวินหรือมังกรให้ฟัง และจะยิ่งชอบมากเป็นพิเศษเมื่อพ่อกับแม่เป็นคนเล่า เพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับพ่อและแม่ที่เดินเข้ามาในห้อง ทั้งคู่นั่งลงคนละฝั่งของเตียงโดยมีฟินซ์นอนตรงกลาง

      

    “พร้อมจะฟังนิทานรึยัง อัศวินตัวน้อย? “ มือหนาของวาลันลูบไรผมของเด็กชายตัวน้อยอย่างอ่อนโยน

     

      “พร้อมเสมอครับ...” ฟินซ์ยิ้มยิงฟัน จนผู้เป็นแม่ได้แต่กลั้นหัวเราะเบาๆกับท่าทางน่าเอ็นดู


       “งั้นเริ่มล่ะนะ...” วาลันผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เสียงทุ้มนุ่มของเขาเหมือนักขับลำนำกำลังเริ่มเล่านิทานอย่างคล่องแคล่ว

      

    “กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ เมื่อครั้งที่คอร์เดเลียยังมิได้เป็นคอร์เดเลียอย่างที่ทุกคนรู้จักกันในตอนนี้ เมื่อครั้งที่คอร์เดเลียยังเต็มไปด้วยไฟสงครามระหว่างมังกร เมื่อครั้งที่กองอัศวินยังเต็มไปด้วยบุรุษและสตรีมากความสามารถที่ต่างเดินทางมุ่งไปตามอุดมการณ์ของเจ้าชายวินเซนต์ แคสเตอร์ เจ้าชายผู้เกรียงไกร...” พูดถึงวรรคนี้จู่ๆฟินซ์ก็โพล่งขึ้นมาว่า

      

    “ทำไมท่านพ่อถึงใช้คำว่า ’เจ้าชาย’ ล่ะครับ ต้องเป็น ‘กษัตริย์’ ไม่ใช่เหรอครับ ?” ดวงตาสีฟ้าเขียวมองสบดวงจาสีฟ้าเขียงอีกคู่ที่มองเขาอย่างสงสัย

      

    “เพราะท่านจะไม่ยอมขึ้นเป็นกษัตริย์จนกว่าจะปราบมังกรหมดน่ะสิ..” วาลันแย้มยิ้ม

      

    “ท่านคงแข็งแกร่งน่าดู...” เด็กชายพึมพำ เกว็นเน็ธเอามือลูบหัวฟินซ์

      

    “จ้ะ ท่านแข็งแกร่งแล้วก็เป็นเจ้าชายที่มีคุณธรรม ท่านทำทุกอย่างเพื่อคอร์เดเลียจนวาระสุดท้ายเลยจ้ะ...” นัยน์ตาสีอำพันของเกว็นเน็ธหม่นแสงไปเล็กน้อย วาลันก็เช่นกัน แต่เพียงแวบเดียวทั้งคู่ก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม เสียจนฟินซ์ไม่ทันได้สังเกตเห็น

      

    “ท่านพ่อเล่าต่อเถอะครับ...เพราะถ้าข้ามัวแต่ถามคงฟังไม่จบพอดี...” ใบหน้าเล็กมุ่ยไปเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่าตัวเองขัดจังหวะการเล่าของบิดา ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากทั้งพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดี จากนั้นวาลันจึงเริ่มเล่าต่อ

      

    “...เป็นเรื่องจริงอยู่ที่หน้าที่หลักของกองอัศวินคือการรับคำสั่งจากเจ้าชาย และพวกเขามีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน การทำงานร่วมกันของทุกคนทำให้พวกเราได้เห็นประชาชนรักเจ้าชายมากแค่ไหน...แม้จะมีบางครั้งที่พระองค์จะทรงดุดันหรือทำอะไรที่ทำให้คนหวาดกลัวไปบ้าง แต่โดยเนื้อแท้แล้วท่านรักประชาชนของท่านทุกคน แต่ก็เหมือนโชคชะจาจะเล่นตลกร้ายกับพวกเราทุกคนในคอร์เดเลีย...” เสียงของวาลันแผ่วลงไปเล็กน้อย

      

    “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับท่านพ่อ??...”ฟินซ์ถามเสียงแผ่ว เด็กชายเริ่มหาวด้วยความง่วง

     

      “เพราะคำสั่งของเจ้าชายคือการล่ามังกร และดูเหมือนมังกรจะอยู่ใกล้คอร์เดเลียมากกว่าที่ใครจะคาดคิด...แต่เพราะความอยู่ใกล้นี่แหละที่ทำให้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายและทุกคนได้พบกัน” พูดถึงตรงนี้วาลันก็หันไปมองคู่ชีวิตของเขา

     

      “มันเป็นการพบกันที่น่ายินดีและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน ทุกคนไม่ว่าจะมังกรหรือมนุษย์มีมิตรภาพ มีน้ำใจ มีเสียงหัวเราะ มีน้ำตา แม้สุดท้ายแล้วสงครามหรือความกระหายอำนาจจะไม่เคยนำเรื่องที่น่ายินดีมาสู่ใคร แต่อย่างน้อยทุกอย่างจบลงด้วยดีเพราะการเสียสละของเจ้าชายวินเซนต์ ทั้งมังกรและทุกคนจึงได้มีชีวิตที่เป็นสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา และในที่สุดเจ้าชายวินเซนต์จึงได้เข้านิทรารมย์ที่เป็นสุขอันเนิ่นนานตราบนิดนิรันด์ คอร์เดเลียจึงได้เป็นคอร์เดเลียที่ทุกคนรู้จักและเป็นอย่างที่มันควรเป็นมานานตราบจนถึงทุกวันนี้...” สิ้นประโยคสุดท้ายเหมือนวาลันหลุดออกจากภวังค์ เขาหันไปเห็นเกว็นเน็ธกำลังก้มลงจูบหน้าผากลูกชายตัวน้อยที่เข้าสู่นิทราไปแล้วเช่นกันอย่างแผ่วเบา

      

    “เราออกไปกันเถอะ...” จากนั้นทั้งสองจึงเดินจูงมือกันออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่รบกวนการนอนของเด็กน้อยที่ผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข

      

    ท่ามกลางแสงจันทร์สีนวลที่สาดส่องในคืนพระจันทร์เต็มดวง อากาศเย็นสบายสายลมของฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อยๆปะทะกับเส้นผมสีน้ำตาลยาวสยาย ร่างสันทัดของชายหนุ่มในชุดนอนสีครีมหม่น ยืนอยู่หน้าตู้ไม้แกะสลักใบนึงที่อยู่กึ่งกลางของชั้นหนังสือทั้งหมด ความสูงของมันพอดีกับชั้นหนังสือรอบๆบ่งบอกว่ามันเป็นตู้ลับที่ไม่มีใครเคยเปิดหรือรู้ว่ามันมีอยู่นอกจากคนในครอบครัวอคาวิลา

     

      วาลันยืนมองชุดผ้าคลุมสีแดงเทาเข้มที่อยู่บนหุ่นสำหรับโชว์เสื้อผ้า ด้านซ้ายของหุ่นคือ ที่วางคันธนูไม้สีน้ำตาลเข้มที่ลงอักขระเวทมนตร์ซึ่งลวดลายของมันจากไปตามกาลเวลา และดาบของอัศวินที่เขาได้รับมอบมาจากท่านพ่อ ส่วนทางขวาคือ พื้นไม้ที่ถูกยกให้สูงกว่าทั้งสองฝั่ง ด้านบนกรอบรูปขนาดปานกลางวางอยู่ ในกรอบไม้มีรูปของบุรุษวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นัยน์ตาดุดันและใบหน้าคมเข้มที่ดูเคร่งขรึมอยู่ในอิริยาบถนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างามสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์  หน้ากรอบรูปบนพื้นไม้มีกระดาษเขียนโน๊ตเล็กไว้ว่า “สรรเสริญแด่เจ้าชายวินเซนต์ผู้เป็นดวงใจของคอร์เดเลีย อาร์. เอ.” พร้อมกับข้างกระดาษนั้นมีดอกไม้แห้งๆสองช่อวางอยู่คู่กัน

      

    “วาลคะ...” เสียงเรียกอันอ่อนหวานของเกว็นเน็ธเรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ หญิงสาวเดินมาหาเขา วาลันโอบกอดหญิงสาวไว้แนบตัว ใบหน้าของเขาแนบกับศีรษะของอีกฝ่าย

      

    “จะถึงวันครบแล้วสินะ เกว็น...” เขากล่าวทั้งยังคาอยู่ในท่าเดิม

      

    “ค่ะ...” เกว็นเน็ธตอบสั้นๆ นัยน์ตาสีอำพันของเธอมองไปยังรูปของบุคคลที่สำคัญของทั้งเธอและสามี

      

    “ปีนี้ให้ฟินซ์ไปช่วยทาช่าเก็บดอกไม้แล้วไปสุสานหลวงกับเราด้วยสิ...” วาลันเอ่ยทั้งที่หญิงสาวยังอยู่ในอ้อมกอด เกว็นเน็ธยกยิ้ม “เป็นความคิดที่ดีนะคะ...” หญิงสาวตอบอย่างเป็นสุข วาลันมองสร้อยคอที่อีกฝ่ายใส่ติดตัวไว้อยู่ตลอดเวลาแล้วยกยิ้มก่อนจะหันไปมองรูป

     

      “ข้าอยากจะขอบคุณฝ่าบาทสักพันครั้งเลยรู้ไหมเกว็น...”

     

      “ข้าก็เช่นกันค่ะ...” วาลันเปลี่ยนมาโอบเกว็นเน็ธจากด้านข้าง

     

      “ขอบคุณ พระองค์ที่ทำให้คนสองคนได้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงและพบกับอนาคตที่ดีอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ...” วาลันยกยิ้มแม้มันจะดูเศร้าเมื่อคิดถึงบุคคลที่จากไป แต่เมื่อคิดถึงอีกชีวิตที่ได้ที่กำเนิดขึ้น เขาจึงได้รู้ความสุขของการปกป้องคนอื่นนั้นมันเป็นเช่นไร

      

    ขอบคุณชายผู้เป็นดวงใจของคอร์เดเลียที่ทำให้ใครหลายๆคนได้รู้การมีชีวิตอยู่ และก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญอันเป็นที่รักนั้น มันช่างเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่ว่าหาสิ่งใดก็มิอาจประเมินค่าได้

     

      ขอบคุณเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นไม่ว่า จะดีหรือร้ายที่เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันแล้วมันจะเป็นสิ่งมีค่าที่ทุกคนจดจำไปตราบนานเท่านาน ดุจตำนานที่ไม่มีวันตาย....



    Fin



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in