เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ข้าพเจ้าzane.
"สิ่ง"
  • ผมพบว่าผมนั้นตายไปแล้ว

    ผมตายไปแล้ว...ผมแค่ตายไปแล้วไม่ทราบจริงๆว่าตายตั้งแต่ตอนไหนผมแค่จากไปในแบบที่ไม่มีใครสนใจค่อยๆหายไปจากสังคมแยกตัวจากห้วงเวลาไม่มีความเหลียวแลจากใคร  ผมเป็นคนตายในแบบที่ตายไปจากความคิดของสังคม ตายไปจากสมองและความคิดถึงของใครๆ ตายในแบบที่เหมือนไม่เคยมีผมอยู่ในโลกกลมๆดวงนี้ไม่มีรูปถ่ายผมและต่อให้มีก็ไม่มีใครจำผมได้ไม่ว่าจะใคร สนิทเพียงใด รักกันเพียงใด ชอบกันแค่ไหน ไม่มีใครสักคนที่จะจำผมได้ทุกคนแค่ลืมผมไป ลืมผมเหมือนผมไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง...แต่ผมยังอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ ความรู้สึกยังอยู่ ความทรงจำยังอยู่ ผมยังอยู่เหมือนผมยังไม่ตายผมยังจำทุกคนได้ผมเหมือนยังไม่ตายในขณะที่ผมนั้นตายไปแล้วเหมือนผู้สร้างสรรค์นั้นกลั่นแกล้งผม หยอกล้อผม...ขำและหัวเราะผมเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นแค่เรื่องตลกของผู้สร้างสรรค์ สรรค์สร้างโลกและบรรจงสร้างสรรค์โลกนี้เพื่อให้ทุกคนนั้นแค่ลืมผม ผมทำอะไรไม่ได้เลยเพราะผมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่พิเศษไม่ได้เป็นยอดมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเป็นคนที่ถูกเลือกไม่ใช่คนที่ใครจะมองว่าเป็นความหวัง นั้นทำให้ผู้สร้างสรรค์สามารถเสกให้ผมกลายเป็นบุคคลไร้ค่าไร้ราคาได้ในชั่วพริบตา แค่ผมกะพริบตาเท่านั้นชีวิตธรรมดาๆของผมก็กลายเป็นบุคคลที่ตายไปจากความทรงจำของใครหลายๆคนชีวิตอันน่าเศร้าของผม…ผมสงสารชีวิตตัวเองเหลือเกิน

    รูปลักษณ์ภายนอกของผมเน่าเปื่อยไปเรื่อยๆวันและเวลาผ่านไปเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาจากร่างกายผมพบว่านี้มันไม่ใช่ตัวผมอีกแล้ว นี้ไม่ใช่ร่างกายที่ผมเคยรู้จัก…ผมกำลังกลายเป็นแค่ “สิ่ง” สิ่งนึงสิ่งที่ไม่มีใครต้องการสิ่งที่ไม่มีใครสนใจใยดีมองจากภายนอกนั้นมันช่างน่ารังเกียจสิ้นดี…รอยบาดแผล…หนอนเริ่มชอนไช ร่างกายอันเน่าเปื่อยที่แสนน่ารังเกียจของผม…ทำไมต้องเป็นผม..ผมคิด..ทำไมผมถึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันน่ารังเกียจเช่นนี้ผมเหมือนมีแค่เจ้าหนอนที่ชอนไชผมเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานเพื่อนสนิทที่รู้ใจผมทุกอย่างเจ้าหนอนน่ารังเกียจพวกนี้พวกมันช่างรักผมซะเหลือเกิน ผมหลีกหนีตัวเองจากสังคมผมคิดว่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการผู้สร้างสรรค์คงต้องการทรมานผมทั้งจิตใจและร่างกาย ในส่วนของจิตใจผมแบกรับความทรมานจากการที่ผมเหมือนไม่มีค่าในโลกนี้อีกต่อไปเป็นเพียงแค่อากาศในสายตาของสังคมและในส่วนของร่างกายผมคือซากของสิ่งที่เคยมีชีวิตเรียกได้ว่าตอนนี้ผมกลายเป็น “สิ่ง”ที่อาศัยอยู่ในโลกกลมๆดวงนี้ มันยากมากที่ผมต้องยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้ ผมคิดว่าจะมีใครไหมนะ..ที่เป็นแบบผมพบเจอเรื่องเช่นนี้พบเจอเรื่องอันสุดแสนจะโหดร้ายเช่นนี้แบบผม ผมไม่อยากให้มีใครต้องพบเจอชะตากรรมแบบนี้ทั้งในอดีตและอนาคตผมขอภาวนากับอะไรก็ตามแต่“ขอเป็นคนสุดท้าย”ที่ต้องแบกรับความโหดร้ายเช่นนี้ ไม่อยากให้มีใครต้องทรมานเช่นนี้อีกแล้ว สิ่งที่หรรษาสำหรับเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ “ผมยังคือผม” ผมไม่ได้ตายจากไปผมยังจำอดีตเรื่องที่ผ่านมาได้ ผมเคยรักใคร ผมเคยชอบใคร ผมชอบสิ่งไหน รอยยิ้มของผมเป็นแบบไหน “ผมยังคือผม” นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ผู้สร้างสรรค์ชอบใจมากที่สุดความทรมานในแบบที่นอกเหนือจากร่างกาย…กัดกร่อนไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของจิตใจกัดไปถึงจุดที่เปราะบางที่สุดของวิญญาณนี้คือพลังอันยิ่งใหญ่ของผู้สร้างสรรค์พลังที่ทำลายได้แม้กระทั่งวิญญาณของผม

    ผมไม่อยากกลายเป็นแค่ร่างเน่าเปื่อยที่ไร้วิญญาณ สังคมลืมผมไปหมดแล้วไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนไม่ว่าจะคนที่รักผมที่สุดหรือคนที่เกลียดผมที่สุดทั้งหมดลืมผมออกจากหัวใจทั้งสิ้น ผมพยายามต่อสู้กับสิ่งที่ผมได้รับผมอยากได้ยินคำชมเชยจากใครสักคนว่า“พยายามได้ดี”แต่ผมคือ “สิ่ง” ไม่มีใครสนใจอะไรทั้งสิ้น นั้นทำให้สังคมปฏิเสธผมโดยสิ้นเชิงผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนั้นคือตอนไหนมันเหมือนจะยาวนานมากในแบบที่ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่อยากยอมรับชะตากรรมนี้แต่มันดูเหมือนไม่มีหนทางใดที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ผมไม่อยากให้คนเกลียดกลัวไปมากกว่านี้มันเจ็บปวดเกินไปเดินไปทางไหนผมต้องคอยหลบสายตาคนที่เดินสวนไปสวนมาต้องคอยระวังกลิ่นเหม็นเน่าของตัวเองไม่ให้ไปเตะจมูกคนรอบๆข้างคนรอบๆตัว จากมนุษย์ปกติผมโดนทุกคนลืมผมกลายเป็นที่รังเกียจเป็นไอ้ตัวประหลาดเป็นไอ้ตัวเหม็นเน่าผมทรมานมากๆที่ต้องใช้ชีวิตในสังคมแบบนี้ผมไม่อยากทนอีกต่อไปผมอยากหายไปจากสังคมโดยสิ้นเชิง

    ผมตัดสินใจเข้ามาในป่าเข้ามาหลบซ่อนตัวจากผู้คนที่ไม่ต้อนรับผม “ป่า” คือที่ๆน่าจะเข้ากับผมได้มากที่สุดผมไม่ต้องคอยระวังว่าจะมีใครมาเห็นไอ้ตัวประหลาดแบบผมหรือได้กลิ่นเหม็นเน่าของผม ผมแค่ใช้ชีวิตเปรียบเสมือนป่าคือบ้านที่แท้จริงของผมถึงแม้มันจะไม่ใช่เลยก็ตาม ขณะที่ผมอยู่ในป่าผมแค่ใช้ชีวิตหลีกหนีสังคมตามเจตจำนงของผู้สร้างสรรค์ผมคิดว่าผู้สร้างสรรค์นั้นคงพอใจอย่างที่สุดกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผมต้องหลีกหนีจากสังคม...ผมเดาว่านั้นคือเรื่องสุดแสนจะหรรษาสำหรับผู้สร้างสรรค์(ความหรรษาอันไม่ปกติ) ผมต้องมีชีวิตห่วยๆแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ชีวิตที่สุดแสนจะทรมานไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกว่าความสุขได้เลยแม้แต่น้อย ป่าอันเงียบสงบและสุดเหงาสำหรับตัวประหลาดที่หนีจากสังคมแบบผม ผมไม่มีกะจิตกะใจจะใช้ชีวิตสงบสุดในป่าแห่งนี้ได้เลยผมอยากกลับไปหาครอบครัวและสังคมที่ผมเคยอยู่ผมไม่เคยอยากเป็นเช่นนี้ผมไม่เคยภาวนาว่าอยากใช้ชีวิตหลีกหนีสังคมแบบนี้ ผมไม่เคยภาวนา...สักครั้งก็ไม่เคย 

    ความโดดเดียวและเงียบสงบในป่าช่วยให้จิตใจผมของผมนิ่งและไม่กระสับกระส่ายผมสามารถเป็นไอ้ตัวประหลาดในป่าได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเกลียดกลัว สัตว์ป่าทั้งหลายปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียมไม่ได้มองผมเป็นตัวประหลาดแบบในสังคมเมืองพวกมันไม่ได้รังเกียจผมหรือชอบผมอย่างเห็นได้ชัดพวกมันแค่ใช้ชีวิตของพวกมันตามวิถีของพวกมันและปล่อยให้ผมใช้ชีวิตของผมเป็นไอ้ตัวประหลาดแผลเต็มตัวและมีกลิ่นเหม็นเน่า…ในอีกทางพวกมันอาจจะรังเกียจกลิ่นของผมเลยไม่เข้าใกล้ผมก็เป็นได้(ผมไม่ทราบ) ความสัมพันธ์อันไม่แนบแน่นของผมกับสัตว์ป่าผมรู้สึกว่าในระหว่างผมกับพวกมันเรามีความเคารพซึ่งกันและกันพวกมันไม่ได้ทำเหมือนพวกมันเป็นเจ้าของป่าหรือเจ้าของสินทรัพย์อะไรทั้งสิ้นทั้งๆที่พวกมันอยู่มาก่อนอยู่มาเนินนานอยู่มาก่อนผมเกิดอาจอยู่มาก่อนจักรวาลนี้ยังอุดมสมบูรณ์ก็เป็นไปได้ ผมไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ว่าผมจะตายเมื่อใดผมไม่ทราบว่าชีวิตของผมคืออะไรกันแน่…การเป็นกึ่งกลางของมนุษย์และความตายแบบนี้มันคืออะไร?ความหมายที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดคืออะไรกันแน่…ทำไมต้องเป็นผม…ทำไมต้องเป็นเรา…ผู้สร้างสรรค์ต้องการอะไรจากผมกันแน่?ผมคิดอยู่ตลอดทุกเมื่อเชื่อวันทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเรื่องอันโหดร้ายแบบนี้…ต้องเป็นผมที่พบเจอ…ทำไมคนเมืองแบบผมต้องเป็นฝ่ายที่หลีกหนีเข้ามาในป่า…ทำไมผมถึงกลายเป็นตัวประหลาดและทำไมทุกๆคนถึงลืมผม?
     

    ‘ผู้สร้างสรรค์ผมภาวนาให้..ตอบผมสักครั้ง..แค่สักครั้งผมภาวนา’


    สัตว์ป่าเหลียวมองผมในขณะที่ผมเดินสวนพวกมันไปผมเห็นเสือตัวใหญ่กำลังคาบหนูไว้ในปากผมคิดในใจ ‘ทำไมเสือถึงล่าหนู’ ผมไม่ทราบว่าทำไมพวกมันถึงไม่ล่ากวางแบบในทีวี ผมเห็นแค่มันคาบหนูในปากและเหลียวมองผมในขณะที่ผมและมันเดินสวนกันไป มันทำหน้าตาไร้ความรู้สึกใส่ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติมันแค่เดินสวนสิ่งมีชีวิต “สิ่ง” นึงแต่ผมสังเกตุในแววตาของมัน…มันรู้สึกสงสารผม…ผมคิดว่ามันรู้สึกสงสารสิ่งมีชีวิตสุดแสนจะประหลาดและทรมานแบบผมมันคงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้สินะ แผลตัวเต็ม ส่งกลิ่นประหลาดแสบจมูก..ผมลืมไป..มันเป็นเสือจมูกรับกลิ่นได้ดีด้วยสิ ผมเดินไปเรื่อยๆแบบที่ผมทำในขณะใช้ชีวิตในป่าผมแค่เดินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายผมไม่ต้องกินผมไม่ต้องดื่มผมไม่ต้องหาอาหารด้วยซ้ำผมแทบไม่มีความอยากจะทำอะไร ไม่ได้อยากล่า ไม่ได้อยากสร้างบ้านในป่า ไม่ได้อยากเป็นเจ้าป่า ผมไม่มีความอยากทำอะไรทั้งนั้นผมแค่เดินไปเรื่อยๆไม่รู้จะเรียกเป็นข้อดีหรือข้อเสียที่ “สิ่ง”แบบผมไม่ต้องกินไม่ต้องดื่มก็สามารถอยู่รอดได้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่แผลตัวเต็มแล้วสิ…ร่างกายผมแทบจะเรียกได้ว่า“กระดูกและเศษเนื้อ”และมีหนอนยั้วเยี้ยเดินได้เสียมากกว่าในขณะที่ผมเดินไปเรื่อยๆผมไม่ทราบกลางคืนหรือกลางวัน ตอนนี้ลูกตาของผมมองไม่เห็นอีกต่อไปผิวหนังของผมไม่เหลือมัดกล้ามเนื้ออะไรทั้งสิ้นเป็นแค่หนังติดกระดูกร่างกายของผมไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไปอย่างสิ้นเชิงแต่“ผมยังคือผม”จิตวิญญาณผมยังอยู่ข้างในผมยังจำชีวิตเดิมของผมได้ชีวิตเก่าของผมชีวิตอันเรียบเชียบ ชีวิตปกติชน ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วผมไม่เหลืออะไรทั้งสิ้นผมสิ้นหวังต่อให้ผมยังมีวิญญาณเหลืออยู่แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเล่าเพราะชีวิตมันไม่เคยเป็นเรื่องของวิญญาณโดยแท้จริง…ตอบผมสักครั้งเถอะผู้สร้างสรรค์คุณต้องการสิ่งใดจากผมจะทรมานผมไปถึงเมื่อไหร่ผมไม่ไหวแล้วผมอยากภาวนาให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝันแค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะจบ..ได้โปรดเถอะ..และในขณะนั้นเองชั่วพริบตานั้นระยะเวลาแค่มนุษย์ปกติกระพริบตาในขณะที่ผมยืนอยู่ในป่าผมรู้สึกเบาหวิวเหมือนผมไม่ได้ยืนอยู่บนแผ่นดินความรู้สึกของผมบอกผมว่าผมกำลังจมน้ำ..ตาของผมมองไม่เห็น..ผิวหนังของผมไม่รู้สึกถึงน้ำแต่จิตวิญญาณของผมรับรู้ 


    “ผมกำลังจมน้ำอาจเป็น ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ผมกำลังจมน้ำแบบที่ไม่มีวันสิ้นสุด”

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in