โครงเหล็กและความปวดร้าวภายใต้ผ้าผืนบาง
ยุคแห่งความรุ่งโรจน์และจุดบอดทางความคิด การทำร้ายเพศหญิงที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัยผ่านสิ่งที่อยู่บนเรือนร่างของพวกเธอเอง
ผ้าผืนบางที่ปกคลุมเรือนร่างแอบซ่อนอยู่ภายใน ใครจะคิดว่ามีความสำคัญมากไปกว่าการปกปิดอวัยวะ ชุดชั้นในสตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย ไม่ได้มีหน้าที่หลักในการปกปิดอย่างที่คิดว่าเป็นแต่เป็นเครื่องแสดงบทบาท หน้าที่ สถานะบางอย่างของสตรี ในช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่ยุควิคตอเรียนที่มีแนวคิดของการทำคอเสต ชุดชั้นในที่สามารถปรับรูปร่างของผู้หญิงได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเอวคอดหรือหน้าอกที่ถูกยกและบีบรัดขึ้นมาจนเรียกได้ว่ากลายเป็น “ผู้หญิง” ในแบบที่ถูกต้อง เรียกได้ว่า corset เป็นต้นแบบแนวคิดที่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคือเพื่อสรรสร้างผู้หญิงขึ้นมาจากแนวคิดของสังคมชายเป็นใหญ่
ชุดชั้นในแบบ corset ช่วยตอบสนองความต้องการของเพศชายอย่างไร การแต่งกายในยุคสมัยวิคตอเรียนจะเผยให้เห็นสัดส่วนของผู้หญิงอย่างชัดเจนด้วยตัวช่วยที่รู้จักกันดีในยุคนั้น นอกจากคอเสตจะช่วยรัดเอวเพื่อสร้างรูปร่างแล้วยังสามารถรัดหน้าอกให้ยกขึ้นและเด่นชัดได้อีกด้วย เครื่องแต่งกายของผู้หญิงในยุคนั้นจึงเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์ของการใส่คอเสตทำให้ผู้หญิงออกมาเป็นไปตามแบบที่ควรจะเป็นในสังคม ไม่สามารถปฏิเสธหรือเลือกการแต่งกายได้เองอย่างอิสระและเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงบางกลุ่มไม่ได้เกิดความสงสัยด้วยซ้ำเพราะแนวคิดทางเพศที่ผู้หญิงต้องปรนเปรอผู้ชายด้วยเสน่ห์ รูปร่างและหน้าตา ซึ่งชุดชั้นในก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สร้างความพึงพอใจ
“I can’t decide whether abhor our shape or crave another”
“They believe us to be delicate creatures, miss”
“Then to hell with them”
ซาร่า ฮาร์เวิร์ด ตัวละครจากซีรีส์เรื่อง The Alienist สิ่งที่อยู่บนตัวนั้นไม่ใช่ความต้องการของผู้หญิง ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฉันคือผู้หญิงที่สวมใส่ชุดชั้นในเพื่อปกป้องร่างกายของฉันจากการถูกคุกคามแต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายที่เป็นเจ้าของบางสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ สรุปแล้วชุดชั้นในถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ เราเป็นเจ้าของเรือนร่างของตัวเองหรือคนอื่นที่เป็นเจ้าของเรือนร่างของเรา
จากคำพูดของตัวละคร ทั้งซาร่า ฮาร์เวิร์ด และสาวใช้ของเธอ ได้เอ่ยถึงเรื่องรูปร่าง คอร์เซ็ตถูกใช้เป็นอุปกรณ์ในการสร้างรูปร่าง หรือกำหนดรูปร่างที่ต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการของเพศตรงข้ามและใช้เพื่อในจุดประสงค์ของการยั่วยวน หรือเสริมสร้างแรงดึงดูดทางเพศ ผู้หญิงถูกมองเป็นวัตถุทางเพศ ถูกกดขี่จากเนื้อหนังส่วนนึงของร่างกาย ความอึดอัดที่ถูกโครงเหล็กและผ้าผืนบาง ๆ กดทับได้ถูกปลดปล่อยออกมาโดยการรวบรวมความกล้าบางอย่างและสลัดมันออก ในปี 1986 ในช่วงที่การประท้วงของกลุ่มสตรีนิยมกำลังได้รับความสนใจ Second wave faminism ช่วงที่กลุ่มสตรีนิยมทั่วโลกตะวันตกกำลังนำประเด็นเกี่ยวกับเพศ ความไม่เท่าเทียม ปิตาธิปไตย สังคมชายเป็นใหญ่รวมไปถึงเรื่องวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ในช่วงนั้นเองได้มีการประท้วงเกี่ยวกับการต่อต้านชุดชั้นในสตรี ซึ่งได้ผลเป็นอย่างมาก มีคนดังมากมายในยุคนั้นที่ออกมาโนบราจนกลายเป็นจุดเรียกความสนใจ มีนางแบบเดินบนรันเวย์ในชุดที่โนบรา และผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องปกติและเป็นแฟชั่น จนถึงในยุคปัจจุบันที่ยังคงมีการรณรงค์เรื่องนี้อยู่เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้หญิงมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนแนวความคิดของชุดชั้นในที่เริ่มต้นและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยุควิคตอเรียน ซึ่งนอกจากเรื่องสังคมชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำมาตลอดหลายศตวรรษ
ชุดชั้นในเองก็ยังคงสร้างปัญหาโลกใบนี้กลายเป็นสังคมที่ไร้ซึ่งความเท่าเทียมอีก การถูกเหยียดหยามในเรื่องของความสามารถที่มีน้อยกว่าเพศชาย มีร่างกายที่อ่อนแอกว่า ไม่สามารถทำงานได้เพราะถูกรัดและบีบอัด แนวคิวของชุดชั้นในประเภทนี้แสดงออกถึงเพศหญิงที่ไม่อาจนำความก้าวหน้าไปสู่การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจได้และแน่นอนว่าหมายถึงสตรีชั้นสูงที่ไม่ต้องทำงานและไม่สามารถทำงานได้ แต่ความสามารถที่ถูกกดขี่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงทุกคน ทว่าสาวใช้หรือสตรีชนชั้นแรงงานที่ไม่ได้ใส่เชือกรัดตัวแน่นจนเป็นรอยกลับยังคงถูกกดขี่ให้ทำงานอย่างหนักอยู่ เรียกได้ว่าคนที่อยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าก็ยังคงได้รับอภิสิทธิ์เช่นเคยแม้ว่าจะถูกตราว่าเป็นเพศที่อ่อนแอและไร้ความสามารถก็ตาม พอมองเช่นนี้แล้วผู้คนในสังคมกูกกดขี่และลดทอยกันมาเป็นขั้นลำดับโดยเฉพาะเพศหญิงที่ไม่ว่าจะมองไปยังประเด็นไหนก็ถูกกดขี่อยู่ดี ปัญหาด้านชนชั้นกับการแต่งกายยังคงมีต่อมาเรื่อย ๆ
ในยุคสมัยเปลี่ยนผัน ชุดชั้นในก็เช่นกัน ในยุคสมัย 1920 เริ่มมีการปรับเปลี่ยนแบบชุดชั้นในให้มีลักษณะคล้ายกับชุดเดรสสายเดี่ยวหรือชุดชั้นในแบบกระโปรงที่มีในปัจจุบัน แต่ความแตกต่างของผ้าและวัสดุที่ใช้บ่งบอกอยู่หลายอย่าง แน่นอนว่ายังคงแนวคิดแบบเดิมจากในยุควิคตอเรียนและการซื้อชุดชั้นในของผู้หญิงสมัยนั้นเองก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อเครื่องแต่งกาย สตรีชนชั้นสูงมีห้องเสื้อประจำตระกูลและสั่งตัดแบบใหม่ไม่ซ้ำ เช่นเดียวกันกับชุดชั้นในที่ต้องสั่งตัดและมีวัสดุที่หลากหลายเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้หลังจากที่แต่งตัวออกจากบ้านแต่ก็ยังคงใช้ตัดสินและแบ่งแยกชนชั้นได้ การใส่ชุดชั้นในเองก็ยังคงแบ่งเป็นชุดที่ใช้ในช่วงเวลากลางวันและออกงานในตอนกลางคืนไม่ต่างอะไรกับชุดทำสวนตอนเช้าและชุดงานเต้นรำยามราตรี และปรากฏว่าการใส่ชุดชั้นในที่ถูกตัดอย่างดีโดยผ้าลูกไม้สีชมพูในงานแต่งงานยุค 1950 ยังสิ่งที่นำเสนอถึงสตรีชั้นสูงอีกด้วย
ยังมีผู้หญิงอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่ไม่อาจเข้าถึงของใช้ที่จำเป็นได้อย่าง ชุดชั้นใน ในปัจจุบันมีแบรนด์ชุดชั้นในอยู่หลากหลายและราคาก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีการรณรงค์เรื่องการโนบราแต่อย่าลืมว่านั่นเป็นเพียงทางเลือกที่มีเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงมีอิสระเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องดีที่การผลิตชุดชั้นในสตรีในราคาที่เข้าถึงง่ายและใช้วัสดุที่มีคุณภาพควบคู่ไปด้วย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in