1
พระอาทิตย์ที่นี่ขยันทำงานกันน่าดู เพราะตี 5 ก็สว่างแล้ว ทำให้ฉันไม่รู้สึกงัวเงียที่ต้องตื่นเช้าสักเท่าไร
งานแรกของฟาร์มเล็กๆแห่งนี้อยู่ที่เล้าไก่หลังบ้าน โจทย์คือพวกเราต้องให้อาหารไก่และนำไข่ไก่กลับเข้าบ้านด้วย (ถ้ามี)
เล้าไก่อยู่ถัดจากแปลงผักในบริเวณรั้วบ้านไปอีกหน่อย ไม่ใหญ่เท่าที่คิด แต่เหม็นกว่าที่คิด!
โดยจะมีรั้วล้อมรอบเล้าไก่อีกที สำหรับครั้งแรก อายังทำให้ดูเป็นตัวอย่างเกือบทั้งหมด วิธีการคือ จะมีอาหารไก่ 2 ถังแต่ละถังไม่เหมือนกัน ถังหนึ่งทำมาจากเต้าหู้ผสมกับผงแป้งที่มาจากข้าวที่ยังไม่ขัดสี และดมจากกลิ่นแล้ว น่าจะทิ้งไว้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 2 วัน (ลองจินตาการตามดูว่า ถ้าเราทิ้งเต้าหู้ไว้นานจนเน่า กลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร) ส่วนอีกถังหนึ่งน่าจะเป็นเปลือกข้าว เราต้องตักอาหารจากถังสองใบนี้ใส่ลงไปในรางข้าวริมเล้าไก่ แล้วไก่ก็จะมุดหัวลงมาจิกอาหารกินกันเอง ระหว่างที่ไก่กำลังวุ่นวายกับการแย่งอาหารกัน อายังก็จะเข้าไปในเล้าไก่ เพื่อเก็บไข่ไก่สดๆที่ยังเปื้อนขี้ไก่กลับออกมาอย่างผู้กล้าหาญ
หลังจากลุยกับไก่กว่า 20 ชีวิตเสร็จ ร็อคก็กระดิกหางรออยู่โน่นแล้ว เวลายังไม่ 6 โมงดี อากาศเย็นสบายดีมาก เส้นทางวันนี้เราปล่อยให้ร็อคเป็นคนนำ ไม่สิ หมานำ ตลอดเส้นทาง ช่วงแรกเราเดินผ่านโซนบ้านเรือนและแปลงผักข้างบ้าน หลังจากนั้นก็เดินลงเขาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเดินลงเขา หากมองไปทางซ้ายก็จะเห็นบ้านเรือนอยู่ข้างล่าง และมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน และหากหันไปทางขวาเราจะได้พบกับทะเล
ภาพผู้คนที่กำลังดำเนินวิถีชีวิตที่นี่ ทำให้ฉันต้องหยุดดูและเผลอยิ้มเป็นระยะ
ทุกๆความสุขไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนมีความลับซ่อนอยู่ ความลับของที่นี่คือความธรรมดาสามัญ
ต้องขอบคุณร็อคสำหรับการพาทัวร์ในเช้านี้ ได้ออกกำลังกายและกำลังใจไปเต็มๆ
ก่อนกินอาหารเช้า อายังขอให้พวกเราช่วยงานอีกนิดหน่อย คือช่วยถอนหญ้างานในแปลงผักเล็กๆที่อยู่ข้างบ้าน พอได้เข้าไปดูแปลงผักใกล้ๆ ฉันพบว่าพวกเขาปล่อยหญ้าให้สูงเท่ากับต้นกระหล่ำเลย ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นวิธีปลูกผักของเขา เพราะโฮสต์ครอบครัวแรกที่ฉันเคยไปเป็นวูฟเฟอร์เมื่อปีที่แล้ว เคยบอกว่าชาวสวนแต่ละคนมีเทคนิคต่างกันไป อย่างเขาจะไม่ยอมให้มีวัชพีชโตอยู่ข้างๆพื้ชผักของเขาเลย แต่บางบ้านก็จะปล่อยให้วัชพืชโตไปพร้อมๆกัน โดยให้เหตุผลว่าพืชที่โตรอดจากวัชพืชมาได้ แปลว่าเป็นพืชที่แข็งแรงนั่นเอง
แต่พอฉันถามอายังดูก็พบว่ามันไม่ได้ล้ำลึกขนาดนั้น เขาเพียงไม่มีเวลาว่างพอจะมากำจัดวัชพืช มันก็เท่านั้นเอง
หลังจากสาธิตวิธีกำจัดวัชพืชให้ดู อายังสอนวิธีจัดการกับหนอนในแปลงผัก ซึ่งฉันเองไม่ทันสังเกตุถึงความมีตัวตนของมันด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับพืชผักสวนครัว สีเขียวสดใสต้นเล็กใหญ่เต็มแปลงสวยงาม ในแปลงผักนี้จะมีหนอนอยู่สองชนิด อายังเรียกว่าเป็น good worm กับ bad worm เขาหยิบตัวอย่างของ bad worm ให้ดูหนึ่งตัวพร้อมบอกว่าตัวนี้แหละที่ bad และก็บีบเจ้าหนอนตายคานิ้วทันที เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก พวกเรายังไม่มีโอกาสได้ตกใจ อายังก็หยิบหนอนที่ว่าเป็น good worm ให้ดู ที่แท้ก็คือไส้เดือนดินนี่เอง แล้วอายังก็ค่อยๆใช้สองมือประคองเจ้าไส้เดือน ให้กลับลงสู่แปลงผักอีกครั้ง
อายังฝากให้ฉันกับทรายช่วยดูแปลงผักและจัดการหนอนตามที่สอนไป ส่วนเขาขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าก่อน
เวลาถอนหญ้าต้องระวังให้ดี เพราะถ้าถอนแรงเกินไป ผักของพวกเราก็จะหลุดออกมาด้วย นั่น! พูดยังไม่ทันขาดคำ หันไปอีกทีทรายก็ถอนผักออกไปหมดแล้ว เพราะนึกว่าเป็นต้นหญ้า! ฮ่าๆ
พวกเราก้มหนาก้มตาถอนจนเสร็จ (จริงๆแล้วแปลงผักเล็กนิดเดียว) และไม่ลืมที่จะจัดการหนอนตามที่อายังสอนเกือบทุกอย่าง แต่เปลี่ยนจากการกำจัดเหล่า bad worm (ที่มีจำนวนไม่น้อย) เป็นโยนออกไปจากแปลงผักแทน (ขอโทษนะอายัง) หลังจากนั้นพวกเราจึงอาสาเข้ามาช่วยอายังเตรียมมื้อเช้า อายังให้ช่วยจัดจานชาม เตรียมตะเกียบ และให้ช่วยหั่นมะเขือเทศสดๆที่เพิ่งเก็บจากแปลงผัก โรยเกลือนิดหน่อยเป็นอันเสร็จพิธี ส่วนอายังกำลังเตรียม Tamagoyaki หรือไข่ม้วนสไตล์ญี่ปุ่น อายังบอกว่า เดี๋ยวทำให้ดูวันนี้ แล้ววันหลังลองทำกันดูนะ
ตอนที่อายังกำลังเตรียมทำมิโสะซุป เขาชี้ให้ดูมิโสะที่ทำกันเอง เขาบอกว่าทำเพียงครั้งหนึ่งในช่วงฤดูหนาว ก็เก็บไว้กินได้ 2-3 ปี เพราะทำคราวละมากๆ พร้อมพาไปดูห้องถนอมอาหาร ฉันตื่นตาตื่นใจมาก เพราะในนั้นจะเต็มไปด้วยอาหารมากมายที่ถูกถนอมไว้ในขวดแก้ว ขวดโหล ถังไม้ เต็มห้องไปหมด
ขณะเดียวกันนี้เอง สายตาฉันก็ไปสบเข้ากับร่างกายที่เปียกปอนไปทั้งตัวของไทโจ เธอเพิ่งกลับจากการออกไปดำน้ำ ไทโจบอกว่าการไปสน๊อคเกิ้ลหรือดำน้ำผิวตื้นเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเธอ เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันตื่นเต้นมากและมั่นใจว่าสิบวันที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ฉันและทรายต้องได้ไปดำน้ำแน่ๆ
ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหาร เป็นช่วงเวลาที่ฉันตั้งตารอมากที่สุด
เปล่า! อย่าเพิ่งมองว่าฉันเห็นแก่กินขนาดนั้น อาหารอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ไม่ใช่เหตุผลใหญ่ (แต่ก็ไม่เล็กเหมือนกันนะ) ฉันชอบเรื่องราวที่ได้แลกเปลี่ยนกันบนโต๊ะอาหารต่างหาก เพราะช่วงเวลาที่ได้กินข้าวด้วยกัน จะได้คุยกับไทโจและอายังเยอะมากๆ โดยจะมีไทโจเป็นแกนนำ และอายังเป็นตัวรับ ไทโจชอบถาม และชอบเล่าเรื่องและอธิบายสิ่งต่างๆ เป็นต้นว่า ที่ไทยมีอาหารแบบนี้ไหม เรียกว่าอะไร แล้วชอบกินไหม
ไทโจสอนพวกเราด้วยว่า สำหรับเธอนั้น อาหาร เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นต้องกินทุกอย่างบนโต๊ะให้หมด
"Please, finish them." ไทโจว่าพร้อมกับใช้ตะเกียบโกยข้าวและนัดโตะคำสุดท้ายใส่ปาก
2
หลังอาหารเช้าเป็นเวลากาแฟ
โชคดีที่อายังเป็นคอกาแฟเหมือนฉัน ระหว่างที่ฉันและทรายช่วยกันล้างจาน อายังก็เอาที่บดกาแฟแบบมือหมุนออกมาบดเมล็ดกาแฟ ตั้งน้ำร้อนบนเตา และเตรียม dripper กับกระดาษฟิลเตอร์พร้อมสำหรับดำกาแฟดริป
ในการดริปกาแฟ จะมีขั้นตอนหนึ่งเรียกว่าการ blooming คือจังหวะแรกที่ค่อยๆรินน้ำร้อนลงไปในกาแฟ เราจะต้องหยุดรอชั่วอึดใจหนึ่ง เพื่อให้กาแฟ bloom หรือผลิบาน หรือทำปฎิกิริยานั่นเอง ฉันเคยรู้มาบ้างว่าเราควรจะรอประมาณ 18-30 วินาที ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและความชื่นชอบส่วนบุคคล ฉันจึงลองถามอายังดูว่าควรจะรอนานแค่ไหน
"แล้วแต่อารมณ์เลย ใช้ฟีลลิงเอา" อายังบอกยิ้มๆ
อายังค่อยๆดริปกาแฟ และหันมาบอกว่า กาแฟเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา
"ในชีวิตนี้ ฉันต้องการแค่ หนึ่งสาเก สองกาแฟ เท่านี้ก็พอแล้ว"
ไทโจบังเอิญได้ยินเข้าเลยเดินมาบอกฉันเบาๆอย่างตัดพ้อว่า
"อายังไม่มีไทโจก็ไม่เป็นไร" และเดินสะบัดหน้าขึ้นชั้นสองไป
อายังตกใจ จึงรีบตะโกนตามหลังไปว่า
"ไม่นะๆ หนึ่งสาเก สองกาแฟ สามไทโจ ไม่ๆ ไทโจนัมเบอร์วัน!"
พร้อมกับหันมากระซิบให้พวกเราฟังว่า
"บางครั้งก็นัมเบอร์วัน แต่บางครั้งก็อยู่ที่โหล่เลย ขอโทษที" เรียกเสียงฮาจากฉันและทรายไปเต็มๆ
ยังมีเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของคุณตาคุณยายคู่นี้ให้ได้หัวเราะอีกมากมาย ฉันจะยกอีกเรื่องหนึ่งให้คุณได้อ่านกัน คือในระหว่างที่กินข้าวเช้ากันอยู่ๆก็มีเสียงตดออกมาจากอายัง ที่กำลังหาของอยู่ในครัว
"ดาเมะ!" ไทโจทำเสียงแข็ง เป็นการห้ามว่า ไม่ได้นะ ห้ามตดสิ ประมาณนี้
พอเรากินข้าวกันเสร็จ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไทโจวิ่งลงมาจากชั้นสอง พร้อมกับเสียงตดแหลมๆหนึ่งทีจากไทโจ อายังทำหน้าตกใจและทำท่าเหมือนหงายหลัง ราวกับว่าลมจะจับ
"อ๊ะ โกเมะ" ไทโจพูดขอโทษหน้าตาเฉย และระหว่างคุยโทรศัพท์ ไทโจก็ตดออกมาอีก 2 ปู๊ด
พร้อมพูดว่า "โกเมะๆ" หน้านิ่งๆเหมือนกัน
อายังหันมามองหน้าพวกเรา แล้วหงายหลังไปอีกรอบ และทำท่าส่ายหัวอย่างเอือมๆ ตลกมาก
ตลอดช่วงเช้าวันนี้ อายังรับหน้าที่ดูแลพวกเรา งานวันนี้อยู่ที่นาข้าวเล็กๆซึ่งต้องขับรถออกมาจากบ้านไกลพอสมควร พวกเรานั่งรถตู้คันจิ๋วสีขาว ชื่นชมวิวทะเลตลอดทาง และสูดรับอากาศเย็นๆอยู่อึดใจใหญ่ก็มาถึงนาข้าว เพราะเขาปลูกข้าวไว้ให้พอสำหรับกินกันในครอบครัวเท่านั้น จึงเป็นเพียงนาข้าวเล็กๆ อายังเลี้ยงลูกเป็ดไว้ด้วย เพราะเป็ดจะคอยกินวัชพืชในน้ำ ทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกำจัดวัชพืชเอง งานหลักๆเช้านี้ คือใช้เครื่องตัดหญ้าสะพายคอ กำจัดหญ้าที่ขึ้นรอบๆนาข้าว และเวลาที่เหลือทั้งหมด ใช้ไปกับการต้อนลูกเป็ดออกมาจากเล้าในน้ำ เพื่อนำไปปล่อยในนาข้าว ดูเหมือนจะง่าย แต่ว่าไม่เลย เพราะอายังต้องค่อยๆนำอาหารไปล่อ พร้อมออกเสียงเรียก "โอย โอย" ลูกเป็ดก็จะค่อยๆว่ายมากินอาหารและรีบว่ายหนีไป เพราะตื่นคน กว่าจะจับได้ครบก็หมดช่วงเช้าพอดี
3
อายังคนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นผู้ชายทำอาหารเป็น
เราฝากท้องไว้กับหมี่เย็นฝีมืออายังอีกหนึ่งมื้อ เป็นอาหารที่ทำง่ายๆ แค่ลวกเส้นบะหมี่ นำมาแช่น้ำเย็น พร้อมกับซอยต้นหอมและเทลงในน้ำซุปเป็นอันเสร็จ แถมกินตอนทำงานเสร็จมาเหนื่อยๆและอากาศร้อนๆ ก็เป็นของคาวที่กินแล้วชื่นใจดีไม่หยอก
บะหมี่เย็นของญี่ปุ่นทำให้ฉันคิดถึง 'ข้าวแช่' บ้านเรา หลายคนไม่รู้จัก บางคนเคยเห็น แต่ฉันเชื่อว่าน้อยคนที่จะเคยกิน (อย่างน้อยในหมู่เพื่อนๆรอบตัวฉัน แทบไม่มีใครเคยได้ยินอาหารชนิดนี้เมื่อฉันบ่นอยากกิน) ข้าวแช่เป็นอาหารชาววัง หนึ่งในอาหารไม่กี่ประเภท ที่ฉันแยกไม่ออกว่ามันคือของคาวหรือของหวานกันแน่ ข้าวแช่จะกินกันเป็นชุดๆ โดยในหนึ่งชุด จะมีข้าวสวยแช่ในน้ำที่จะหอมมะลิ เสิร์ฟมาในถ้วยพร้อมใส่น้ำแข็ง กินคู่กับเครื่องเคียงหลายชนิดแตกต่างกันไป หลักๆจะมีหมูฝอยหวาน กะปิหวานทอด ผักเคียง ไชโป๊ เป็นต้น กินเข้าไปหนึ่งคำพร้อมๆกับข้าวสวยที่แช่ในน้ำเย็น ชื่นใจอย่าบอกใคร
4
ถาง ถาง ถาง!
วันนี้วันเดียวฉันได้จับจอบนานกว่าที่ทั้งชีวิตเคยถือจอบมาเลย
บ่ายนี้ไทโจแปะมือเปลี่ยนตัวกับอายัง พาเรามาถางหญ้าด้วยกันที่แปลงผักของไทโจ แน่นอนว่าแปลงผักนี้ก็ไม่ได้อยู่บริเวณบ้านอีกเหมือนกัน จะต้องขับรถต่อไปอีกหน่อย คราวนี้ไม่ผ่านทะเล แต่ผ่านลำธารและทะลุเข้าไปในป่าเล็กน้อย จะเจอกับแปลงผักที่ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบ แต่ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่าย พวกเราจะมาช่วยกำจัดศัตรูพืชโดยใช้จอบถางหญ้ารอบๆผักออก และสำหรับแถวไหนที่ไม่มีผัก ก็จะถอนหญ้าออกและเกลี่ยดินให้เป็นเนินเตี้ยๆ เรียกว่า 'อุเนะ' แปลว่าภูเขาเตี้ยๆ เตรียมไว้สำหรับนำเมล็ดมาลงต่อไปด้วย
เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง
ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่ ใจฉันมันก็ไปจดจ่ออยู่กับแค่การถอนหญ้า และทำอย่างไรให้ไม่เผลอเอาจอบไปโดนผักให้เสียหาย ไม่มีเรื่องอื่น หรือเรื่องคนอื่น มาคอยกวนหัวสมองให้ต้องคิด และกวนหัวใจให้ต้องเหนื่อย เงยหน้ามาอีกที พระอาทิตย์ก็ทำท่าจะบอกลากันเสียแล้ว
คืนนี้ฉันนอนหลับเพื่อเพียงเพื่อรอจะพบกันวันพรุ่งนี้ที่ต่างออกไป
ฉันว่าการได้ออกเดินทางไกลก็มีเสน่ห์ตรงนี้ ตรงที่เราไม่รู้จริงๆหรอกว่าพรุ่งนี้ทั้งวันจะเป็นอย่างไร แต่เราทุกคนต่างเฝ้ารอ และตกหลุมรักมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in