หมายเหตุ: ถ้ายังไม่เคยอ่าน Novelber 2016 เรื่อง Abyss แนะนำให้อ่านเรื่อง Abyss ก่อน เพราะอาจจะมีสปอยล์เล็กน้อยบางจุด แต่จะอ่านเรื่องนี้ไปเลยก็ไม่มีปัญหาค่ะ
แต่ละบทของเรื่อง Pandemonium จะเรียงตามโจทย์
Novelber 2018 นี้นะคะ
cover image: Pandemonium by John Martin
----------------------------
ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบกับฆาตกรต่อเนื่องที่เกือบเอาชีวิตผมไป คือ ในห้องพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมในลอนดอน
ถ้าเทียบกับเหยื่อคนอื่น ๆ อาจพูดได้ว่า เขาปรานีผมที่สุดแล้ว... ผมหมายถึงวิธีการที่เขาพยายามทำให้ผมตาย แต่ไม่ได้หมายความรวมถึง วิธีที่เขาจะใช้ในการจัดการศพของผมหลังจากตายไปแล้ว จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่แน่ใจนักว่า ผมควรจะรู้สึกอย่างไรกับเขา มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความสงสารกับสมเพช
ผมเคยบอกตัวเองว่า ผมไม่สงสารเขาในสิ่งที่เขาทำกับผม และผมยังคงหมายความอย่างนั้น แต่ผมสงสารเขาในฐานะของอดีตเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวและการเลี้ยงดูที่บิดเบี้ยวที่ทำให้เขากลายเป็นอาชญากร และสมเพชในความพยายามของเขาที่จะติดต่อกับผมให้ได้
ตั้งแต่เลือกที่จะเป็นฆาตกร โลกของเขากับผมก็ถูกแยกขาดออกจากกัน ไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันอีกแล้ว และคงจะดีที่สุด ถ้าหากเราใช้ชีวิตของตัวเองอยู่คนละมิติ โดยเฉพาะในเวลานี้ ที่ผมตัดสินใจที่จะหยุดอยู่กับใครสักคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะทำให้ผมผ่านคืนวันน่าเบื่อหรือเลวร้ายไปได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากเรียนรู้ความเสี่ยงของการมีเพื่อนนอนแค่ข้ามคืนอย่างลึกซึ้งและปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ว่าของตัวเอง บวกกันอะไรหลายอย่างที่เริ่มลงตัวมากขึ้น แม้จะยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ผมคิดว่า ผมชอบตัวเองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ และชอบชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วย
โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของผมสั่น ผมหยิบขึ้นมาดูข้อความ และพิมพ์บอกเขาว่าจะรออยู่บริเวณชานชาลาที่ 9 ¾ ของสถานีรถไฟ ร้านขายสินค้าจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่องแฮรี่ พ็อตเตอร์ที่ตั้งอยู่ห่างจากห้องน้ำของสถานีไปไม่ไกลมาก และเปิดให้แฟนนิยายทั้งหลายมีโอกาสผูกผ้าพันคอสีประจำบ้าน ถ่ายรูปเสมือนหายเข้าไปในสถานีในจินตนาการ
ผมพับเมโทร หนังสือพิมพ์แจกฟรีตามสถานีรถไฟใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตบางสำหรับฤดูใบไม้ร่วงเงยหน้าขึ้นมองกระดานบอกเวลาขาเข้าและขาออกของสถานีรถไฟคิงส์ครอส อีกไม่กี่สิบนาที คนที่ผมมารอรับก็คงจะมาถึง ถ้ารถไฟไม่มาถึงช้ากว่ากำหนด หรือสหภาพพนักงานรถไฟเกิดไม่ประกาศหยุดงานประท้วงกันเป็นว่าเล่นแบบปีก่อนอีก
“หนีห่าว”
เสียงทักจากชายหนุ่มผิวขาวทำให้ผมหันหน้าไปมอง เขาโบกมือให้ และทำท่าเหมือนอยากถามอะไรสักอย่าง
การเป็นลูกครึ่งเอเชียในภูมิภาคที่ยังมีคนคิดว่าคนเอเชียแต่ละชาติหน้าเหมือน ๆ กันไปหมดเป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยเฉพาะการต้องคอยตอบคำถามซ้ำ ๆ ว่า ผมไม่ใช่คนจีน ผมพูดภาษาจีนไม่ได้ ผมเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น พูดญี่ปุ่นได้นิดหน่อย ผมไม่รู้จักอนิเมะที่คุณพูดถึง การเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้หมายความว่า ผมเป็นโอตาคุ ปอเปี๊ยะทอดไม่ใช่อาหารญี่ปุ่น ผมไม่ได้กินซูชิหรือทำข้าวกล่องเบนโตะมาเป็นอาหารกลางวัน ผมกินแซนด์วิชโง่ ๆ กับกาแฟเป็นอาหารกลางวันเหมือนคนอังกฤษทั่วไปนั่นละ และอื่น ๆ อีกมากมายทำนองนี้
ใช่ มันน่าเบื่อ แต่ผมก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเขาอยู่ดี
“โทษที ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด ผมเกิดที่อังกฤษ”
หมอนั่นหน้าเสียไปนิดหน่อยกับคำตอบของผม แต่ก็ยังแข็งใจถามวิธีการเดินทางไปแจ๊สคลับแห่งหนึ่งที่ถนนจิลเล็ตต์ โชคยังดีที่ผมอารมณ์ดีพอที่จะคุยกับเขาต่อและบอกเส้นทางที่ถูกต้องให้ โดยไม่ทำให้เขาขึ้นรถใต้ดินหรือรถเมล์ที่จะพาเขาออกไปชานกรุงลอนดอน
ผมยอมรับว่า ในบางครั้ง ผมยังคงระแวงคนแปลกหน้าที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ ‘คนคนนั้น’ อยู่บ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะออกมาทำอะไรในตอนนี้ เมื่อลูกขุนตัดสินว่า ‘คนคนนั้น’ มีความผิดจริง และศาลพิพากษาให้เขาเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลพิเศษ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากติดคุก ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี เราคงไม่มีวันได้พบกันอีก
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการเป็นตำรวจของผมก็สอนให้ผมรู้ว่า อะไรที่ไม่คาดฝันล้วนเกิดขึ้นได้ จงอย่าไว้ใจคนแค่เพียงภายนอก และผมหวังว่าจะไม่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตที่ฉลาดระดับนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าการทำคดีฆาตกรรมต่อเนื่องจะเป็นเรื่องท้าทายก็ตาม แต่เรื่องพวกนี้จะสนุกเฉพาะแค่เมื่อมันอยู่ในนิยายเท่านั้น
กระดานอิเล็กทรอนิกส์แจ้งรถไฟขาเข้าชานชาลากะพริบเปลี่ยน รถไฟจากนิวคาสเซิลมาถึงแล้ว และอีกไม่นาน ผมก็จะได้พบกับคนที่ผมกำลังรออยู่
แจ๊สคลับสักที่หลังการทำงานที่หนักหน่วงเป็นความคิดที่ไม่เลว เขาคงไม่ปฏิเสธที่จะกินมื้อค่ำเคล้าเสียงดนตรี ก่อนที่เราจะกลับบ้านไปนอนซุกในที่นอนอุ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านผมหรือบ้านเขาก็ดีทั้งนั้น
“ไง ฮาล”
เสียงของคนที่ผมรออยู่ดังแทรกเสียงจอแจของผู้คนที่ทยอยลงจากรถไฟที่เข้าจอดยังชานชาลา เขาเป็นคนสูงและหนวดเคราที่เปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนอายุหกสิบหลายปีทำให้เขาดูเด่นจนสังเกตได้
เราต่างเดินตรงเข้าหากัน ผมเข้าไปกอดเขา เขากอดผมตอบ และทำให้ผมรู้สึกว่า เท้าตัวเองลอยพ้นพื้นขึ้นมานิดหนึ่ง
ถ้าไม่ติดว่า ผู้คนที่ผ่านไปมาในบริเวณสถานีคิงส์ครอสมากเกินไปหน่อย ผมคงจะจูบเขาสักหน แต่พูดตามตรงก็คือ การมีเขาอยู่ด้วยเป็นความรู้สึกที่ดีและเพียงพอสำหรับผมแล้วในเวลานี้
ลีโอ คิงส์ลีย์ทำให้โลกของผมเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เปลี่ยนผม แต่เขาทำให้ผมค้นพบสิ่งที่ตัวเองตามหาอยู่ในที่สุด
“คิดถึงคุณจังเลย ให้ตาย” เขาโอบบ่าผมขณะที่เราเดินออกจากสถานีรถไฟไปยังรถที่ผมจอดไว้ที่ถนนบริตตาเนีย
“ผมก็เหมือนกัน” ผมบอก “คอนเฟอเรนซ์เป็นไงบ้าง”
“ไม่เลว มีบางงานที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน” เขาตอบ “คุณล่ะ เป็นไงบ้าง”
ผมไหวไหล่ “ช่วงนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าแทงกันตายน่ะ ซึ่งก็ดีแล้ว”
คำตอบของผมทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ “ผมหิวจัง”
“การแทงกันตายทำให้คุณหิวเนี่ยนะ” ผมกระเซ้าลีโอ เขาเคยเป็นผู้ต้องสงสัยในรายชื่อที่ผมเคยทดไว้ในใจ แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมมั่นใจว่า เขาไม่มีทางเป็นฆาตกรโรคจิตไปได้แน่ ๆ “เราไปหาอะไรดื่มที่วอร์เท็กซ์ไหม...”
พูดไม่ทันจบประโยคดี โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของผมก็สั่นขึ้นมาอีก
ไม่นะ... ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย...
“ชิมาดะพูดครับ” ไม่ต้องดูชื่อที่บันทึกไว้บนหน้าจอ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าปลายสายเป็นใคร “ครับผม จะไปถึงที่เกิดเหตุภายในยี่สิบนาทีครับ ท่าน... ดร. คิงส์ลีย์อยู่กับผมตอนนี้ด้วย ให้เขาไปที่เกิดเหตุพร้อมกันเลยไหมครับ”
ผู้บังคับบัญชาผมสั่งการอยู่พักใหญ่ และเมื่อสายตัดไป เราสองคนก็ได้แต่ยืนมองหน้ากันอยู่ริมถนน
“ผมไม่รังเกียจที่จะกินแซนด์วิชเป็นมื้อค่ำหรอกนะ” ลีโอบอก เหลือบตามองไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ
“ถึงรังเกียจ คุณก็จำเป็นต้องกินแล้วละ” ผมว่า “แต่ไปตอนที่ท้องยังว่างอยู่ ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“ฆาตกรรม?”
“อืม” ผมตอบ “ผู้การพูดกับผมด้วยว่า นึกภาพเมืองหลวงของนรกออกหรือเปล่า มันเป็นอย่างนั้นแหละ...”
To be continued.... Day 2: Allergy (ภูมิแพ้)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in