"ต้นเหตุของความเสียใจ ก็คือความจริงที่ของเราไม่พูดกัน..."
ถ้าไม่เคยเจอกับตัวเอง เราคงไม่อาจรู้ได้เลยว่า ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราสนิทและคุยกับน้องคนนึงบ่อยมาก และเป็นช่วงที่เราทำบล็อก(อีกบล็อกนึง)อย่างสนุกสนานมาก เพราะน้องคนนี้จะเข้ามาอ่านและคอมเม้นท์คุยเป็นประจำ
แต่แล้ว ประมาณปลายปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ จู่ๆ การติดต่อกันก็ขาดหายไป เราเริ่มรู้สึกว่า น้องคงหมดความสนใจในผลงานของเราแล้วล่ะ
ถ้าเป็นคนทั่วไป เขาคงจะไปกระเง้ากระงอดให้อีกฝ่ายกลับมาอ่าน แต่ไม่ใช่สำหรับเรา
เราเลือกที่จะเงียบหายไป อาจจะไปตั้งสเตตัสตัดพ้อนิดหน่อย แต่ไม่มีการตาม ไม่ทวงถาม ไม่อ้อนวอน
...พาลขี้เกียจเขียนบล็อกไปด้วย (จริงๆตอนนี้ก็เริ่มขี้เกียจกับเว็บนี้แล้วเหมือนกัน คนเริ่มอ่านน้อยลง 555)
นอกจากใจแข็งแล้วยังใจร้ายด้วย เล่นเองเจ็บเองแท้ๆ
สุดท้ายจึงไม่ได้คุยกันเลย จนกระทั่ง...
ประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีนี้ เป็นช่วงที่เราสอบเข้าทำงานที่ใหม่ได้ ด้วยความที่รู้ว่าน้องคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่คอยลุ้นและคอยให้กำลังใจตลอดมา เราจึงนึกว่า เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆ ไปแจ้งข่าวให้เขาทราบหน่อยก็แล้วกัน
เราตั้งใจแค่ว่าจะบอกนิดเดียวแล้วหายไปเลย เพราะคิดว่าน้องคงสิ้นความสนใจในเราอีกต่อไป
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า.........
น้องตอบกลับมายาวเหยียดมาก ได้ความว่า จริงๆน้องยังคงห่วงใยและติดตามเรื่องของเราเสมอ แต่ที่ไม่กล้าตอแยเรา ทั้งในบล็อกและในชีวิตจริง เพราะน้องคิดว่าเราโกรธน้องและไม่อยากจะติดต่อกับน้องอีกต่อไป
แล้วน้องก็ไปแคปหน้าจอสเตตัสที่เราไปตัดพ้อไว้ โดยน้องตีความว่า เราเขียนเพราะเราโกรธน้องและไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับน้องอีก
...ทั้งๆที่ ความจริงแล้ว มันเป็นสเตตัสซึ่งตัดพ้อแบบน้อยใจรอให้ง้อ ไม่ได้ตัดขาด
สรุปว่าไม่มีใครคุยกับใคร ต่างคนต่างตีความและเข้าใจกันไปเอง แล้วจึงห่างกันไปเองในที่สุด
เพราะไม่พูดกันแท้ๆเลย
หลังจากวันนั้น ดูเหมือนทุกอย่างจะเข้าสู่สภาพปกติตามที่มันควรจะเป็น เราสองคนกลับมาคุยกันเหมือนดังเดิม
น้องเข้าใจแล้วว่าเราไม่ได้กรวดน้ำคว่ำกะลาน้องแต่อย่างใด และยังคงแวะมาทักทายบ้างเป็นบางเวลา ทั้งทางบล็อกและชีวิตจริง
ส่วนเราก็เข้าใจน้องมากขึ้นว่า น้องไม่ได้ต้องการจะหายไป แต่งานน้องยุ่งมาก ทั้งงานประจำและอาชีีพเสริม(น้องขยันมากจริงจัง)
ราวกับว่าเราสองคนกำลังเดินบนเส้นทางของตนเอง แล้วหันมามองกันเป็นระยะๆ โดยมีสายใยความผูกพันเชื่อมให้ยังคงต่อกันได้ติด สนิทกันได้แบบไม่ต้องใกล้กัน
ว่างเมื่อไหร่ค่อยคุย แต่หากไม่ว่าง ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเพราะอะไร โตๆกันแล้ว มีงานมีการทำแล้ว จะมานั่งเล่นเนตทั้งวันมันคงไม่ใช่
นึกๆไป เราดีใจมากที่ตัวเองตัดสินใจทักไปแจ้งข่าวในวันนั้น หาไม่แล้ว ในวันนี้ มิตรภาพที่เคยสร้างมา อาจขาดหายไปอย่างถาวรก็เป็นได้
เราได้น้องกลับมาคนนึง และน้องก็ได้พี่คนเดิมกลับมา
คิดแล้วก็ขำ ไม่มีใครทำอะไรใครเลยด้วยซ้ำ สาเหตุจริงๆมันเกิดขึ้นมาจากต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างแสดงออก แล้วก็ตีความกันไปเอง ทำทุกอย่าง เว้นอยู่อย่างเดียว
คือหันหน้าเข้าหากัน และพูดกันดีดีว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างเรา
พูดกันตามตรงนะ แค่เปิดใจคุยกันก็จบแล้วอ่ะ จริงๆ
เราว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เรื่องของเราหรอก และเผลอๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวด้วย ในชีวิตของคนแต่ละคน
บางครั้ง เราเลือกที่จะหันหลังให้กับความไม่แน่ใจ จะเป็นเพราะเราไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่าย จะเพราะทิฐิ หรือเพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาและสร้างช่องว่างขึ้นมาระหว่างคนสองคน
และเราก็เลือกที่จะขยายช่องว่างให้มากขึ้น ด้วยการหันหลังเดินจากมา แทนที่จะเดินไปหาให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป
กี่ครั้งแล้ว ที่เราต้องเสียคนสำคัญในชีวิตไป
กี่ครั้งแล้ว ที่เราต้องกอดทิฐิไปพร้อมกับน้ำตา
กี่ครั้งแล้ว ที่สายสัมพันธ์กลายเป็นเพียงความหลัง
เพียงเพราะการไม่พูดกัน
จริงๆแล้ว เราคงไม่อาจหาญไปสอนคนอื่นได้หรอก เพราะเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าถือทิฐิไว้จนทำคนดีดีหล่นหายไปกี่คนบ้าง
เราแค่อยากจะเตือนว่า เวลามีเรื่องอะไร หากคุณคิดว่าอีกฝ่ายยังคงสำคัญมากพอที่จะอยู่ในชีวิต
อย่าทำแบบเราเลยนะ
คุณไม่มีทางรู้หรอก ว่าวันสุดท้ายของชีวิตมันจะมาถึงเมื่อไหร่ ไปพร่ำเพ้อรักกันหน้างานศพหรือข้างเตียงโรงพยาบาลมันไม่ทันแล้วล่ะ
เราโชคดี ที่เรามีโอกาสที่จะเปิดใจ และตามเพื่อนดีดีกลับมาในชีวิตเราได้ในที่สุด
แต่คุณอาจไม่โชคดีแบบเราก็ได้
ความสัมพันธ์บางครั้งก็เหมือนสายน้ำ เมื่อไปทางใดแล้ว มันไม่มีทางย้อนกลับ
อย่ารอให้สายเกินไป แล้วมาเสียใจทีหลัง
........เพียงเพราะการไม่ยอมพูดกัน......เลยนะ.........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in