..........
ตอนที่ 10 : หนี
ยิ่งนานวันความสงสัยที่ผมมีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นผมอยู่ในห้องนี้มาเกือบอาทิตย์ ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยตรวจสุขภาพ ถามนั่นนี่เหมือนเช็คสุขภาพจิตไปในตัวผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียง เหม่อมองเพดานสีขาวสะอาด ทุกคนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมคิดในหลายวันมานี้ผมก็ตัวคนเดียวมาตลอด พ่อแม่ตายตั้งแต่เล็ก แล้วลุงก็รับผมไปเลี้ยงจนอายุ 18 ก่อนจากไปด้วยอุบัติเหตุเช่นเดียวกับพ่อแม่เขาทิ้งบ้านไว้ให้ผมหนึ่งหลังกับทรัพย์สินอีกเล็กน้อย
ผมหางานทำ ส่งตัวเองเรียนเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว “ทำไมไม่หนีล่ะ” ในเมื่อร่างกายก็เป็นปกติดีจากยาที่บุคคลปริศนาให้คิดได้ดังนั้นผมก็เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง ยืนบนพื้น บิดตัวไปมาวอร์มอัพร่างกายเบาๆ ตรวจดูว่ายังมีส่วนไหนที่ปวดหรือเจ็บอยู่หรือเปล่าแต่ก็ไม่มี ผมกระโดดเหยงๆ อยู่บนพื้นรู้สึกตัวเองเบาหวิวเหมือนไม่มีน้ำหนัก และก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงคนเดินแต่ไหนล่ะเจ้าของเสียง ข้างนอกรึ?
แกร็ก ! และเสียงกลอนประตูก็ยืนยันคำตอบได้เป็นอย่างดีหูเราดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมสงสัยบานประตูเปิดกว้างออก เผยร่างเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีดำ
“หายไวดีนี่” เจ้าหน้าที่ทัก
โอกาสมาแล้ว
“ฮะฮะ หาอะไรทำไปเรื่อยน่ะครับ” ผมยืนนิ่ง มองเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาเก็บถาดอาหากลางวันบนโต๊ะ
ก่อนเดินเข้าไป จับคอเสื้อด้านหลัง กระชากสุดแรง ร่างเขากระแทกลงกับพื้นผมทึ่งกับพละกำลังของตัวเองที่ดูจะมากขึ้น ผมหยิบถาดไปขวางประตูไว้ เพราะมันเปิดได้จากข้างนอกเท่านั้นคงไม่ดีถ้าถูกขังอยู่ข้างในทั้งคู่
“ทำบ้าอะ...” เขาไม่ทันจะพูดจบ ผมก็ประเคนหมัดใส่ เขาสลบเหมือดอยู่บนพื้นห้อง ผมจัดแจงถอดเสื้อผ้าของผมที่เป็นสีขาวราวกับหนูทดลองใช้เวลาสักพักในการเปลี่ยนเป็นเสื้อชุดเข้ารูปสีดำเข้มของเจ้าหน้าที่ โชคดีที่รูปร่างผมกับเขาไม่ต่างกันมากเกินไป
ผมหยิบถาดกับจานอาหารไปวางบนรถเข็นข้างนอกอุ่นใจขึ้นมาหน่อยเมื่อได้กระบองประจำตัวจากเจ้าหน้าที่ แต่ตอนนี้ปัญหาของผมคือดันลืมถามทางซะได้คิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ถัดจากห้องผมไปยังมีประตูอีกหลายบานที่ผมคิดว่าคนที่อยู่ข้างในน่าจะเป็นแบบเดียวกับผม แต่เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีกุญแจไม่มีคีย์การ์ด ใช้กดรหัสแทน ผมเลยไม่สามารถเปิดประตูได้สักบาน
ผมเข็นรถมาทิ้งไว้หน้าประตูถัดมาจากห้องผมสามห้องเดินไปเรื่อยๆ ไม่แสดงอาการผิดสังเกตให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นใครสักคน ผมเดินไปตามป้ายบอกทางที่ติดอยู่บนเพดานเหนือทางเดินต้องออกไปจากตึกนี้ ผมคิด เห็นลิฟต์อยู่ข้างหน้าจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นจากข้างหลัง
“เฮ้ ! นายน่ะ” ชายคนหนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่เหมือนกัน กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมายังผม ผมกดปุ่มเรียกลิฟต์
“เด็กใหม่รึ ไม่คุ้นหน้า” เขาทัก เดินมาหยุดรอลิฟต์เหมือนกัน
“ใช่ครับ ยังงงๆ เส้นทางอยู่เลย” ผมตอบ เกิดความเงียบขึ้นทันทีพร้อมสายตาเขาที่เปลี่ยนไป
“ขอฉันดูบัตรหน่อย” เอาแล้วไง สงสัยผมตอบอะไรผิดไปแน่ๆ
“เอ่อ... ” ผมคลำหาบัตรตามกระเป๋าเสื้อและกางเกงคิดในใจ ได้ลงมืออีกแล้วสิน่า ก่อนจะยื่นบัตรให้
“นายชื่ออะไร? ” เขาถาม ทั้งๆ ที่สายตาก็มองบัตรพนักงานอยู่ถ้าเขาเงยหน้าขึ้นมาก็จะรู้ทันทีเลยว่าหน้าในบัตรกับตัวจริงไม่เหมือนกัน
“ในบัตรไม่มีชื่อผมหรอครับ? ”
“นี่นายกวนฉันใช่มั้ย? ฉันเป็นหัว... ”
ปึ้ก ! ผมใช้โอกาสช่วงที่เขากำลังเงยหน้าใช้กระบองกระทุ้งเข้าที่ช่วงท้องเต็มแรง เขางอตัวลงกุมท้อง บัตรในมือร่วงหล่น ติ๊ง ! ลิฟต์มาพอดี ผมเข่าใส่ไปอีกทีก่อนลากเข้าไปในลิฟต์ ประตูเลื่อนปิด สังเกตปุ่มบนแผงว่าตึกนี้มียี่สิบชั้นและยังมีชั้นใต้ดินอีกยี่สิบชั้นตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้นสิบห้า ผมกดหยุดลิฟต์ไว้ มันจึงไม่ขึ้นหรือลง
“นายเป็นใคร? ” เขาถาม ยังคงเอามือกุมท้องด้วยความจุก
“การทดลองนี้คืออะไร” ผมถาม
“ฉันไม่รู้” เขาตอบนั่งพิงกับผนังลิฟต์
“คนอื่นๆ อยู่ไหน” ผมถาม พยายามทำเสียงให้ดูน่ากลัว
“ฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ขอบข่ายงานของฉันเท่านั้น” จากน้ำเสียงเจ้านี่ดูจะพูดความจริง
“งั้นก็ช่วยไม่ได้” ผมใช้สันมือฟาดเข้าที่ท้ายทอย แรงกระแทกทำเอาเขาสลบลงไปนอนอยู่บนพื้นลิฟต์เอาไงต่อล่ะทีนี้ ผมกดปุ่มลงชั้น 0 คงไปชั้นตรงกลางก่อนจะลงไปใต้ดิน
ตัวลิฟต์เคลื่อนลงไปเรื่อยๆผมลุ้นแทบบ้า ภาวนาไม่ให้ประตูลิฟต์เปิดจนกว่าจะลงไปถึงชั้นศูนย์ แต่เหมือนผมจะเป็นคนดวงอับลงมาเพียงแค่ชั้น 9 ตัวลิฟต์ก็หยุด ผมมองไปที่ประตูรอว่ามันจะเปิดรับใครเข้ามาแต่แล้วมันก็ไม่เปิด คงไม่ใช่ว่าค้างหรอกนะ ผมคิด แต่แล้วก็มีเสียง ครึ่ก ! รู้สึกว่ากลไกบางอย่างเพิ่งเริ่มทำงานต่อมาไม่กี่วินาที ตัวลิฟต์พลันเคลื่อนที่ แต่ไม่ใช่ลงข้างล่าง มันกำลังเคลื่อนถอยหลังเข้าไปในกำแพง!
อะไรอีกล่ะคราวนี้
……….
“นายคิดจะทำอะไรของนายมาคัส? ” หลุยส์ถาม คราวนี้เขาเป็นฝ่ายมาหามาคัสถึงห้องทำงาน ห้องทำงานของทั้งคู่จะอยู่ชั้นใต้ดินลงมาส่วนข้างบนจะเป็นงานปกติทั่วไป ไม่ใช่งานที่เป็นความลับหรือเรื่องใหญ่
“ทดสอบไง”
“ฉันคิดว่านายกำลังจะฆ่าเจ้าเด็กนั่นซะอีก”
“คนของฉันพร้อมเข้าไปช่วยทุกเมื่ออยู่แล้ว เจ้าหนุ่มนั่นก็ใจกล้าอยู่นี่ ถึงกล้าหนีออกมาอย่างนั้น”มาคัสว่า
“นายจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่” หลุยส์พูด ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าหมายเลข7 หนีออกมาจากห้อง นอกจากพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่เฝ้าดูอยู่
“ยังไงซะพวกนั้นก็ต้องรู้ นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว” มาคัสพูดถูก เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไป แล้วไม่เจอ ท่านประธานก็จะสั่งทีมค้นหาตามล่าทันที
“เฮ้ออ... ! ” หลุยส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกในห้องเขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในเมื่อเพื่อนตนสั่งการลงไปแล้ว
“แค่ทดสอบไหวพริบนิดหน่อยน่า เดี๋ยวก็ปล่อยออกไปจากอาคาร แล้วก็ให้พอลพาออกไปด้วยกัน” มาคัสอธิบาย
“นั่นคือแผนของนายสินะ”
“ใช่ เหลือก็แต่ บิล หมอนั่นเป็นคนพาเจ้าเด็กนี่มา ถ้ารู้ว่าหายไปคงไม่ปล่อยไว้แน่”มาคัสพูด
“แล้วนายจะเอาไง”
“ไม่รู้สิ เรื่องบางเรื่องเราแก้มันไม่ได้หรอกถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นคิดไปก็ป่วยการเปล่าๆ” มาคัสตอบ
ก๊อก ก๊อก ! ทั้งสองคนหันไปมองเงาของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่หลังบานประตูผ่านกระจกทึบ
“เข้ามา” มาคัสเรียก
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ห้องที่เก็บพวกกลายพันธุ์เกิดระเบิด ทำให้พวกที่ยังไม่ได้รับสารควบคุม พากันอาละวาด ตอนนี้กินพื้นที่ทั้งหมดสามชั้นของตึกครับ” เจ้าหน้าที่พูดรัวอย่างตื่นตระหนก ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าต้นเหตุต้องเป็นเจ้าหมายเลข 7 แน่
“นำทีมไปคุมสถานการณ์ซะ เดี๋ยวฉันตามไป” มาคัสสั่ง เจ้าหน้าที่ขานรับก่อนวิ่งออกไป
“เรื่องใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย” หลุยส์ว่า “นายรีบไปเถอะ ฉันก็ต้องไปจัดการงานของฉันเหมือนกัน” หลุยส์ลุกขึ้น เดินไปหน้าประตูก่อนหยุดพูดว่า
“โชคดีเพื่อน อย่าให้มันมาทำลายห้องทดลองฉันแล้วกัน” หลุยส์ยิ้ม รู้แก่ใจว่ายังไงก็ไม่มีทางมาได้อยู่แล้วเพราะมันอยู่คนละตึกกัน ทางการทำการแยกอาคารสำหรับเก็บพวกตัวประหลาดเอาไว้มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันแน่น ทั้งตัวตึกแทบจะอยู่เข้าไปในส่วนลึกที่ไม่มีผู้คนย่ำกรายเข้าไปถึง และผู้ที่รับผิดชอบอาคารแห่งนั้นก็คือมาคัสนั่นเอง
“อือ แค่นี้ฉันไหวน่า ใช่ว่าไม่เคยเจอ” มาคัสตอบ
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in