เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บทความ (Article)mary mist
โครงเหล็กและความปวดร้าวภายใต้ผ้าผืนบาง
  • โครงเหล็กและความปวดร้าวภายใต้ผ้าผืนบาง

                    By. MARY MIST


     

     

    ยุคแห่งความรุ่งโรจน์และจุดบอดทางความคิด การทำร้ายเพศหญิงที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัยผ่านสิ่งที่อยู่บนเรือนร่างของพวกเธอเอง

     

    ผ้าผืนบางที่ปกคลุมเรือนร่างแอบซ่อนอยู่ภายใน ใครจะคิดว่ามีความสำคัญมากไปกว่าการปกปิดอวัยวะ ชุดชั้นในสตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย ไม่ได้มีหน้าที่หลักในการปกปิดอย่างที่คิดว่าเป็นแต่เป็นเครื่องแสดงบทบาท หน้าที่ สถานะบางอย่างของสตรี ในช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่ยุควิคตอเรียนที่มีแนวคิดของการทำคอเสต ชุดชั้นในที่สามารถปรับรูปร่างของผู้หญิงได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเอวคอดหรือหน้าอกที่ถูกยกและบีบรัดขึ้นมาจนเรียกได้ว่ากลายเป็น “ผู้หญิง” ในแบบที่ถูกต้อง เรียกได้ว่า corset เป็นต้นแบบแนวคิดที่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคือเพื่อสรรสร้างผู้หญิงขึ้นมาจากแนวคิดของสังคมชายเป็นใหญ่

     

    รูปจากภาพยนต์เรื่อง Anna Karenina

     

    ชุดชั้นในแบบ corset ช่วยตอบสนองความต้องการของเพศชายอย่างไร การแต่งกายในยุคสมัยวิคตอเรียนจะเผยให้เห็นสัดส่วนของผู้หญิงอย่างชัดเจนด้วยตัวช่วยที่รู้จักกันดีในยุคนั้น นอกจากคอเสตจะช่วยรัดเอวเพื่อสร้างรูปร่างแล้วยังสามารถรัดหน้าอกให้ยกขึ้นและเด่นชัดได้อีกด้วย เครื่องแต่งกายของผู้หญิงในยุคนั้นจึงเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์ของการใส่คอเสตทำให้ผู้หญิงออกมาเป็นไปตามแบบที่ควรจะเป็นในสังคม ไม่สามารถปฏิเสธหรือเลือกการแต่งกายได้เองอย่างอิสระและเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงบางกลุ่มไม่ได้เกิดความสงสัยด้วยซ้ำเพราะแนวคิดทางเพศที่ผู้หญิงต้องปรนเปรอผู้ชายด้วยเสน่ห์ รูปร่างและหน้าตา ซึ่งชุดชั้นในก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สร้างความพึงพอใจ 


    รูปจากซีรีส์เรื่อง The alienist

     

     

    I can’t decide whether abhor our shape or crave another

    “They believe us to be delicate creatures, miss”

    “Then to hell with them”

     

     ซาร่า ฮาร์เวิร์ด ตัวละครจากซีรีส์เรื่อง The Alienist สิ่งที่อยู่บนตัวนั้นไม่ใช่ความต้องการของผู้หญิง ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฉันคือผู้หญิงที่สวมใส่ชุดชั้นในเพื่อปกป้องร่างกายของฉันจากการถูกคุกคามแต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายที่เป็นเจ้าของบางสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ สรุปแล้วชุดชั้นในถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ เราเป็นเจ้าของเรือนร่างของตัวเองหรือคนอื่นที่เป็นเจ้าของเรือนร่างของเรา


    จากคำพูดของตัวละคร ทั้งซาร่า ฮาร์เวิร์ด และสาวใช้ของเธอ ได้เอ่ยถึงเรื่องรูปร่าง คอร์เซ็ตถูกใช้เป็นอุปกรณ์ในการสร้างรูปร่าง หรือกำหนดรูปร่างที่ต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการของเพศตรงข้ามและใช้เพื่อในจุดประสงค์ของการยั่วยวน หรือเสริมสร้างแรงดึงดูดทางเพศ ผู้หญิงถูกมองเป็นวัตถุทางเพศ ถูกกดขี่จากเนื้อหนังส่วนนึงของร่างกาย ความอึดอัดที่ถูกโครงเหล็กและผ้าผืนบาง ๆ กดทับได้ถูกปลดปล่อยออกมาโดยการรวบรวมความกล้าบางอย่างและสลัดมันออก ในปี 1986 ในช่วงที่การประท้วงของกลุ่มสตรีนิยมกำลังได้รับความสนใจ Second wave faminism ช่วงที่กลุ่มสตรีนิยมทั่วโลกตะวันตกกำลังนำประเด็นเกี่ยวกับเพศ ความไม่เท่าเทียม ปิตาธิปไตย สังคมชายเป็นใหญ่รวมไปถึงเรื่องวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ในช่วงนั้นเองได้มีการประท้วงเกี่ยวกับการต่อต้านชุดชั้นในสตรี ซึ่งได้ผลเป็นอย่างมาก มีคนดังมากมายในยุคนั้นที่ออกมาโนบราจนกลายเป็นจุดเรียกความสนใจ มีนางแบบเดินบนรันเวย์ในชุดที่โนบรา และผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องปกติและเป็นแฟชั่น จนถึงในยุคปัจจุบันที่ยังคงมีการรณรงค์เรื่องนี้อยู่เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้หญิงมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนแนวความคิดของชุดชั้นในที่เริ่มต้นและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยุควิคตอเรียน ซึ่งนอกจากเรื่องสังคมชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำมาตลอดหลายศตวรรษ 


    ภาพจากเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มสตรีในปี 1986 ที่ทุกคนกำลังนำสิ่งที่
    ปิดกั้นความอิสระใส่ลงไปในถังขยะ / crfashionbook.com

     

    ชุดชั้นในเองก็ยังคงสร้างปัญหาโลกใบนี้กลายเป็นสังคมที่ไร้ซึ่งความเท่าเทียมอีก การถูกเหยียดหยามในเรื่องของความสามารถที่มีน้อยกว่าเพศชาย มีร่างกายที่อ่อนแอกว่า ไม่สามารถทำงานได้เพราะถูกรัดและบีบอัด แนวคิวของชุดชั้นในประเภทนี้แสดงออกถึงเพศหญิงที่ไม่อาจนำความก้าวหน้าไปสู่การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจได้และแน่นอนว่าหมายถึงสตรีชั้นสูงที่ไม่ต้องทำงานและไม่สามารถทำงานได้ แต่ความสามารถที่ถูกกดขี่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงทุกคน ทว่าสาวใช้หรือสตรีชนชั้นแรงงานที่ไม่ได้ใส่เชือกรัดตัวแน่นจนเป็นรอยกลับยังคงถูกกดขี่ให้ทำงานอย่างหนักอยู่ เรียกได้ว่าคนที่อยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าก็ยังคงได้รับอภิสิทธิ์เช่นเคยแม้ว่าจะถูกตราว่าเป็นเพศที่อ่อนแอและไร้ความสามารถก็ตาม พอมองเช่นนี้แล้วผู้คนในสังคมกูกกดขี่และลดทอยกันมาเป็นขั้นลำดับโดยเฉพาะเพศหญิงที่ไม่ว่าจะมองไปยังประเด็นไหนก็ถูกกดขี่อยู่ดี ปัญหาด้านชนชั้นกับการแต่งกายยังคงมีต่อมาเรื่อย ๆ 


    ในยุคสมัยเปลี่ยนผัน ชุดชั้นในก็เช่นกัน ในยุคสมัย 1920 เริ่มมีการปรับเปลี่ยนแบบชุดชั้นในให้มีลักษณะคล้ายกับชุดเดรสสายเดี่ยวหรือชุดชั้นในแบบกระโปรงที่มีในปัจจุบัน แต่ความแตกต่างของผ้าและวัสดุที่ใช้บ่งบอกอยู่หลายอย่าง แน่นอนว่ายังคงแนวคิดแบบเดิมจากในยุควิคตอเรียนและการซื้อชุดชั้นในของผู้หญิงสมัยนั้นเองก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อเครื่องแต่งกาย สตรีชนชั้นสูงมีห้องเสื้อประจำตระกูลและสั่งตัดแบบใหม่ไม่ซ้ำ เช่นเดียวกันกับชุดชั้นในที่ต้องสั่งตัดและมีวัสดุที่หลากหลายเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้หลังจากที่แต่งตัวออกจากบ้านแต่ก็ยังคงใช้ตัดสินและแบ่งแยกชนชั้นได้ การใส่ชุดชั้นในเองก็ยังคงแบ่งเป็นชุดที่ใช้ในช่วงเวลากลางวันและออกงานในตอนกลางคืนไม่ต่างอะไรกับชุดทำสวนตอนเช้าและชุดงานเต้นรำยามราตรี และปรากฏว่าการใส่ชุดชั้นในที่ถูกตัดอย่างดีโดยผ้าลูกไม้สีชมพูในงานแต่งงานยุค 1950 ยังสิ่งที่นำเสนอถึงสตรีชั้นสูงอีกด้วย


    ชุดชั้นในสตรีในยุค 1920 / pinterest 

     

    ยังมีผู้หญิงอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่ไม่อาจเข้าถึงของใช้ที่จำเป็นได้อย่าง ชุดชั้นใน ในปัจจุบันมีแบรนด์ชุดชั้นในอยู่หลากหลายและราคาก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีการรณรงค์เรื่องการโนบราแต่อย่าลืมว่านั่นเป็นเพียงทางเลือกที่มีเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงมีอิสระเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องดีที่การผลิตชุดชั้นในสตรีในราคาที่เข้าถึงง่ายและใช้วัสดุที่มีคุณภาพควบคู่ไปด้วย

                

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in