1
ระบมไปทั้งตัว
คือความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวตื่นขึ้นในเช้าวันนี้ เมื่อได้สติขึ้นมาหน่อย ก็พบว่าเช้านี้ฝนตก ไทโจบอกว่าถ้าฝนตกก็ไม่ต้องพาไก่ออกจากเล้า เหลือเพียงหน้าที่ให้อาหารเท่านั้น ระหว่างที่ฉันและทรายช่วยกันเทอาหาร ก็มีไก่ตัวหนึ่งบินออกมานอกเล้า ทำให้เป็นไก่เพียงตัวเดียวที่อดกินอาหาร ไทโจเห็นจึงรีบชี้ให้พวกเราดูแล้วบอกว่า
"ตัวนี้โง่" พร้อมตะโกนใส่ไก่ว่า 'บาก้า' ที่แปลว่าบ้านั่นเอง
เช้านี้ร็อคท่าทางไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อวาน ไม่ทราบแน่ชัดว่าอาการนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ฝนตก หรือเป็นเพราะเมื่อวานไม่ได้กินข้าวเย็นกันแน่
ใช่แล้ว เมื่อวานพวกเราลืมให้อาหารร็อค!
ฉันกับทรายรู้สึกผิดมาก จึงตกลงกัน(แค่สองคน) ว่าวันนี้จะให้อาหารร็อคเยอะกว่าเดิมเพื่อชดใช้หนึ่งมื้อที่ขาดหายไปเมื่อวาน
สำหรับเส้นทางเดินวันนี้ เป็นทางที่ต่างจากเมื่อวานและวันแรก เราเดินกันบนโซนที่เป็นภูเขา ไม่ได้ลงไปเดินเลียบแม่น้ำหรือชายหาด เส้นทางนี้สองข้างทางจะเป็นบ้านเรือนและแปลงผักขนาดเล็กที่แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นแปลงสำหรับปลูกกินในครอบครัวไม่ใช่เพื่อค้าขายให้ได้กำไรแต่อย่างใด
เราหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีคุณป้ากำลังจัดแผ่นไม้อยู่หน้าบ้าน สองฝ่ายทักทายกัน คุณป้าชวนคุยเป็นภาษาญี่ปุ่น ฉันรีบตอบว่าเราพูดญี่ปุ่นไม่ได้ แต่คุณป้าก็ยังพยายามสื่อสารต่อไป จนจับใจความได้ว่า มาจากบ้าน Shibata ใช่มั้ย ฉันจึงตอบว่าใช่ พวกเราเป็นวูฟเฟอร์
น่าเสียดายที่เราสื่อสารกันไม่เข้าใจ บทสนทนาจึงจบลงสั้นๆเพี้ยงเท่านี้
ลองคิดดูเล่นๆ หากมนุษย์บนโลกสื่อสารกันด้วยภาษาเพียงภาษาเดียว เมื่อกำแพงทางภาษาถูกทำลายลง กำแพงต่างๆก็คงค่อยๆหายไปเช่นกัน เมื่อไม่มีกำแพง ความเข้าใจในความแตกต่างย่อมเกิดขึ้น
ใช่หรือไม่ว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สาเหตุหลักอาจจะมาจากแค่สองเหตุผลใหญ่ๆ
หนึ่งคือ เราสื่อสารกันไม่เข้าใจ
สองคือ เราไม่ได้สื่อสารกัน
2
มื้อเช้านี้ทรายได้มีโอกาสแสดงฝีมือทำทามาโกะยากิ (Tamagoyaki) ไทโจทำมิโสะซุป เต้าหู้ขาว ส่วนฉันรับหน้าที่เตรียมกาแฟ
หลังจากฝนหยุดตกได้ไม่นาน พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีฝนตกลงมาอีกทีช่วงสายๆ ไทโจจึงขอให้พวกเราเริ่มงานตอนเช้าเร็วขึ้นหน่อย ก่อนที่ฝนจะทำให้เราไม่สามารถทำงานได้
รถกระบะคันเล็กสีขาวพาพวกเราไปยังแปลงผักแปลงเดิมของไทโจ งานวันนี้คือเคลียร์ดินแต่ละแถวในแปลงผักที่ไทโจเคยลงปลูกผักเอาไว้ก่อนหน้าแต่ตอนนี้โดนกวางป่ามากินไปหมด เพราะรั้วไฟฟ้าที่ทำไว้เกิดเสียขึ้นมากระทันหัน ดังนั้นจึงต้องถอนผักและหญ้าออก และเตรียมลงเมล็ดใหม่ โชคดีที่ดินเปียก ทำให้ขุดขึ้นมาง่าย แต่ข้อเสียคือตอนถอนหญ้า ดินจะจับตัวเป็นก้อนดินมากับราก ทำให้ต้องค่อยๆถอนด้วยมือทีละต้นแทนใช้จอบ
อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อออกทำให้รู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวไปหมด เราก้มหน้าก้มตาทำงานหลังสู้แดดไปสักพัก ไทโจก็ตะโกนบอกให้ไปพัก
ฉันผลัดกับทรายไปที่แม่น้ำ เพื่อจัดการธุระส่วนตัวของแต่ละคน และล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆในแม่น้ำ แค่นี้ก็ช่วยคลายเหนื่อยได้มาก
การได้ทำงานที่แปลกผักนี้ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Little Forest ไม่ใช่แค่เพราะได้ทำไร่ทำนาเหมือนนางเอก แต่เพราะได้ทำที่แปลงผักของไทโจแปลงนี้ ที่ไม่ได้ปลูกไว้ขาย แต่ปลูกไว้กิน ก็เหมือนเรากำลังปลูกผักในแปลงผักของตัวเองยังไงอย่างงั้น ระหว่างที่มือสัมผัสดินหญ้าก็เผลอมีความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา
ถ้าชีวิตมีแค่นี้แล้วยังจะต้องการอะไรอีก
เราทำงานเก็บเงินกันอยู่นาน แลกกับอนาคตที่มั่นคง
แล้วค่อยรอทำสิ่งที่อยากทำกันในบั้นปลาย เช่นซื้อบ้านสักหลัง ปลูกผักกินเองสักครั้ง
คำถามคือ จนถึงตอนนั้นเราจะยังเหลือเรี่ยวแรงกันไหมหนอ?
ไทโจทำงานไปร้องเพลงไปอยู่ไกลๆ เมื่อฉันและไทโจขยับเข้ามาถอนหญ้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีโอกาสพูดคุยกัน ไทโจชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับประเทศไทย เพราะพวกเราเป็นวูฟเฟอร์คนไทยกลุ่มแรกที่เคยมาที่นี่ ส่วนฉันก็มีโอกาสได้ถามไทโจเช่นกัน
"ไทโจทำฟาร์มมากี่ปีแล้ว"
เธอทำท่านึก นั่งนับ และทำท่าตกใจมาก ก่อนจะพูดว่า "15 ปีแล้ว"
"ทำฟาร์มมาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า"
"เปล่า ก่อนหน้านี้ไทโจเป็นพนักงานบัญชีในบริษัท ส่วนอายังเป็นหัวหน้า ทำอยู่นาน 7 ปีและเครียดกับงานมาก หลังจากนั้นจึงลาออกมาเป็นครูสอนดนตรี เพราะไทโจชอบร้องเพลง และเล่นเปียโน แต่สุดท้ายก็มาลงเอยที่ทำฟาร์ม"
"แล้วทำไมจึงตัดสินในมาทำฟาร์มล่ะ"
ก่อนที่ฉันจะถามคำถามนี้ ฉันมีคำตอบที่คาดหวังว่าจะได้ฟังอยู่ในใจอยู่แล้ว คำตอบไม่น่าจะพ้นแนวว่าเพราะเบื่อสังคมเมืองที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวและตึงเครียด ขอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในบ้านนอกสบายใจกว่า แต่คำตอบของไทโจกลับเป็นประโยคสั้นๆว่า "นั่นสิ"
ไทโจเล่าว่า แต่งงานกับอายังนาน 35 ปีแล้ว ทั้งสองคนมีบ้านเกิดที่เดียวกัน คือเมืองในภาคกลางใกล้ๆกับ Nagano และไทโจก็พูดติดตลกว่า ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอายังจะหัวล้าน เพราะฉะนั้นให้ฉันกับทรายเลือกผู้ชายระวังๆนะ ส่วนเหตุผลที่มาลงหลักปักฐานกันอยู่ที่ Wakayama นั้นเป็นเพราะอายังเคยมาขี่มอเตอร์ไซรอบเกาะนี้และชอบมากจนต้องย้ายมาอยู่ที่นี่
ว่าแล้วตัวละครหลักก็โผล่มาได้จังหวะ อายังเดินสวมหมวกแก๊ปคู่ใจมาโน่นแล้ว
"โอ้ ดาลิ้ง!" ไทโจตะโกนต้อนรับ พร้อมทำท่าทางโบกไม้โบกมือ
อายังทำเป็นนิ่ง ไม่ขานรับ
"ฮันนี่!" ไทโจยังแกล้งไม่เลิก
อายังส่ายหัวรับ ส่วนไทโจยังคงโบกมือ
อะไรที่ทำให้คนสองคนที่อยู่ด้วยกันนานถึง 35 ปี แต่ยังไม่เบื่อกัน?
อายังมาช่วยตรวจสอบแปลงผักที่โดนสัตว์ป่าบุกรุกเข้ามาเนื่องจากรั้วไฟฟ้าไม่ทำงาน
ยอมรับว่าครั้งแรกที่ฉันได้ยินว่าผักที่ปลูกเองกับมือจำนวนมากต้องมาเสียหายเพราะกวางเข้ามากิน ฉันทั้งตกใจและเสียใจจนเผลอพาลไปโทษกวาง แต่ไทโจและอายังกลับเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติอีกทั้งยังไม่แสดงท่าทางโกรธหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาคิดให้ดีคงเป็นเพราะพวกเขาไม่ลืมความจริงที่ว่า ไม่ใช่กวางที่บุกรุกแปลงผัก แต่เป็นมนุษย์ต่างหากที่ไปบุกรุกบ้านพวกมัน
การอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ สิ่งที่ควรทำมีเพียงอย่างเดียวคือต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ เหมือนกับที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกทำอยู่เสมอ เว้นเพียงแต่สิ่งมีชีวิตเพียงประเภทเดียวนั่นคือ มนุษย์ เท่านั้นที่พยายามปรับธรรมชาติให้เข้าหาตนเอง
ฝนเทลงมาปรอยๆ ไทโจจึงเรียกทุกคนกลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้านพวกเรามีโอกาสได้พบกับ 'โอบ้าจัง' หรือคุณยายคนหนึ่ง ไทโจจอดรถและลงจากรถเพื่อออกมาทักทาย ถามไถ่กันอยู่นาน
โอบ้าจังอายุ 87 ปี ในมือไม่ได้กำไม้เท้า หากแต่เป็นค้อนสำหรับทำงานต่างหาก
เท่าที่ฉันสังเกตุ ภาพที่เห็นได้บ่อยในญี่ปุ่น คือภาพที่คนสูงอายุเดินไปไหนมาไหนคนเดียว
ไม่ถึงขนาดคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่ได้เชื่องช้าจนเป็นภาระของสังคมที่รีบเร่ง
ในแว่บแรกฉันมองเห็นความแข็งแรงที่คนสูงอายุเหล่านั้นพึ่งพาตนเองได้
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาฉันมองเห็นความเหงา
3
นอกจากอุด้งแล้ว อาหารกลางวันวันนี้มีไข่ดาวกับเบคอนที่ได้มาจาก Ibiza Restaurant โฮสต์แรกของพวกเรา ไทโจบอกว่า เบคอนเป็นของมีค่าสำหรับบ้านนี้ เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้ซื้อหมูมากินกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะกินแต่อะไรที่มีอยู่ ซึ่งไม่ใช่ผักก็ไข่ไก่นั่นเอง
วันนี้มีขนมเพิ่มให้ด้วย เป็นขนมปังที่ไทโจอบไว้ บิสกิตญี่ปุ่นดั้งเดิม และเค้กก้อนสีเหลืองน่าอร่อย
ฉันและทรายสอนรำไทยให้พวกเขาแทนคำขอบคุณสำหรับของหวานแสนอร่อย อายังและไทโจยกไม้ยกมือตามแบบเก้ๆกังๆ สอนไปเรียนไปก็หัวเราะกันไป
ณ บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่ง เสียงเพลงลอยกระทงถูกร้องซ้ำคลุกเคล้ากับเสียงหัวเราะ
ช่วยให้อาหารธรรมดามื้อนี้รสชาติกลมกล่อมกว่าที่เคย
ก่อนเวลาพัก ไทโจบอกว่าช่วงบ่ายจะพาไปเล่นโยคะนะ
พวกเรามีเวลา 1 ชั่วโมง จึงชวนกันออกไปเก็บ 'ยามะโมะโมะ' หรือที่อายังบอกว่ามันคือลูกพีชป่า แต่เจ้าผลไม้ชนิดนี้หน้าตาไม่เหมือนลูหพีชเลยสักนิด ออกจะคล้ายผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มากกว่าด้วยซ้ำ
ต้นพีชป่าหน้าบ้านต้นนี้ มีผลยามะโมะโมะอยู่เต็มต้นไปหมด ทั้งสีแดงเลือดหมู แดงสด แดงปนเขียว และเขียว บอกระดับไล่จากสุกมากไปจนถึงยังไม่สุก แต่ก็กินได้หมดเลยแถมอร่อยด้วย
เมื่อได้เวลา ไทโจออกรถ ขับลงจากเขาเลียบไปทางชายทะเลทางเดียวกันกับที่จะไปนาข้าวของอายัง แต่ครั้งนี้เหมือนมีไกด์ท้องถิ่นนั่งมาด้วย เพราะระหว่างทางไทโจจะชี้ชวนให้ดูเกาะโน้น บ้านนี้ ต้นไม้นั้น พร้อมบอกว่าแต่ละอย่างเรียกว่าอะไร เป็นมาอย่างไร คำอธิบายจะมาเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนเสมอ บางครั้งแปลเป็นอังกฤษให้ แต่บางครั้งก็ไม่แปล (อ้าว)
บนชั้นสองของอาคารเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นห้องโล่งๆที่มีเพื่อนๆของไทโจรออยู่แล้ว ตามมาด้วยลูกสาวทั้งสองคนของไทโจ ที่อุ้มหลานตัวน้อยมาด้วยทั้งสองคน พวกเราแนะนำตัว บรรยากาศสบายๆ โยคะเป็นท่าง่ายๆ แต่ฉันและทรายก็ยังอ่อนหัดที่สุดอยู่ดี เพราะตัวของพวกแข็งมากเมื่อเทียบกับทุกคน ทำอะไรก็ดูจะล้มไปเสียทุกท่า แต่ก็สนุกและผ่อนคลายไปอีกแบบ
เมื่อท่าสุดท้ายสิ้นสุดลง ไทโจขอให้ฉันและทรายสอนทุกคนรำไทย พร้อมร้องเพลงลอยกระทงที่พวกเราเล่นกันใหญ่โตไปแล้วครั้งหนึ่งตอนมื้อเที่ยง ทุกคนดูสนอกสนใจมาก การจีบนิ้วที่เด็กไทยเรียนมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นเรื่องยากและชวนให้สับสนอยู่ไม่น้อย ส่วนคนที่ทำได้ก็ยิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจ
ส่วนฉันเองก็ภูมิใจที่วันนี้มีคนญี่ปุ่นได้สัมผัสประสบการณ์รำไทยเพิ่มขึ้นอีก 5 คน
4
กว่าจะมาเป็นข้าวหนึ่งหม้อ
1. ตักข้าวสาร 5 ถ้วยตวงลงในกะละมัง เปิดน้ำใส่พร้อมใช้ฝ่ามือนวดข้าวแรงๆหลายครั้ง จนน้ำเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น จากนั้นให้เทน้ำออก ทำซ้ำจนกว่าน้ำที่ได้จากการนวดจะไม่เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น (ประมาณ 3 รอบ)
2. เทใส่หม้อดินสำหรับหุงข้าว ตวงน้ำใส่ 5 ถ้วยตวงเช่นกัน (อัตราส่วนข้าวต่อน้ำคือ 1:1) ปิดฝาและตั้งทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง
3. นำหม้อไปตั้งบนเตาแก๊ส เปิดไฟแรงสุดจนกว่าน้ำจะเดือด
4. เบาไฟ และรอจนกว่าข้าวจะสุกจึงปิดไฟ
5. ตั้งทิ้งไว้ 15 นาทีเพื่อให้ข้าวระอุอยู่ข้างใน เป็นอันเสร็จ
ได้เป็นข้าวญี่ปุ่นอ้วนกลมเรียงตัวสวยน่ากินให้หมดหม้อไปเลย!
ไทโจเสริมว่าหม้อที่จะนำมาใช้หุงข้าวนี้สำคัญ จะต้องเป็นหม้อดิน (ที่หนักมาก) อย่างดีเท่านั้น เพราะจะเก็บวิตามินจากข้าวไว้ได้ดีที่สุด และวันนี้ไทโจนำหัวไชเท้ามาใส่ในข้าวด้วย
ส่วนกับข้าวเป็นอาหารที่ถูกฟรีซไว้ในช่องฟรีซจนไทโจจำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไร
"แต่เดาว่าน่าจะเป็นแกงกะหรี่่นะ" ไทโจทำท่านึก
ไทโจเตรียมหอมซอยและกระเทียมดองโชยุ พริกไทย และน้ำมันโอลีฟ ใส่ลงไปขณะอุ่นแกงกระหรี่ด้วย ปิดท้ายด้วยมะเขือเทศหั่นชิ้นใส่เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ออกมาเป็นแกงกระหรี่ที่แม้จะถูกฟรีซมาเนิ่นนาน แต่น่าอร่อยและก็อร่อยไม่แพ้หน้าตาของมันเลย
มีขนมปังโฮลวีทที่ไทโจแอบมาทำไว้ กินคู่กับแยมแครอทและแยมบ๊วยโฮมเมด
กินข้าวไปฉันก็ยิ้มไป มีควมสุขทุกๆมื้ออาหารเลยเรา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in