ขณะที่เราเดินข้างกันใต้ร่มคันสีฟ้าอ่อน เอยเอ่ยประโยคเริ่มบทสนทนาแข่งกับเสียงฝนอีกครั้ง โดยที่มันยังตกเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนตอนอยู่ที่โรงหนังไม่มีผิด
"ก็ดีนะ แล้วเอยล่ะ" คำตอบสั้น ๆ เช่นทุกครั้งที่เราแลกเปลี่ยนชีวิตกัน
"ไม่เอาสิ เราอยากฟังเรื่องของเมบ้าง ตอนเรียนเมชอบให้เราพูดอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนคนบ้าเลย"
ยินดีด้วยที่เรียนจบแล้ว เราจะไม่อวยพรให้เธอเจอชีวิตดี ๆ เพราะรู้ว่ายังไงเธอก็จะพาตัวเองไปเจอสิ่งดี ๆ ได้แน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะไปไหนต่อเพราะแม่งไม่ค่อยเล่า มีแต่เราที่พูด ๆๆๆ อยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็หวังว่าเราจะยังอยู่ในวงโคจรของกันและกันอย่างงี้ต่อไปนะ
รักและจะคิดถึง
เอย, 1 กรกฎาคม 57
จู่ ๆ ภาพในหัวของฉันก็หมุนกลับไปตอนที่ได้นั่งอ่านการ์ดสีครีมลายมูมินที่ได้รับมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งจากเอยในวันรับปริญญา เราเรียนคณะเดียวกันและรับปริญญาพร้อมกัน เพียงแต่เอยเลือกที่จะไม่เข้าร่วมพิธี จึงแปลงร่างมาเป็นเพื่อนบัณฑิตที่คอยมาถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้แทน
ต่อจากภาพนั้นเครื่องประมวลภาพในสมองก็เริ่มดึงความทรงจำระหว่างฉันกับเขาที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นมาฉายวนซ้ำ ทั้งตอนที่ฉันนั่งชันแขนมองเขาเล่าเรื่องความฝันอย่างตั้งใจ ตอนที่เขาโทรมาร้องไห้เพราะหมาตัวที่โตมากับเขาตั้งแต่เด็กโดนรถชน หรือแม้แต่ตอนที่เรานั่งเรียนข้างกันแล้วเขาหยิบสมุดฉันไปวาดรูปพิกเล็ตแล้วเขียนกำกับว่านี่คือฉันตอนนี้
-
"แล้วเอยล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่" ฉันถามคนข้าง ๆ ที่ขอเปลี่ยนฝั่งเดินกับฉันเพราะอยากสลับมือข้างที่ถือร่ม อันที่จริงฉันขอช่วยถือร่มแทนเขาบ้าง แต่ก็โดนปรามจนต้องทำตัวลีบ ๆ อาศัยใต้ชายคาผืนผ้าสีฟ้าอ่อนนี้ต่อไป
"เป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรม" สายตาเขามองตรงไปข้างหน้า ผิดกับฉันที่หันมองเขา
"จริงจัง" ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
"เราทำงานโรงแรมจริง ๆ ทำไมหรอ อย่างเราควรจะต้องไปทำอะไร"
เขาตอบปนขำ พลางหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มยียวน
ไม่รู้ว่าฝนตกเบาลงหรือจะเป็นไข้ เพราะฉันสัมผัสได้ถึงไอร้อนข้างในที่ค่อย ๆ ไหลวนจนในอกรู้สึกอบอุ่น
-
"แต่ดีใจด้วยนะที่เมได้ทำงานที่ตัวเองชอบ เราบอกแล้วว่าเมจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เมมีความสุขได้"
หลังจากแลกเปลี่ยนชีวิตการทำงานกันแล้ว เขาก็บ่นอิดออดกับปัญหาของงานที่เคยเจอ
ตลกดีที่แม้ว่าเอยจะไม่ได้ทำงานตรงกับที่ฉันคิดไว้เท่าไรนัก แต่เขาก็ยังดูสนุกกับการรับมือจากปัญหาที่แขกสรรหามาให้ปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน
"แต่ก็ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ไปได้ซักกี่ปี เราขี้เบื่อ เอยก็รู้"
เขาไม่พูดตอบ ได้แต่อมยิ้มแล้วกางร่มพาฉันฝ่าฝนต่อไป
ฉันรู้ว่าอีกไม่ไกลจะถึงหอฉันแล้ว และฉันก็ไม่รู้จะยืดระยะเวลาตอนนี้ให้นานกว่านี้ได้ยังไง
-
พ่อแม่เอยเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่แม่ฮ่องสอน บ้านเขาทั้งบ้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่ภาคเหนือ
ตอนเอยสอบติดที่กรุงเทพฯ เขาเคยทะเลาะกับพ่อจนเกือบตัดพ่อตัดลูก เพราะพ่อเอยกลัวลูกสาวจะโดนลูกหลงจากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุในช่วงนั้น แต่ด้วยความที่เอยเป็นเด็กดื้อเงียบ หัวรั้นและไม่ฟัง จึงสู้รบกับพ่อจนมาเรียนที่นี่ได้ เอยบอกว่าพ่อไม่คุยกับเขาเกือบปี แต่อยู่ดี ๆ วันที่เอยกลับบ้านครั้งแรกตอนปีสองก็เจอพ่อทำสปาเก็ตตี้ทะเลชามโตของโปรดเอยวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับโน้ตเล็ก ๆ ว่า 'ยินดีต้อนรับกลับบ้าน'
สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับเขาและคนอื่น ๆ ก็รู้คือเอยเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง เขามักเป็นหนึ่งในท็อปสามอันดับเมื่อมีสอบ ไม่ว่าสอบย่อยหรือสอบใหญ่ก็ตาม และถึงแม้จะดูนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่น่าเข้าไปทำความรู้จักเพราะไม่ค่อยยิ้ม ทว่าเอยก็เป็นแอคทิวิสต์ตัวยง เรียกได้ว่าเมื่อมีเสวนาหรือกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองจะต้องมีเขาร่วมด้วยแน่นอน ตรงกันข้ามกับฉันที่ดันเป็นมนุษย์ประเภทไม่ชอบทำกิจกรรม
เอยเคยชวนฉันไปค่ายที่ทำร่วมกับเพื่อนคณะอื่นเป็นสิบ ๆ ครั้ง แต่ฉันก็ไม่เคยไป รับปากไปอย่างนั้น ท้ายสุดก็ละเลยลืมเลือนใช้เวลาช่วงวันหยุดไปกับตัวเองอยู่ดี ไม่เคยคาดคิดว่าใครจะไปเจอเขาหรือเขาจะไปเจอใคร มัวแต่คิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นกันอีกนาน มีเรื่องคุย แลกเปลี่ยนวันของกันและกันต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมาพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เวลาเขาร้องไห้ เขาก็เลือกโทรหาคนอื่นแทนฉันแล้ว
-
"ถึงแล้วล่ะ ขอบคุณที่มาส่งนะ"
เราทั้งสองหยุดยืนอยู่ที่หน้าหอพักฉัน ซึ่งบังเอิญว่ามันก็เป็นทางผ่านไปหอพักเขาพอดี
"ทำไมอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ไม่เคยเจอกันเลย"
ฟังดูเหมือนเขารำพึง ฉันจึงไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันหรือตัวเองกันแน่
"เอาไว้วันหลังจะมาชวนไปดูหนังด้วย"
เขายิ้มอีกครั้ง ยิ้มท่ามกลางฝนที่ยังตกหนักเท่าเดิม ฉันไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้ารับแกน ๆ
"ไปละนะ" มือเขาอีกข้างที่ว่างจากถือร่มโบกไปมา ฉันยิ้มแล้วทำท่าเดียวกันกลับ นี่เป็นอีกครั้งที่เขาบอกลาฉันและเดินลับหายไปโดยที่ฉันไม่แม้แต่จะเอ่ยคำว่า โชคดี
-
ฉันเดินเข้าห้องและทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างหมดแรง มือล้วงเอาโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายมาเปิดดูโปรแกรม Messenger ก่อนจะไถหน้าจอไปที่ช่องแชตด้านล่างกว่าเกือบนาที
เขาออนล่าสุดคือเมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลั้นหายใจทำไมตอนที่กดเข้าไปดูบทสนทนาระหว่างกัน ข้อความที่เราคุยกันล่าสุดคือเรื่องที่ฉันเจอแมวสีส้มตัวยักษ์ที่เราสองคนนึกว่ามันหายไปแล้วที่ร้านข้าวแถวคณะ เขาดูดีใจและบอกว่าจะไปหามันถ้ามีโอกาส เขาไม่ได้เอ่ยชวนฉันให้ไปด้วยกัน และฉันก็ไม่ได้อาสาจะพาเขาไปหามัน เราทิ้งบทสนทนากันไว้แบบนั้น
ไม่แน่ใจว่าเขาได้เจอแมวตัวนั้นหรือยัง หรือมันหนีหายไปอีกครั้งแล้วก็ไม่รู้
ฝนยังตกอยู่ข้างนอก และเสียงของมันก็ยังเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ
ฉันสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นชื้นที่แทรกซึมเข้ามาในห้อง ก่อนตัดสินใจพิมพ์อะไรบางอย่างเพื่อส่งไปหาเอยแต่ก็แทบจะลบในทันที ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ข้างในมันชา ๆ และโหวงเหวงนั้นเกิดจากอะไร ฝน อากาศ หรือเพราะใกล้จะป่วยไข้
แต่เมื่อฉันลองนิ่งเงียบและค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอ่านบทสนทนาของเอยกับฉันในช่วงก่อนหน้านั้น
ฉันก็กลับสัมผัสได้ถึงพายุฝนที่กระหน่ำตกหนักอยู่ข้างใน — เสียงมันดังกว่าห่าฝนข้างนอกนั่นเสียอีก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in