(บทความนี้เขียนขึ้นจากความเห็นและประสบการณ์ของผู้เขียนแต่ฝ่ายเดียว หากจะขัดแย้งกับใครบ้างก็ขออภัยมา ณ ที่นี้)
คุณว่าเด็กกับสัตว์เลี้ยงเหมือนกันตรงไหน?
ตามความเห็นเรา เราว่า มีสิ่งหนึ่งที่เด็กกับสัตว์เลี้ยงเหมือนกันคือ
ไม่ว่าเด็กกับสัตว์เลี้ยงจะน่ารักเพียงใด แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
น่าจะเป็นภาพที่ชินตาพอสมควร กับการพบเจอคนที่นำเด็กเล็กๆหรือสัตว์เลี้ยงมาเดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ถามว่าน่ารักมั้ย ก็น่ารักดี ทั้งเด็กและสัตว์เลี้ยงต่างมีความสดใสในตัวของเขาเอง มองแล้วย่อมเพลินตาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แต่บางครั้ง มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ
มีครั้งหนึ่ง เราไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน
ขณะที่เดินอยู่ จู่ๆก็มีเด็กตัวเล็กจากไหนไม่รู้ วิ่งอย่างเร็วเข้ามาชนเราอย่างจัง พอชนแล้วก็ถอยออกไปยืนมึนๆอยู่นิดนึง
และเราแน่ใจว่าถ้ามีการฟ้องร้องกันขึ้นเราจะได้ค่าเสียหาย เพราะเราถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเด็กคนดังกล่าว
โดยปกติ ถ้าลูกของคุณเล่นซนจนไปกระทบคนข้างๆ คุณควรเดินไปบอกเด็กให้ขอโทษเขาใช่ไหมคะ?
แต่เปล่าเลย ผู้หญิงคนนั้นเดินไปกอดเด็ก "โอ๋ เจ็บไหมลูก" แล้วหันมามองเราด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
เราเห็นดังนั้นจึงลอบถอนใจ แล้วเดินเลี่ยงไปอย่างเงียบๆ
เราเข้าใจ ว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูกของตนมาก แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่า การเอาแต่รักโดยไม่สอนมารยาทพื้นฐานให้เด็กเลยนั้น เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ในตัวเด็ก และอาจทำให้เขามีปัญหาการเข้าสังคมในอนาคต
คนอื่นเขาก็ไม่ได้รักลูกคุณแบบไม่มีเงื่อนไข เหมือนคุณหรอกนะ
ไม่ใช่แค่เด็กหรอกนะที่สร้างปัญหาได้ สัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน
วันเสาร์ที่ผ่านมา เราไปสอบ...อะไรบางอย่าง การสอบถูกจัดขึ้น ณ สถานที่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่ไปถึงก่อนเวลาสอบ เราจึงไปหาที่นั่งอ่านหนังสือ โดยเราเลือกนั่งตรงที่ซึ่งจัดโต๊ะแบบโรงอาหาร กล่าวคือ มีโต๊ะตัวใหญ่หลายตัววางเรียงกันไป และแต่ละโต๊ะจะมีเก้าอี้ของตัวเอง ประมาณโต๊ะละหกตัว
เราเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ค่อนไปด้านทางออก
นั่งทวนหนังสือไปสักพัก หางตาเราก็สังเกตได้ว่า มีแม่ลูกคู่หนึ่งมานั่งโต๊ะติดกับเรา โต๊ะซึ่งเก้าอี้หันหลังชนกับเก้าอี้เรา เราก็ไม่ได้อะไรมาก
สักพัก เราได้ยินเสียงผู้หญิงมีอายุคนนั้นร้องว่า "เอ๊ย น้ำมาจากไหน" เราก็ยังคงไม่ได้คิดอะไรอยู่เช่นเคย
จนกระทั่งเราลุกเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เราจึงเริ่มเห็นว่า อะไรเป็นอะไร
ที่เก้าอี้ซึ่งหันหลังชนกับเรา มีสุนัขพันธ์ุเล็กขนฟูตัวหนึ่งนั่งอยู่ และด้านล่างของเก้าอี้ ก็มีน้ำสีออกเหลืองหน่อยๆนองอยู่กองหนึ่ง
...ซึ่งหากสายตาเรามองไม่พลาด เราว่ามันคือปัสสาวะของสุนัขตัวนั้น
และหลังจากนั้น เราก็เริ่มได้กลิ่นของน้ำกองนั้น และต้องนั่งทนกับมันอยู่ตรงนั้นจนเข้าสอบ
แม้ว่าต่อมาผู้หญิงเจ้าของสุนัขพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการหาทางจัดการกับของเหลวดังกล่าวแล้ว แต่กลิ่นมันก็ยังไม่หายไปอยู่ดี...
สิ่งหนึ่งที่เราสงสัยมากแต่ไม่ได้ถามออกไป คือ
ทำไมต้องนำสุนัขมายังสถานที่สอบด้วย???
คนมีสัตว์เลี้ยงย่อมรักสัตว์เลี้ยงของตน แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่า การนำสัตว์เลี้ยงมาที่ชุมชนหรือที่ๆคนเยอะ อาจสร้างปัญหาให้คนรอบข้างได้
สัตว์เลี้ยงของคุณอาจไปทะเลาะกับสัตว์เจ้าถิ่น อาจไปกัดคนอื่น อาจวิ่งซนจนชนให้ข้าวของเสียหาย
หรือแม้แต่การปล่อยของเสียลงในที่ๆเขานั่งจนส่งกลิ่นไปทั่วนี่ เราก็ถือว่ามันเป็นการรบกวนคนอื่นอยู่ไม่น้อยนะ
คนอื่นเขาอาจไม่ได้รักสัตว์เท่าคุณก็ได้นะ
แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีสิทธิจะมีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง และมีสิทธิที่จะพาพวกเขาไปไหนก็ได้
แต่ต้องไม่ลืมว่า เมื่อคุณพาเด็กหรือสัตว์เลี้ยงไปไหน คุณก็มีหน้าที่ต้องดูและ/ควบคุมไม่ให้คนหรือสัตว์ของคุณ ไปก่อความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นด้วย
ในกรณีลูกหลาน การปล่อยปละละเลยไม่เพียงทำให้คนอื่นมองลูกคุณในทางลบ แต่ยังส่งผลให้เขามองคุณในทางลบด้วย
เวลาเจอเด็กน่ารัก เราก็จะชมไปถึงผู้ปกครอง ว่าสอนดีทำให้ลูกน่ารักน่าเอ็นดู ในทางกลับกัน ถ้าสอนไม่ดี เขาก็จะว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน...
...ไม่มีใครมาฟังคุุณอุทธรณ์ว่า สอนแล้ว เขาไม่จำ เพราะเขาตัดสินไปแล้วเรียบร้อย
ส่วนกรณีสัตว์เลี้ยงนั้น แม้คุณไม่อาจจะสอนสั่งเขาได้ว่ามารยาทเป็นเช่นไร ก็คุณก็ต้องควบคุมให้เขาใช้ชีวิตแบบที่ไม่ไปก่อความรำคาญให้บุคคลอื่นเช่นกัน
อย่าสักแต่ว่ารัก แต่ไม่ทำอะไรเลย
คนทุกคนและสัตว์ทุกตัวย่อมมีสิทธิที่จะได้รับความเอ็นดูจากคนทั่วไป ตราบใดที่เขาทำตัวควรค่าแก่การรักและการเอ็นดู
เพราะเด็กและสัตว์เลี้ยงของคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in