เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
-BLEND IN-ไข่มุกพระจันทร์
CHAPTER 1 คืนวันศุกร์
  • “นี่ ยัยพิมพ์ เธอฟังฉันอยู่หรือเปล่าฮัลโหล”


    เสียงแหลมปลายสายแสดงออกถึงความหงุดหงิดเล็กน้อยที่คู่สนทนาปล่อยให้เธอพล่ามทำเพลงอารัมภบทอยู่คนเดียวเนิ่นนาน


    “ฉันฟังอยู่ขอโทษทีนะ พอดีฉันคิดว่าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆเข้านะสิ” 


    “ยังไงก็ตามแต่เธอรีบออกมาตอนนี้เลยนะ บก เรียกประชุมด่วนตอน 11 โมง ดูท่าว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆถ้าเธอมาไม่ทัน ชั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”


    “รู้แล้วรู้แล้ว เธอนี่บ่นเป็นคุณยายไปได้ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ” พูดจบฉันก็รีบคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนชั้นวางรองเท้าข้างประตูทางเข้า พร้อมสะพายกระเป๋าสีดำใบใหญ่คู่ใจแล้วรีบแจ้นออกไปทันที


    ป๊อก


    ฉันสะดุดเข้ากับบางอย่าง เมื่อก้มลงดูจึงเห็นว่าเป็นปากกาหมึกซึมด้ามหนึ่งตกอยู่บนพรมทางเดิน บนด้ามปากกาเขียนด้วยตัวเขียนภาษาอังกฤษสีทอง


    P.K


    ฉันไม่รู้ว่าปากกาด้ามนี้เป็นของใครแต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะลังเลใจว่าจะทำยังไงกับมันต่อไปดีจึงเก็บใส่กระเป๋าไว้แล้วรีบเดินเข้าลิฟต์ไป

     

    บกเรียกประชุมด่วนทำไมกันนะ....


    พิมพ์พิลาไลครุ่นคิดจนคิ้วขมวดในขณะที่นั่งอยู่บนรถ ยานพหะนะสีดำขลับจอดแน่นิ่งสนิทบนท้องถนนพร้อมสัญญาณไฟสีแดงบอกเวลาอีก 200กว่าวินาที


    “เห้ออจะทันไหมเนี่ย” ฉันถอนหายใจยาว พร้อมบ่นงุบงิบกับตัวเอง


    อากาศร้อนอบอ้าวในเดือนมิถุนายนยิ่งทำให้หญิงสาวที่ติดอยู่ในรถเพิ่มทวีความหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว ฉันเห็นเมฆฝนกลุ่มก้อนสีดำลอยมาแต่ไกล ดูท่าว่าวันนี้ฝนคงจะตกหนักอีกเช่นเคย เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวฉันรีบออกตัวจากสี่แยกไฟแดงแล้วขับตรงไปตามถนนด้วยความเร็ว ถ้าไม่ติดว่ากรุงเทพฯนั้นมีรถยนต์เยอะมหาศาลบนท้องถนนป่านนี้ฉันคงจะเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์ไปแล้ว ตอนนี้หน้าจอบนแผงคอนโซลรถบอกเวลา 10:55 . เธอรีบเลี้ยวรถเข้าตึกสูงสีขาวทางซ้ายที่มีป้ายเขียนไว้ “THE PEAKBUILDIING”

     

    11:00 am.


    “ยัยพิมพ์ต้องมาไม่ทันแน่ๆเลยอ่ะ” เนตรนภากระซิบกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้ถัดไปจากตัวเธอ


    “ลองโทรหามันดูอีกรอบสิ” ชายหนุ่มกระซิบกลับ


    “เอาหล่ะเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” หนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่นั่งตรงกลางหัวโต๊ะพูดขึ้นขณะเดียวกันกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกพอดี


    “สวัสดีค่ะขอโทษที่มาสายนะคะ คุณจักรกฤษ” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้ชายที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินตรงไปนั่งข้างเนตรนภา


    “ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วผมจะขอพูดทีเดียวเลยละกัน ตอนนี้ทางทีมเรามีโปรเจคใหม่ที่จะต้องลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อทำข่าวเกี่ยวกับคดีการตายของทีมอนุรักษ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแน่นอนว่าทางผมและทีมงานรวมถึงทุกท่านในที่นี้จะต้องออกสถานที่เพื่อไปทำข่าวด้วยกัน”เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง


    “ตอนนี้ทุกอย่างกำลังอยู่ในขั้นตอนเรื่องการเบิกงบประมาณถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้ว พวกเราจะออกเดินทางในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า”


    “หา แล้วเราต้องค้างคืนไหมคะหัวหน้า" เนตรนภาถามขึ้น


    “เธอคิดว่าเราไปช้อปปิ้งกันที่พารากอนหรอถึงจะได้ไปเช้าเย็นกลับหน่ะ ไปทำข่าวต่างจังหวัดก็ต้องมีการค้างคืนสิ”คุณจักรกฤษสวนขึ้นทันควัน


    “ทำไมกะทันหันขนาดนี้หล่ะครับหัวหน้า แล้วพวกผมต้องเตรียมตัวเรื่องไหนบ้าง” วิรุตถามขึ้น


    “ข่าวนี้เป็นโปรเจคใหญ่ที่ทางเบื้องบนต้องการให้ทีมเราเข้าไปทำข่าว ถ้าเรื่องนี้ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์นะ ทีมเราก็จะได้เครดิตไปด้วย ส่วนเรื่องว่าต้องเตรียมตัวอะไรยังไงบ้างเรื่องนี้พวกคุณทั้งหลายต้องไปทำการบ้านกันมา แล้ววันจันทร์มาเสนอให้ผมฟังอีกทีเกี่ยวกับไอเดียของคุณ เข้าใจไหม”


    “เข้าใจก็ได้ครับแหะๆ” วิรุตพูดเสียงอ่อย


    “พิมพ์พิลาไลเธอมีคำถามไหม” หัวหน้าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฉันนั่งเงียบไม่ปริปาก


    “เอ่อแล้วนอกจากทีมเราแล้ว ยังมีทีมไหนที่จะไปกับพวกเราอีกบ้างคะ”


    "เดี๋ยววันจันทร์นี้พวกคุณจะรู้เอง"

  • “เห้อออ ครั้งนี้ฉันไม่อยากลงภาคสนามเลย ให้ตายสิ” เนตรนภาบ่นขึ้นระหว่างพักกลางวันที่โรงอาหารบริษัท


    เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยอินกับการผจญภัยเดินป่า ลงเขา ฝ่าห้วยสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมากิจกรรมสุดโปรดของเธอจะเป็นการตระเวนเก็บแต้มร้านอาหารติดดาวและการช้อปปิ้งเสียมากกว่า เรียกได้ว่าเธอเป็นสาวซิตี้เกิร์ลตัวจริงเสียงจริงเลยหล่ะ 

    เนตรนภาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ หลังจากเรียนจบเธอเคยไปใช้ชีวิตที่แคลิฟอร์เนียอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะกลับมากรุงเทพและสมัครงานกับ THE PEAK NEWS จนทำงานมาร่วมเกือบ ปีได้แล้ว ถึงแม้ภายนอกจะเห็นว่าเธอดูเป็นลูกคุณหนูก็ตาม แต่จริงๆแล้วเธอมีนิสัยน่ารักและไม่จุกจิกเลย


    “นี่ผมต้องเตรียมอะไรบ้างยังไม่รู้เลยทุกอย่างกะทันหันไปหมด แล้วนี่อะไรกันอีกแค่สองอาทิตย์เองหรอที่พวกเราต้องออกเดินทางแล้วผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยอ่ะ” วิรุตบ่นขึ้นตามมาติดๆ พร้อมกับยัดเส้นขนมจีนเข้าปาก

    วิรุตเด็กกว่าฉันและเนตรนภาปีแต่ถึงกระนั้นเราทั้งสามก็สนิทสนมกันพอสมควร วิรุตเป็นเด็กต่างจังหวัดที่สอบติดมาเรียนที่กรุงเทพ เวลาเขายิ้มดวงตาจะหรี่เหลือชั้นเดียว แต่คิ้วคมเข้มและจมูกโด่งนั้นทำให้ใบหน้าของวิรุตดูเด่นชัดขึ้นมา ทำให้เขาเป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆหลายคน บวกกับส่วนสูงที่ชะลูดเกิน 180 เชนติเมตรยิ่งทำให้วิรุตเป็นดาวเด่นไม่ว่าจะที่มหาวิทยาลัยที่ทำงานหรือที่ไหนก็ตาม วิรุตทำงานที่นี่มาได้ 2 ปีพอดี ถึงแม้ประสบการณ์การทำงานจะไม่นานเท่าพิมพ์พิลาไลหรือเนตรนภา แต่วิรุตก็ถือว่าเป็นเด็กที่มีความขยันและตั้งใจทำงานดีทีเดียว


    “อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่เราไม่มีผลงานหล่ะนะ ช่วงนี้ถ้าได้สกู๊ปเด็ดก็ถือว่าเป็นโอกาส” ฉันพูดขึ้น


    “เรื่องงานนะพักไว้ก่อนดีกว่า ชั้นอยากรู้เรื่องของเธอมากกว่า ไปเดทเป็นยังไงบ้าง” เนตรนภาถามขึ้นด้วยสีหน้าและดวงตาที่เป็นประกายใคร่รู้


    “ก็ดีนะ”ฉันตอบสั้นๆ


    “แสดงว่าไม่ดีสินะ”เนตรนภาพูดขึ้น


    “ทำไมคิดอย่างนั้นหล่ะ”


    “ก็ถ้ามันดีเธอก็คงจะตื่นเต้น กรี้ดบ้านแตกโวยวายไปเจ็ดบ้านสิบบ้านนานล่ะ การที่เธอเงียบก็แสดงว่าไม่มีอะไรที่น่าประทับใจหน่ะสิ” เนตรนภามองออกทะลุปรุโปร่ง


    “ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”


    “เธอเป็นแบบนั้นแหละ เวลาเขิน แค่เธอไม่รู้ตัว"


    ฉันหันไปมองทางวิรุตเพื่อต้องการคำยืนยัน ทันทีที่วิรุตเห็นสายตาของฉัน เขาทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น


    "เธอนี่เรื่องมากจริงๆนะ โสดมาก็นานเดี๋ยวก็คานแก่หรอก”


    “เดี๋ยวเถอะ” ฉันตีเข้าที่แขนของเนตรนภา


    “โอ๊ยฉันไปล่ะ ผู้หญิงอะไรมือหนักชะมัด” เนตรพูดพลางลุกขึ้นยืน


    “ผมไปด้วย” พวกเราต่างลุกขึ้นและกลับไปยังออฟฟิศ

     

    เม็ดฝนตกกระทบที่บานกระจกข้างโต๊ะทำงานของพิมพ์พิลาไลทำให้เกิดฝ้าความชื้น ฉันเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสายฝนที่เริ่มเทลงมาอย่างหนักข้างนอกนั้นทำให้ผู้คนที่เดินจอแจอยู่ตามท้องถนนเริ่มเดินเร็วขึ้นจนเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นเป็นการวิ่ง ชายหญิงในชุดออฟฟิศเข้ารูปต่างกุลีกุจอหาสถานที่หลบฝน ชั่วโมงเร่งด่วนอย่าง 6 โมงเย็นวันนี้ยิ่งทำให้ผู้คนตรงร้านค้าหัวมุมถนนที่ใช้เป็นที่สำหรับหลบฝนเริ่มหนาแน่นและแออัดมากยิ่งขึ้น ฉันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วเอื้อมมือไปปิดโน้ตบุ๊กพร้อมเก็บเข้ากระเป๋าสะพาย


    “ฉันกลับก่อนนะ”

  • 18:25 PM


    ฉันขับรถออกจากบริษัทตรงดิ่งกลับไปยังคอนโดโดยไม่แวะที่ไหนอย่างเคย เย็นวันศุกร์ในวันฝนพรำทำให้รถยิ่งติดหนักกว่าตอนเช้าซะอีก พิมพ์พิลาไลหยิบมือถือขึ้นมาไล่ตอบแชทที่ดองค้างไว้ตั้งแต่เช้า ด้วยนิสัยที่เป็นคนไม่ติดโซเชียลสักเท่าไหร่ โทรศัพท์มือถือมีไว้สำหรับติดต่อเรื่องงานเท่านั้นแหละ แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นคนโลกส่วนตัวสูงจ๋าแต่อย่างใด แค่ชอบที่จะติดต่อพูดคุยโดยการเห็นหน้ามากกว่าเท่านั้นเอง


    "Father, Father, Father help us, send some guidance from above"


    ฉันฮัมเพลงเป็นจังหวะจากวิทยุที่ดังขึ้นระหว่างรอสัญญาณไฟ


    “วี้หว่อวี้หว่อ วี้หว่อ” 


    เสียงสัญญาณไซเรนดังขึ้นมาจากทางข้างหลัง พร้อมไฟกระพริบบนหลังคารถที่สว่างจ้าจนบรรดารถที่จอดรอไฟแดงอยู่แถวนั้นต่างขยับเข้าข้างทางเพื่อให้รถฉุกเฉินผ่านไปได้


    โชคร้ายจังเลยนะเกิดเหตุในเวลาแบบนี้แถมยังฝนตกอีกด้วย ฉันคิดขึ้นในใจ


    แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังถึงที่หมายภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง คอนโดสูงใจกลางเมืองย่านอโศกคือสถานที่หลบหนีความวุ่นวายจากสิ่งที่ต้องเจอมาตลอดทั้งวัน ฉันจอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดินของคอนโดก่อนเดินเข้าลิฟต์และกดหมายเลขชั้นที่ 25


    พิมพ์พิลาไลอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา ปีแล้วก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ผู้เช่ารายหนึ่งเท่านั้น แต่จากการทำงานหนักและเก็บหอมรอมริบ ทำให้ฉันตัดสินใจครอบครองห้องขนาด 45 กว่าตารางเมตรแห่งนี้เอาไว้เป็นของตัวเอง


    ติ้ง   ลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 25


    ฉันก้าวขาออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปตามทางเดิน พื้นพรมสีเทาเข้มตัดกับผนังกำแพงสีครีม ประดับด้วยไฟสีเหลืองนวลอ่อนยิ่งเพิ่มภาพลักษณ์มูลค่าความหรูหราให้กับคอนโดแห่งนี้ ระหว่างที่เดินไปได้ครึ่งทางจึงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ


    ตรงทางเดินมีคนมากเกินไป


    ฉันเดินต่อไปตามทางเรื่อยๆจนมาหยุดที่ห้องหมายเลข 25/1025 แต่ต้นเหตุของความผิดปกติไม่ได้มาจากทางห้องนี้แต่เป็นห้องถัดไปต่างหาก ชายหนุ่มหลายคนในชุดเครื่องแบบสีกากีเดินเข้าเดินออกจากประตูห้องเป็นว่าเล่น ถัดจากกำแพงห้องของฉันมีสายคาดสีเหลืองห้ามผ่านกั้นระหว่างทางเดินเอาไว้ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนอออยู่ตรงทางกั้นพร้อมตัวหนังสือเขียนไว้ ห้ามเข้า แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นนักข่าว ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากถามคนแถวนั้น ทันใดนั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินฝ่าดงนักข่าวเข้าไปในเขตกั้นห้ามเข้าและไปหยุดอยู่ตรงประตูหน้าห้องจนฉันสามารถเห็นเค้าได้ในระยะไม่ไกล


    ดูท่าน่าจะสูงสัก185 เซน


    หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มรับกับผิวสีแทนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีกรมท่าอีกทีหนึ่ง ผมสีดำถูกตัดสั้นและเซ็ตไว้อย่างเป็นระเบียบ เคราที่หน้าดูเป็นทรงเสมือนถูกเล็มมาอย่างดี ทุกอย่างทำให้เขาดูเนี้ยบ สะอาดสะอ้านและสบายตา ทว่าไม่เพียงแต่พิมพ์พิลาไลเท่านั้นที่หยุดมอง นักข่าวที่จอแจอยู่อีกฝั่งถึงกับตะลึงงันในความหล่อของเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของฉันได้ดีกว่าใบหน้านั้นแล้วก็คือคำว่า “หน่วยสืบสวนพิเศษ” ที่ติดอยู่บนหลังเสื้อแจ็คเก็ตของเขานั่นเอง


    ตำรวจนักสืบสินะ


    ฉันจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนเดินตรงไปทางเขา


    “สวัสดีค่ะฉันชื่อ พิมพ์พิลาไลค่ะ เป็นเพื่อนกับเจ้าของห้องนี้นะคะ เอ่อไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นคะ พอจะมีอะไรให้ฉันช่วยได้ไหม แล้วคุณขณิกา เอ่อเพื่อนของฉันที่พักอยู่ที่ห้องนี้นะค่ะ เธอเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันรู้จักกับขณิกาเจ้าของห้องก็จริงแต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากเท่าไหร่นัก ขณิกาเป็นสาวสวยที่พึ่งย้ายเข้ามาพักข้างห้องได้ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง ถ้าให้พูดกันตามตรงฉันเองก็แทบจะจำใบหน้าของหล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ เราเคยเดินสวนกันตรงทางเดินและทักทายกันพอเป็นพิธีแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น


    “สวัสดีครับผมธาวิน เป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษในครั้งนี้ครับ เมื่อสักครู่นี้คุณบอกว่าคุณรู้จักกับเจ้าของห้องใช่ไหมครับ”


    นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกด เคยได้ยินมาว่าหากเราตกหลุมรักใครสักคน ความรู้สึกจะเหมือนกับมีผีเสื้อบินล่องลอยอยู่เต็มท้องหวิวๆ ลอยๆ ฟุ้งๆ แน่นอนว่าฉันไม่ได้ตกหลุมรักเขาอยู่แล้ว พิมพ์พิลาไลชอบใครยากจะตายไป อาจจะฟังดูเว่อร์ไปสักหน่อย แต่ถ้าใครได้เจอน้ำเสียงทุ้มลึกของเขา ไหนจะสายตาพราวเสน่ห์คู่นั้นอีก บวกกับหน้าตาอันหล่อเหลาและส่วนสูงหุ่นกำยำ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้หญิงก็อาจจะตกหลุมพรางเสน่ห์ของเขาได้ง่ายๆเหมือนกัน ให้ตายเถอะฉันจะเป็นลมไหมเนี่ย


    ใจเย็นไว้ใจเย็นไว้ ฉันบอกกับตัวเองในใจ


    “ใช่ค่ะฉันพักอยู่ห้องข้างๆนี่เอง” ฉันเก็บอาการไว้ก่อนจะพูดขึ้น


    “เอาหล่ะคุณช่วยตามผมมาทางนี้สักครู่ได้ไหมครับ” พูดจบแล้วเขาเดินนำไปที่มุมทางเดินลับสายตาผู้คน ฉันเดินตามเขาไปติดๆพร้อมกับแอบเปิดเครื่องอัดเสียงในโทรศัพท์มือถือเอาไว้ แน่นอนว่าการที่ฉันเลือกเข้าไปทักเขานั้นก็เพราะต้องการเก็บข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ให้ได้มากที่สุด ถ้าเดาไม่ผิดจะต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับห้องข้างๆอย่างแน่นอน แต่ด้วยเลือดของนักเขียนข่าวในตัวฉันนั้น ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์หรือส่งข่าวออกอากาศก็จะต้องหาข้อมูลที่แน่ชัดเสียก่อน


    “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันหยุดยืนตรงมุมทางเดิน ในใจก็แอบรู้สึกไม่ไว้ใจเขา ทำไมถึงต้องมาแอบคุยไกลขนาดนี้


    “คุณบอกว่าคุณเป็นเพื่อนกับเธอ ล่าสุดที่คุณเห็นคุณขณิกาคือช่วงเวลากี่โมงครับ”


    “เอ่อวันนี้ฉันยังไม่ได้เจอเธอเลยค่ะ” ฉันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา


    “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”


    “ตอนนี้ผมยังไม่สามารถแจ้งรายละเอียดใดๆได้เอาเป็นว่าทางผมอาจจะติดต่อคุณมาอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือนะครับ


    “บางทีถ้าคุณบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้นฉันอาจจะช่วยคุณได้นะคะ” ฉันพยายามไม่ลดละ


    “ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาตัดบทดื้อๆก่อนที่จะหมุนตัวเดินกลับไป


    แต่ทันใดนั้นเสียงจากวิทยุสื่อสารที่คาดอยู่ตรงเอวของเขาก็ดังขึ้น


    “สรุปบาดแผลภายนอก ผู้ตายถูกรัดคอจนเสียชีวิต นอกเหนือจากนี้ยังไม่พบร่องรอยอื่นๆ ศพจะถูกนำส่งไปยังแผ..........” เขารีบปิดเสียงวิทยุสื่อสารลงแล้วมองมาทางฉัน


    “อย่าบอกนะคะว่า...


    “ผมขอตัวก่อน” พูดจบเขารีบเดินจากไป


    คดีฆาตกรรมสินะ

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
ฝากคอมเม้น ด้วยนะค้าาาา ><