เดี๋ยวนี้ เวลาว่างๆ บางทีก็ชอบเข้ายูทูปไปดูฉากตัดในละคร เวลาพระ-นางสนทนากัน น่ารักดี
แหม ถึงคนเขียนจะไม่มีความรักแบบหนุ่มสาวอะไรกับใครเขา และคงไม่มีแนวโน้มว่าจะมีในชาตินี้ด้วย แต่คนเขียนก็ชื่นชมความรัก และมองว่ามันเป็นสิ่งสวยงามที่สุดสิ่งหนึ่งของโลก
การได้เห็นคนรักกันจึงถือเป็นความสุขที่คลายเครียดได้อย่างหนึ่ง
แต่ พูดก็พูดเถอะนะ ละครพวกนี้มีส่วนเกินจริงอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างแรกเลย ละครพวกนี้ชอบสรุปความให้พระนางเป็นแฟนหรือแต่งงานกันง่ายเหลือเชื่อ
แบบ รู้จักกันแค่เปิดเรื่องจนถึงจบเรื่อง จะร่วมชีวิตกันแล้ว รู้จักกันถึงปีหรือยังเถอะ
ว่ากันตามตรงนะ รู้จักกันแค่เวลาสั้นๆน่ะ ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้อดีข้อเสียอีกฝ่ายเป็นยังไง แถมอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้จักเราดีพอเลย จะทนกันได้รึเปล่าก็ไม่รู้
คิดดูสิ ชีวิตจริงน่ะ เป็นเพื่อนมานาน แต่งงานเป็น 10 ปี ยังเลิกกันได้ แล้วคิดว่ารู้จักกันประเดี๋ยวเดียวเนี่ย
มันจะกลายเป็นรักนิรันดร์ได้สักแค่ไหน และสักกี่คู่กันเชียว
ยอมรับนะ ว่าหัวโบราณพอสมควร จึงคิดว่า ก่อนที่เราจะตกลงปลงใจกับใครนั้น เราควรจะแน่ใจเสียก่อนว่า เรายอมรับในตัวตนของกันและกันได้จริงๆ ชีวิตคู่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะคู้ณณณณณ
ขายฝันให้เด็กและเยาวชนฝันอะไรลมๆแล้งๆไปได้...
อีกประการหนึ่ง ละครชอบจบตรงที่พระเอกกับนางเอกเป็นแฟนกัน หรือไม่ ก็แต่งงานกัน
ใส่ชุดขาวจูงมือกันไปทำพิธี แล้วขึ้นว่า จบบริบูรณ์ ตรงมุมจอ (อ๋อ เผอิญคนเขียนมีงานอดิเรกคือดูตอนจบละคร ใช่ ดูเฉพาะตอนจบอย่างเดียว เลยค่อนข้างจะคุ้นกับฉากจบ)
ไม่ใกล้เคียงความจริงเลยสักนิด
ในชีวิตจริงน่ะนะ การมีแฟนหรือแต่งงานไม่ใช่ตอนจบ ตรงกันข้าม มันคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่มีใครอีกคนมาร่วมรับรู้ในเรื่องของเรา
และเราก็ต้องเริ่มต้นรับรู้ในเรื่องของเขาเช่นกัน
เมื่อคุณลืมตาตื่นขึ้นมาในอีกวันที่คุณมีใครเคียงข้าง คุณจะพบว่าตัวตนในวันนี้ มันต่างไปจากวันที่ผ่านมา
ใช่ ในช่วงแรกของความรัก คุณอาจรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสดชื่น โลกนี้ช่างมีชีวิตชีวา ราวกับทุกสิ่งมันกลายเป็นสีชมพูไปหมด
....โอ๊ย เลี่ยน (ไม่ต้องมีความรักก็เขียนได้ เหอๆๆ)
แต่เมื่อเวลาผ่านไปและความหลงใหลได้ปลื้มเริ่มจางหายไปจากอารมณ์ คุณจะพบความจริงว่า ความรักนั้นไม่ได้มีเพียงความสุขแต่อย่างเดียว คุณจะเผอิญอะไรอีกหลายๆอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านลบเมื่ออยู่ด้วยกัน ปัญหาสารพัดสารพันที่เมื่ออยู่กันไปสักพักแล้วมันดันกลายเป็นปัญหาของพวกคุณด้วย(ซะงั้น) ข้อเสียของอีกฝ่าย ความพยายามที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ฯลฯ
เยอะแยะไปหมด
ทุกสิ่งอย่างจะเข้ามาในชีวิตเพื่อทดสอบว่า คุณสองคนจะรักและจับมือกันแน่นพอที่จะฟันฝ่าเรื่องต่างๆไปด้วยกันได้เพียงใด ซึ่งหากผ่าน คุณก็คงจะมีความสุขในระดับหนึ่งกับความรักครั้งนี้
...........แต่ถ้าไม่ มันอาจไม่ต่างอะไรกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นทะเลซัด
...........คือหายวับไปกับตา และต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าจะกับคนเดิมหรือไม่ก็ตาม
............ยิ่งถ้ามีลูกนะ..........(ไม่ต้องอธิบายมาก)
เห็นไหม ชีวิตไม่ได้จบลงตรงการแต่งงานเสียหน่อย มันแค่จุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของหัวใจสองดวงเท่านั้นเอง
เกิดเด็กดูละครแล้วเข้าใจว่าแต่งงานคือตอนจบของชีวิต ยุ่งเลยนะเนี่ย!!!
และอีกข้อหนึ่งนั้นคือ ละครชอบทำเหมือนกับว่า การหาคู่ครองนั้นช่างง่ายเหลือเกิน
คิดจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็เจอ ไม่ว่าจะในโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ ฯลฯ
............เนื้อคู่ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อข้างทางนะคู้ณณณณ..............
ในชีิวิตจริงน่ะ เมื่อคุณใช้ชีวิตมานานถึงจุดจุดหนึ่ง คุณจะพบว่า แต่ละคนจะมีสกิลการหาคู่ครองที่ต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งก็จะมีตั้งแต่ คนที่ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเขาโสดเลยสักครั้ง พอเลิกกับแฟนคนนี้ ก็เป็นแฟนกับอีกคนหนึ่ง ไปเรื่อยๆ บางคนก็เปลี่ยนแฟนมาสามสี่รอบแล้ว แต่ก็ยังมีแฟนอยู่นั่นเอง
....หาแฟนเก่งจังว่ะ
ไล่มาจนถึงคนที่มีแฟนแค่คนหรือสองคน แต่เป็นประเภทคบกันยาวนานมั่นคง หรือแบบเป็นแฟนกันมาตั้งแต่มัธยม ทุกวันนี้ยังคงเป็นแฟนกันอยู่ หรือไม่ก็แต่งงานกันไปแล้ว
.........แบบนี้ก็น่ารักดีนะ
และมันก็จะมีประเภทเคยมีแฟนแต่เพิ่งจะโสด และยังโสดอยู่ อืมม
สุดท้ายคือ ประเภทที่ ยังไงก็หาแฟนไม่ได้สักที ดูเหมือนว่าการทำทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเหาะขึ้นฟ้า มุดลงดิน ครองโลก หรืออะไรก็แล้วแต่ ยังง่ายกว่าการหาแฟนสักคน
อย่างน้อยๆ คนรอบตัวที่รู้จัก ทั้งญาติและเพื่อน นี่ประมาณ 6 คนละที่เป็นแบบนี้
เพื่อนบางคนมีท้านะ ใครแต่งงานก่อนแพ้ต้องเลี่ยงข้าวนะเว่ย แต่ดูทรงแล้ว น่าจะเสมอกัน คือไม่ได้แต่งทั้งคู่ 555
เห็นมะ เนื้อคู่ไม่ได้หาง่ายซะหน่อย ละครน่ะชอบสร้างความเข้าใจผิดๆให้ดูโลกสวยเกินจริง
มีหลายคนชอบว่าเราว่า "แกจะเอาอะไรกับละครวะ มันสร้างมาเพื่อความบันเทิงนะเฮ้ย"
แต่เรารู้สึกว่า ละครมันควรสะท้อนความเป็นจริงในชีวิตออกมาบ้าง ไม่ใช่ขายฝัน ทำทุกอย่างเหมือนโลกในอุดมคติจนเกินไป ใช่ เวลาผู้ใหญ่ดูน่ะ มันบันเทิง มันไม่อะไร เพราะเราผ่านโลกมาพอที่จะรู้ว่าอะไรบ้างที่จริง อะไรไม่จริง
แต่ลองนึกภาพว่า ถ้าเด็กสักคนดูแต่ละคร แล้วมานั่งเพ้อพกว่า สักวันฉันจะเจอผู้ชายหล่อรวยดีมาสะดุดรัก มาดูแล มาโน่นนี่นั่นให้ โดยฉันไม่ต้องทำอะไรมาก
"เพราะฉันเป็นนางเอก"
แล้วลองคิดดูว่าชีวิตหล่อนจะเป็นแบบไหนในอนาคต
คือละครน่ะ ดูได้ แต่ถ้าจะย้อนดูตนเพื่อให้ได้หลักคิด มันต้องมีการดูแลด้วย ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆตามบทบาทในนิยาย โดยไม่มีการควบคุมอะไรเลย
........เป็นแบบมุตตาในแรงเงาขึ้นมาจะยุ่งเอานะ
แต่บ่นไปก็เท่านั้น ตราบใดที่ละครแบบนี้ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ มันก็คงยังจะมีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนคนซีเรียสอย่างเรา ถ้าไม่แก้ด้วยการไปหาซีรีย์ฝรั่งดูแทน ก็คงต้องเขียนนิยายขึ้นมาเสพเองนั่นแหละนะ
เราคงเหมาะจะดูแค่ฉากฟินๆ และตอนจบของละคร แค่นั้น จริงๆนั่นแหละ :p
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in