..........
ตอนที่ 9 : ชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนไป
สิ่งที่บิลพูดไม่ได้เกินความจริงเลยแม้แต่น้อยหลังจากบิลออกไปจากห้องไม่นาน ชายอีกคนในชุดกราวน์สีขาวก็พูดขึ้นมาว่า “และแล้วก็เสร็จ”ก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดี เขาเดินไปยังแผงควบคุม กดแป้นพิมพ์อย่างชำนาญพลางมองข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนจอมอนิเตอร์ประกอบ และผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่าน้ำรอบตัวเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆและสิ่งที่บิลพูดไว้ก็แล่นเข้าใส่ทันที
ความเจ็บปวดที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัวมันปวดร้าวและแสบร้อน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันเจ็บปวดเกินกว่าจะแค่นเสียงร้องออกมาจากลำคอได้สายที่ระโยงระยางอยู่รอบตัวผมค่อยๆ หลุดออกไปจากร่าง
พวกเจ้าหน้าที่ในชุดเข้ารูปสีดำเข้มราวกับบอดี้การ์ดมากกว่าจะเป็นชุดของพนักงานทั่วไปสามคนเดินดิ่งมายังผมปลดล็อกตัวยึดร่างผมออก ผมทรุดทันทีที่ไม่มีอะไรรั้งไว้ พนักงานคนหนึ่งเอาผ้าขนหนูสีขาวผืนโตมาคุมตัวให้ผมที่ทั้งตัวมีแค่กางเกงขาสั้นเหมือนกางเกงว่ายน้ำ
“ฉีดยาระงับความเจ็บปวด” ชายในชุดกราวน์สั่ง
พนักงานสองคนหิ้วปีกผมคนละข้างขาผมลากระพื้นปูนที่เย็นเฉียบไปจนถึงพนักงานอีกคนที่เตรียมเตียงเข็นไว้ ทั้งสามช่วยกันยกผมขึ้นและจัดท่าทางให้เรียบร้อยก่อนรัดข้อมือข้อเท้าผมติดกับเตียงเข็นตอนนี้ผมได้แต่ปล่อยให้คนเหล่านี้ทำตามใจไปก่อน เพราะผมไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะตอบโต้ สิ่งเดียวที่รับรู้คือความเจ็บปวดเท่านั้นในหัวผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกมันทำอะไรกับผม แมกส์ล่ะ ทุกคนอยู่ที่ไหน ผมคิดวนไปมาก็ยิ่งเพิ่มความเคียดแค้นที่บิลทำขึ้นไปอีก
“เอาไปไว้ที่ห้องด้วยล่ะ”
“ครับ” พนักงานขานรับก่อนฉีดยาระงับปวดบริเวณข้อพับแขน ผมแทบไม่รู้สึกถึงปลายเข็มที่แทงเข้าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความเจ็บที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้
และพนักงานคนเดิมก็เข็นเตียงผมไปตามทางเดินที่เลี้ยวลดไปมาผมไม่ได้จำว่ามันเลี้ยวไปทางไหนบ้าง เป็นเวลาร่วมสิบนาทีได้พนักงานจึงเข็นมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องๆหนึ่ง ผมเห็นแวบๆ ว่ามันเป็นผนังที่ปรากฏบานประตูเรียงยาวไปหลายบาน
“ถึงแล้ว” พนักงานพูดขึ้นเหมือนเขาจะพูดกับผม ก่อนเดินอ้อมเตียงไปหน้าประตู เขากดรหัสบนแป้นพิมพ์เล็กๆบนผนัง ประตูถูกเปิดเข้าไปข้างใน
“นายชื่อเจคสินะ”
“ใช่” ผมตอบรู้สึกว่าน้ำเสียงตัวเองแหบพร่า
“นายจะทำอะไรเมื่อนายหายดี” อยู่ๆ พนักงานคนนี้ก็ถามขึ้นทางเดินรอบข้างโล่ง ไม่มีวี่แววของผู้คน น้ำเสียงชายตรงหน้าผมดูคาดหวังบางสิ่งจากคำถาม
“ฆ่าไอคนที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพนี้” ผมตอบพนักงานตรงหน้าเงียบ ไม่พูดอะไร
“นายต้องพยายามลุกด้วยตัวเองแล้วล่ะ ฉันคนเดียวคงแบกนายเข้าไปในห้องไม่ไหว”พนักงานเปลี่ยนเรื่องพูดทันที พร้อมกับปลดล็อคแขนขาให้
ผมรวบรวมแรงเท่าที่สามารถ ค่อยๆ พยุงตัวเองจนมานั่งที่ขอบเตียงได้สำเร็จรู้สึกถึงร่างกายอันหนักอึ้ง ต้องออกแรงสู้กับความปวด ผมแทบทรุดทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นดีที่พนักงานคว้าไว้ทัน เขาค่อยๆ ประคองตัวผมเข้าไปในห้องตรงหน้า
ทั้งห้องทาสีขาวสะอาดตาโต๊ะ เก้าอี้ เตียง ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลนไปหมด ตัวห้องไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนน่าอึดอัดเขาประคองผมนั่งขอบเตียง ชุดพนักงานสีดำเข้มดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเด็กใคร แต่กินนี่ซะ ตอนนี้เลย” พนักงานคนเดิมกล่าวล้วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบขวดเล็กๆ เท่ากำปั้นออกมา
“อะไร? ” ผมถาม
“กินซะแล้วนายจะไม่ต้องทรมานอีก” พนักงานพูด ทำเอาผมกลัวขึ้นมากับคำพูดที่สื่อมากกว่าหนึ่งความหมาย
“ไม่ตายหรอกน่า เอ้า รับไป” พนักงานคว้ามือผม ยัดเจ้าขวดยานั่นใส่มือ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ประตู
“ระหว่างนี้จะมีคนมาคอยตรวจผลกระทบจากการทดลอง นายจะต้องอยู่ในห้องนี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์”
“เดี๋ยวก่อนครับ” ผมทัก “การทดลองนี้มันคืออะไร”ผมถามด้วยความอยากรู้ระคนตื่นกลัว
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งมีพวกนายเจ็ดคนเนี่ยแหละที่สำเร็จ” เขาตอบเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูไล่หลัง มีเสียงดัง แกร็ก ! ขึ้นเบาๆเมื่อประตูปิดสนิท
..........
หลังจากรู้ผลการทดลองว่าเป็นไปด้วยดีมาคัสก็มีเวลามากโข เขาไม่ต้องคอยกำจัดพวกกลายพันธุ์ที่ผิดพลาด หลังๆ มานี้เขาเองที่เสนอในที่ประชุมว่าควรลดจำนวนคนในการทดลอง เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องรับมือกับพวกกลายพันธุ์เป็นสิบๆ ตัวในคราวเดียว
เขาเดินไปตามโถงทางเดินภายในอาคารผนังสีครีมอ่อนตัดดำ ดูหรูหราและเรียบง่าย วันนี้เขาเดินมาหาเพื่อนสนิทของเขาถึงห้องทำงาน
“ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย” หลุยส์ทัก เมื่อเห็นมาคัสเปิดประตูเข้ามา
“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานน่ะ”
“นั่นสินะ แต่ฉันเนี่ยสิ เพียบ” หลุยส์ตอบ
“หวังว่านายคงว่างสักห้านาทีนะ” มาคัสนั่งลงบนโซฟาที่อยู่กลางห้องห่างจากโต๊ะทำงานของหลุยส์
“ว่างอยู่แล้ว ตอนนี้รอดูผลกระทบอยู่” หลุยส์ตอบเดินไปนั่งตรงข้ามมาคัส มีโต๊ะกระจกตัวเล็กขั้นกลางระหว่างทั้งสอง ส่วนตัวหลุยส์ชอบห้องทำงานนี้มากมันค่อยข้างกว้างกว่าห้องเก่าของเขา
“มีธุระอะไรล่ะ? ” หลุยส์ถาม
“ทำไมต้องหมายเลขเจ็ด”
“เด็กที่ชื่อเจคสินะ”
“ใช่”
“ฟังนี่ก่อน ฉันจะบอกผลการทดลองไล่ไปตามลำดับนะ หมายเลข 1 เป็นพวกขาดสติวู่วาม ไม่รู้เป็นมานานแล้วหรือเพิ่งเป็น 2 กับ 3 ยังมีปัญหาที่ร่างกายไม่สามารถงัดพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ส่วนที่หนักสุดเลยก็คือหมายเลข 4 หมอนี่ไม่สามารถโดนแสงอาทิตย์ได้อีก ส่วน 6หรือพอล ปกติดี แต่... ”
“แล้วหมายเลข 5 ล่ะ” มาคัสขัดขึ้นมาเมื่อเห็นเพื่อนตนข้ามไป
“ทนความเจ็บปวดไม่ไหว เสียชีวิตตั้งแต่ออกจากหลอดทดลองแล้ว” หลุยส์ตอบ
“แล้วหมายเลข 7 ต่างจากคนอื่นตรงไหน? ”
“หมายเลข 7 ออกจากห้องทดลองเป็นคนสุดท้าย แต่ที่เราติดตามผลมาได้สามวันยังไม่มีอาการใดปรากฏ ไม่มีข้อผิดพลาดหรือผลกระทบ ร่างกายปกติดีทุกอย่าง”
“เกี่ยวกับยาที่นายให้กินรึเปล่า ทั้งพอลและเจ้าเลข 7 นี่ ถึงปกติดี” มาคัสถาม
“ไม่เกี่ยว ต้องบอกก่อนว่าพวกมิวแทนท์ที่เราทดลองมา มีพลังในการรักษาตัวที่เร็วกว่ามนุษย์ปกติทุกครั้งที่เกิดบาดแผลจะเร่งการทำงานของร่างกายให้รักษาตัวเอง และนั่นหมายความว่าเมื่อร่างกายต้องใช้พลังงานในการเร่งการทำงาน”
“อายุก็จะสั้นลงสินะ” มาคัสสรุป
“ใช่ อาจจะครึ่งนึงของคนทั่วไป กลับกันเจ้าหนุ่มเลข 7 ไม่ใช่ หมอนี่แตกต่างแต่ฉันยังไม่รู้หรอกนะว่าตรงไหน รู้แค่ว่าร่างกายหมอนี่แตกต่าง”
“แค่เนี้ยเนี่ยนะ แล้วทำไมนายถึงให้ยาฟื้นตัวเลข 7 ล่ะ” มาคัสถามด้วยความสงสัย
“หมอนั่นไม่ได้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ คนของฉันบอกว่าหนุ่มนั่นคิดจะฆ่าเจ้าคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำฉันคิดว่าจะปล่อยไปนิวเคลโอน่ะ” หลุยส์ว่า
“นิวเคลโอเนี่ยนะ” มาคัสทึ่งกับคำตอบ นิวเคลโอเป็นเมืองใหม่ที่เหล่าผู้รอดชีวิตนอกเมืองช่วยกันก่อตั้งขึ้นแต่ที่ผิดกันคือนิวเคลโอไม่มีโครงการมิวแทนท์ มีแต่มนุษย์ธรรมดาที่ช่วยกันจัดตั้งทหารป้องกันเมืองขุดคุ้ยวัตถุตามที่ต่างๆ มาพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ประโยชน์ ลงมือช่วยกันก่อสร้างพื้นที่ที่เป็นของมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“บางทีเราก็ต้องวางหมากไว้นอกเกมส์บ้าง”
“รอบคอบจริงนะ” มาคัสตอบ
“แล้วนายจะเอายังไงกับพอลถ้าพ้นหนึ่งอาทิตย์นี้ไปท่านประธานจะประกาศโครงการต่อผู้คนข้างนอกที่สนใจโดยแลกกับความเป็นอยู่และตำแหน่ง”หลุยส์ว่า
“ฉันจะให้พอลคุมกลุ่มลับที่ฉันก่อตั้งขึ้น พวกนั้นจะประจำการนอกเคลโอ ฉันเกรงว่าบางทีเราอาจต้องปรามท่านประธานไว้สักหน่อย”
“ด้วยการสะสมกำลังพลเนี่ยนะ จะกบฏรึไงมาคัส”
“ฮะฮะ ไม่รู้สิ ฉันเริ่มเป๋กับวิถีตัวเองซะแล้ว บางทีในใจลึกๆฉันก็ยังอยากเห็นผู้คนที่ยังเป็นคนธรรมดาสามัญอยู่ แต่อีกใจฉันก็ยังกระหายอำนาจและพลังที่ได้จากการทดลองนี่”มาคัสพูด
“ดูเป็นเรื่องยากสำหรับนายนะ”
“ยากเลยล่ะ ฉันเลยตั้งสองกลุ่มไง”
“พร้อมเสมอไม่ว่าจะทางไหน” หลุยส์พูดขึ้น
“แน่นอน” มาคัสยิ้ม
……….
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in