1
การนอนหลับในสนามบินครั้งที่ 3 ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอีกต่อไป โดยเฉพาะถ้าเป็นสนามบินที่เคยฝากร่างกายไว้ยิ่งสบายใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าเราจะต้องชำนาญในสถานที่นั้นๆในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องห้องน้ำ อาหาร และตำแหน่งที่นอน
จากบทเรียนในคืนแรกที่สนามบิน Kansai คืนนั้นเรามาถึงกันดึกไปหน่อย ทำให้โลเคชั่นดีๆถูกจับจองไปหมด และผ้าห่มที่ทางสนามบินมีให้บริการฟรีก็เกลี้ยงแล้วเช่นกัน
เมื่อเกิดปัญหา ย่อมเกิดการเรียนรู้
ในครั้งนี้ พวกเราตรงดิ่งไปที่เก้าอี้บริเวณที่ใกล้กับ Lawson ร้านสะดวกซื้อยอดนิยม ที่เปิด 24 ชม และเป็นบริเวณที่อยู่ติดกับจุดให้บริการผ้าห่มของสนามบินด้วย เราเดินเลือกเก้าอี้เหมาะๆ เพื่อจับจองและใช้เป็นที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ ทันทีที่วางกระเป๋า ทรายก็เดินไปขอรับบริการผ้าห่มทันที
"ผ้าห่มจะมีให้บริการหลัง 5 ทุ่ม และต้องนำมาคืนก่อน 6 โมงเช้านะคะ"
พนักงานบอกทรายมาอย่างนั้น
ไม่มีปัญหา
เพราะที่นอนพวกเราอยู่ห่างออกไปเพียง 5 ย่างก้าวเท่านั้น
ในตอนนั้นฉันคิดในใจอย่างผู้ชนะว่า เราได้โลเคชั่นที่ดีที่สุดในสนามบินแล้ว!
หลังจากนั่งๆนอนๆรอเวลาอยู่สักพัก ก็ได้เวลาไปขอยืมผ้าห่มผืนโต เราใช้เสื้อผ้ามากองๆทำเป็นหมอน ฉันไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเพื่อนำผ้าห่มไปคืน จากนั้นก็เหยียดตัวและหลับตาลงอย่างสบายอารมณ์
ครืนนนน... ครืนนนน... คร่อก!
เปล่า! ไม่ใช่เสียงแผ่นดินไหว! หากแต่เป็นเสียงทักทายยามค่ำคืนจากคุณลุงเก้าอี้ถัดไปต่างหาก
เรียบร้อย...ฉันถูกปลุกด้วยเสียงกรน
ปกติฉันเป็นคนไม่มีปัญหากับการนอนร่วมกับผู้ที่มีพฤติกรรมกรน หลายคนคงรู้ดีว่าเคล็ดลับการหลับนอนร่วมกับคนนอนกรนนั่นง่ายแสนง่าย เพียงแค่เรารีบหลับให้เร็วกว่าและภาวนาให้ไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน ไม่ว่าเขาจะกรนดังแค่ไหนก็สบายมาก แต่ถ้าเมื่อไรที่ต้องตื่นมากลางดึกด้วยเสียงกรนแล้วละก็ จิตใจที่มัวไปจดจ่ออยู่กับมันจะทำให้ไม่สามารถหลับได้อีกเลย
ขณะนี้เวลา ตีหนึ่งเกือบๆตีสองแล้ว ฉันพยายามข่มตาให้หลับอยู่นานก็ไม่เป็นผล จนเวลาล่วงมาเป็นตีสองกว่าๆ
พอกันที! หนูดูซีรี่ส์ก็ได้ค่ะลุง
ว่าแล้วฉันก็หยิบหูฟังมาเสียบ เร่งเสียงให้ดัง หวังว่าดูซีรี่ส์ไปเรื่อยๆ จะง่วงและหลับไปโดยไม่มีเสียงกรนมารบกวน ผ่านไปหนึ่งตอนอาการง่วงก็เริ่มมีเข้ามาเป็นระยะให้พอกึ่มๆ น่าจะหลับได้สบายๆ ถ้าไม่ติดตรงที่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 4 ขวบคนหนึ่งวิ่งเล่นเสียงดังมาสักพักหนึ่งแล้ว!
การวิ่งของน้องไม่ธรรมดา เพราะเป็นการวิ่งแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เป็นนันสต๊อปรันนิง หรืออันสต๊อปเอเบิลรันนิงเลยก็ว่าได้ ราวกับว่าเธอเพิ่งวิ่งได้วันนี้วันแรกในชีวิต และกำลังฉลองให้กับมัน
ฉันเลิกหวังที่จะนอนหลับตรงนี้แล้ว จึงตัดใจหอบข้าวของและหนังสือหนึ่งเล่มเดินหาทำเลใหม่ แต่ไม่มีที่ว่างเลย มีคนนั่งๆนอนๆอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด
จริงๆแล้วที่สนามบินนานาชาติ Kansai จะมี lounge สำหรับให้บริการอยู่ ในนั้นก็จะมีทั้งที่นอนหมอนมุ้งและห้องอาบน้ำอย่างดี ฉันถอดใจและเดินคอตกไปหยิบบัวชัวร์ของที่ lounge มาอ่าน พบว่าราคาสำหรับหนึ่งคนเมื่อเทียบกับราคาสองคนแล้ว แบบสองคนคุ้มค่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะเดินไปปลุกทรายมาด้วยกันก็กลัวมันจะตื่นขึ้นมาด่าบรรพบุรุษเอาเพราะน้องกำลังหลับลึกน่าดู (ที่รู้เพราะเห็นมันนอนละเมอหายใจดัง เฮือก! และทำท่าสะดุ้ง2 รอบแล้วนอนต่อ)
ฉันนั่งสลับกับเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งตีสี่กว่าๆ จึงตัดสินใจเดินสะบัดตูดกลับไปยอมจำนนกับคุณลุง แต่ก็คงเพราะง่วงมาก จึงหลับได้ในที่สุด
รวมระยะเวลาหลับเบ็ดเสร็จเท่ากับหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
ในทำเลทองที่ดีใจกระโดดโลดเต้นตอนแรกที่ได้มา
บางทีสิ่งที่ดูเหมือนจะดีที่สุด อาจจะไม่ได้ดีที่สุดกับเราจริงๆก็ได้
ยังดีที่ได้โอนิกิริไส้แซลมอนอย่างซีอิ๊วใน Lawson มาปลอบใจ ใครจะหาว่าเว่อก็ได้ แต่ข้าวปั้นใน Lawson ที่นี่มันอร่อยจริงๆนะ
หลังจากเผชิญโลกกลางคืนมาอย่างสมบุกสมบันแล้ว เวลาที่เหลือของวันนี้สมควรจะผ่านไปได้ด้วยความราบรื่นเรียบร้อย ฉันไม่ควรต้องเผชิญกับอุปสรรคใดๆอีก และจบวันลงอย่างมีความสุขด้วยการได้พบโฮสต์ที่นั่งยิ้มรอเราอยู่ตรงปลายทางที่เรานัดหมายกันล่วงหน้า นั่นคือสถานี Tako เวลาบ่าย 2 โมง
แต่กลายเป็นว่า กว่าเราจะได้เจอโฮสต์เวลาก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงเย็น!
จะเพราะอะไรเสียอีก... พวกเราตกรถไฟ
2
ตัดภาพไปที่ 7 ชั่วโมงที่แล้ว พวกเรานั่งรถไฟยิงยาวจากสนามบิน Kansai มาเปลี่ยนสายที่สถานี Hineno เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Wakayama
จากข้อมูลตามเว็บ Hyperdia เว็บไซต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะของตารางเวลา และจากที่เราพึ่งพา Hyperdia มาตลอด ทำให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพื่อนซี้ของเราบอกว่าเราต้องยืนรอรถไฟที่จะไป Wakayama ที่สถานีที่ Hineno 20 นาที เรียกได้ว่ามีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเปลี่ยนขบวนที่ต้องลากกระเป๋าใบโตลงและขึ้นบันไดอย่างละหนึ่งเที่ยวเพื่อเปลี่ยนชานชาลา
(1 สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นไม่ได้มีบันไดเลื่อนและลิฟต์สำหรับให้บริการเสมอไป มีหลายสถานีที่ต้องเปลี่ยนชานชาลาโดยใช้บรรไดเท่านั้น)
แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า ไอ้ชานชาลาที่พวกเรายืนอยู่ จะมีเลขโบกี้ตั้งแต่ 1-8 กำกับอยู่ที่พื้น ต่อไปนี้ขอให้คิดภาพตาม ก่อนเวลาตาม Hyperdia ประมาณ 5 นาที มีรถไฟขบวนหนึ่งมาจอดเทียบชานชาลา แต่หยุดอยู่ที่โบกี้ 4-8 เท่านั้น ฉันและทรายซึ่งยืนรออยู่ที่เลข 3 คอยมองเวลาเป็นระยะ เหลือเวลาอีก 3-4 นาทีจะถึงเวลาตาม Hyperdia
"รถไฟของเรายังมาไม่ถึง"
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมามากมาย ทั้งกับการเดินทางด้วยรถไฟ โดยมี Hyperdia เป็นเพื่อนยาก ถ้ารถไฟมาถึงแล้ว รถไฟต้องมาจอดเทียบอยู่ข้างหน้าพวกเราอยู่แล้ว สบายใจได้
ฟิ้วว...
รถไฟขบวนดังกล่าวผ่านหน้าพวกเราไปต่อหน้าต่อตา!
ณ ตอนนั้นเหมือนทุกอย่างมันสตั๊นไปหมด เมื่อได้สติ สมองก็ทำการประมวลผลข้อมูลใหม่หนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว จากที่หาข้อมูลมาเพราะรถไฟที่จะไป Wakayama มีแค่ 2-3 เที่ยวต่อวันเท่านั้น และแน่นอนว่ามนุษย์รอบคอบไร้ที่ติอย่างพวกเราต้องเตรียมตารางรถไฟมาแค่เที่ยวเดียว ก็คือเที่ยวที่เพิ่งแล่นผ่านเราไปนี้เอง นอกจากนี้ การที่เราต้องเลื่อนตารางออกไป นั่นหมายความว่า ตารางรถไฟขบวนถัดๆที่เราต้องขึ้นย่อมต้องถูกเลื่อนไปอีกหนึ่งทอด และเวลาที่นัดโฮสต์ไว้ต้องถูกเลื่อนไปเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ฉันกลัวไม่ใช่เรื่องการตกรถไฟ แต่เป็นเรื่องการผิดนัดเวลาที่นัดหมาย โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาเป็นที่สุดอย่างชาวญี่ปุ่น อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด แต่เครียดไปก็เท่านั้น สิ่งที่เราต้องทำคือช่วยกันหาทางออกสำหรับปัญหานี้ดีกว่า
ตัวเลือกที่ฉันใช้ประจำเวลาต้องการคำตอบคือ ถาม
ฉันถามทางที่จะไป Wakayama ให้เร็วที่สุดจากพนักงานประจำชานชาลา และไม่ลืมที่จะขอตารางเวลารถไฟ(ที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่น) ติดมาด้วย เมื่อได้เวลาที่แน่นอนมาแล้ว ฉันตัดสินใจใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรหาโฮสต์
เสียงคุณตาแก่ๆคนหนึ่งรับสาย
"ไฮ่! โมชิ โมชิ"
"สวัสดีค่ะ นี่นุ่นกับทรายนะคะ"
"พวกคุณเป็น WWOOFer หรือเปล่า"
"ใช่ค่ะ ใช่เลย"
"จากที่ไหนครับ"
"ไทยค่ะ"
"โอเคโอเค"
"ต้องขอโทษด้วยค่ะ พวกเราตกรถไฟ ทำให้ไปถึงตามเวลาที่นัดไว้ตอนแรกไม่ได้ ขอเลื่อนเวลานัดเป็น 17.53 ได้ไหมคะ"
"ไม่มีปัญหาครับ"
แล้วเรื่องวุ่นที่ทำให้ใจเราเต้นโครมครามในตอนแรก ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
จาก Wakayama นั่งรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงไปสถานี Kitanabe และต้องรอรถไฟที่สถานีประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อนั่งรถไฟอีก 70 นาที ไปยัง Tako Station สถานีปลายทางสำหรับวันนี้
ฉันไม่กล้าหลับอีกเลย เพราะไม่อยากตกรถไฟอีกรอบ และเมื่อต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟ ฉันจะถามนายสถานีเพื่อยืนยันขบวนรถไฟอีกหนึ่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายสำหรับการเดินทางแสนยาวนานในวันนี้
อีกเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ สิ่งใหม่ๆกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง
ระหว่างทางบนรถไฟ ฉันกับทรายพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ และทิ้งช่วงความเงียบเป็นจังหวะ แต่การนั่งเงียบๆอยู่ข้างกับใครสักคนที่เราสนิทไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลย ในทุกๆความสัมพันธ์ย่อมต้องการเวลาเพื่อเรียนรู้กันและกัน และเมื่อเรารู้จักกันดีพอ เราจะรู้ว่าตอนไหนน้อยไปและตอนไหนที่มากไป เพื่อให้ไม่ก้าวก่ายล้ำเส้นของกันและกัน
แน่นอนว่าทุกความสัมพันธ์ต้องการความเอาใจใส่
แต่ที่ขาดไม่ได้คือระยะห่าง (ในระยะที่พอดี) ด้วย
วิวทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากอาคารบ้านช่อง เป็นภูเขา ต้นไม้ และบ้านเรือนเล็กๆชั้นเดียว ตั้งอยู่ห่างกันแต่ในระดับที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสบายตา บ้านแต่ละหลังส่วนใหญ่จะถูกขั้นด้วยนาข้าว
จากภาพที่เห็น ฉันเดาได้ไม่ยากว่าเราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว
สถานี Tako เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ให้ลองนึกภาพบ้านที่มีแค่กำแพงคลุมด้วยหลังคา และมีเก้าอี้สำหรับนั่งรอ มีทางเข้าออกจากสถานีเพียงประตูเดียวเท่านั้น ทำให้เมื่อรถไฟจอดเทียบสถานีได้เพียงไม่กี่วินาที สายตาฉันก็ไปหยุดอยู่ที่ชายวัย 60 ปี ยืนสวมหมวกแก๊ป และเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานี ใช่แล้ว เขาคือโฮสต์ของพวกเรานั่นเอง!
อย่างที่คิดไว้ ท่าทางตอนที่พวกเราขนกระเป๋าลากใบโตที่บรรจุเสื้อผ้า และสิ่งของที่เราคิดว่าจำเป็นสำหรับหนึ่งเดือน ขึ้นรถตู้สีขาวคันเล็กนั้นช่างทุลักทุเลสิ้นดี
3
Ayan หรือ 'อายัง' คือชื่อเล่นที่ Akio Shibata แนะนำตัวกับพวกเรา บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบ (ที่อึดอัดประมาณหนึ่ง) เสียส่วนใหญ่ อาจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต้องปรับหูให้คุ้นกับการออกเสียงภาษาอังกฤษของกันและกัน ทำให้ต้องมีการถามซ้ำตอบซ้ำอยู่บ้าง แต่เหตุผลหลักๆคงจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่สนิทกันพอนั่นเอง
เพียงแค่ 5 นาทีจากสถานีก็มาถึงบ้านของพวกเราสำหรับ 10 วันถัดจากนี้
บ้านของครอบครัว Shibata บ้านที่สร้างจากไม้ทั้งหลัง ข้าวของส่วนใหญ่ภายในบ้าน ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ก็ทำจากไม้เสียส่วนใหญ่ มีสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่ง นอน แขวนอยู่เต็มพื้นที่ แต่รายละเอียดเหล่านั้นกลับไม่ทำให้รู้สึกรกสายตา กลับกัน มันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเปียโนสีดำที่ตั้งอยู่กลางบ้าน กีต้าร์ที่พิงกำแพงใกล้กับชั้นวางรองเท้า กรอบรูปที่แขวนช่วงเวลาในอดีตเอาไว้เต็มกำแพง โน้ตย่อๆภาษาที่ปุ่นที่ถูกแปะไว้กับตู้เย็น เครื่องเล่นแผ่นเสียงรวมถึงแผ่นเสียงที่ถูกวางเรียงอัดแน่นอยู่ใต้เก้าอี้ด้านในสุดของบ้าน และอื่นๆอีกมากมายที่ประกอบกันแล้วทำให้รู้สึกว่าบ้านนี้ช่างมีชีวิตชีวา
ฉันถูกเรียกสติกลับมา เมื่อได้พบกับ 'ไทโจ' หรือ Yukari Shibata ภรรยาร่างเล็กและคล่องแคล่วของอายัง ไทโจเข้ามาแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น สบายๆ และเป็นกันเอง
หลังจากที่โฮสต์ชี้ห้องนอนของพวกเราเพื่อให้นำกระเป๋าเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ไทโจก็กำลังวุ่นกับการเตรียมอาหารมื้อเย็น ส่วนอายังพาพวกเราไปดูห้องน้ำ และสอนวิธีใช้งาน
แม้แต่ห้องน้ำก็สร้างความประทับใจแรกพบได้
ทันทีที่เปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป จะพบกับห้องน้ำขนาดเล็ก สไตล์เก่าแก่ มีอ่างสำหรับแช่น้ำร้อนทำจากไม้ และมีแผ่นไม้ 3 แผ่นใหญ่ๆ วางปิดอยู่ด้านบนเพื่อให้อ่างคงความร้อนของน้ำเอาไว้ แน่นอนว่าพื้นห้องน้ำก็ทำจากแผ่นไม้เช่นเดียวกัน
ขั้นตอนในการอาบน้ำในบ้านหลังนี้ก็คือ ทุกๆวันน้ำร้อนจะถูกเตรียมเอาไว้ในอ่าง และแม้ว่าจะมีฝักบัว แต่อายังบอกว่าปกติพวกเขาจะใช้วิธีตักน้ำจากในอ่างมาราดตัวเพื่อล้างตัว ก่อนลงแช่ในอ่าง อายังเสริมด้วยว่าลงไปแช่แบบที่ตัวไม่สะอาดก็ได้ไม่เป็นไร ปกติอายังก็ลงไปแช่ทุกวันเหมือนกัน พวกเราก็ลงไปแช่ได้เลยตามสบาย
หลังจากทำความคุ้นเคยกับห้องน้ำแล้ว อายังพาพวกเราไปแนะนำตัวกับสมาชิกอีกหนึ่งชีวิตของบ้านหลังนี้ นั่นคือ "ร็อค" สุนัขสาววัย 5 ขวบจอมพลัง อายังบอกว่า ร็อคชอบวูฟเฟอร์มากกว่าเขา เพราะได้ใช้เวลากับวูฟเฟอร์บ่อยกว่า
ทันที่อายังกำลังไปปลดเชือก ร็อคก็กระดิกหางอย่างแรง แสดงถึงความดีใจ เพราะรู้ว่าได้เวลาออกไปเดินเล่นแล้ว หน้าที่ของพวกเราทุกๆวัน คือจะต้องพาร็อคไปเดินเช่นวันละสองครั้ง นั่นคือหลังตื่นนอนตอน ตี5 ครึ่ง และก่อนกินมื้อเย็น เหตุผลคือ หนึ่ง ร็อคจะได้เดินเล่น และ สอง มันเป็นเวลาขับถ่ายของร็อค
แต่ครั้งนี้อายังจะไปด้วยกันก่อน พร้อมถือถังพลาสติกใบเล็กๆที่มีเศษไม้ กิ่งไม้ วางอยู่ด้านในนิดหน่อย เดาไม่ยากว่าคือถังเก็บขี้ของร็อคแน่นอน
สำหรับเส้นทางในการพาร็อคไปเดินเล่น ครั้งนี้อายังพาเดินเข้าไปในป่า แต่เป็นป่าที่สะอาดตา มีทางสำหรับเดินชัดเจน มีต้นไม้สูงเป็นส่วนใหญ่ อากาศเย็นๆชื้นๆ กำลังสบาย เมื่อร็อคทำท่าโก่งขาและหย่อก้นต่ำลงที่พื้น อายังรีบเอาถังไปรองรับ แต่ก็รีบดึงกลับ แล้วพูดว่า
"โนโน ดิ๊สอีสน้อทพูพูสไตล์"
ฉันกับทรายหัวเราะลั่น พร้อมพยักหน้าทำความเข้าใจ เมื่อได้เห็นพูพูสไตล์ของจริง
หลังจากกลับจากการพาร็อคไปเดินเล่น ถัดไปเป็นการให้อาหาร ก่อนจะเทอาหารใส่จานร็อค คนที่มีอาหารอยู่ในมือจะมีสิทธิขาดในการพูดว่า "มาเตะ" ที่แปลว่าให้รอก่อน ร็อคจะกระดิกหางอย่างแรงแต่ก็จะยอมนั่งลงแต่โดยดี และจะกินก็ต่อเมื่อเราพูดว่า "โดโซะ" หรือเชิญกินได้
แล้วก็ได้เวลาอาบน้ำ ฮูเร่! เป็นช่วงเวลาที่ฉันกับทรายรอคอย เพราะเราสองคนไม่ได้อาบน้ำมาแล้ว 2 วันติด ได้แช่ตัวในอ่างน้ำร้อน หลังจากผ่านวันที่แสนยาวนานมาทั้งวัน คือความสุขโดยแท้
เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม อาหารเย็นพร้อมแล้ว ไทโจผู้รับหน้าที่เตรียมอาหาร เรียกให้ทุกคนมานั่งกินมื้อเย็นด้วยกันได้แล้ว ไทโจท่าทางดูหิวมาก ทำท่าลูบท้อง และตะโกนเรียกทราย ที่ยังอาบน้ำอยู่ ให้รีบมากินข้าว อายังทำท่าจะเดินไปหยิบอะไรสักอย่าง แต่โดนไอโจห้ามไว้ แล้วบอกว่า
"กินเถอะๆๆๆ อิทาดากิมัส!"
แม้จะเป็นมื้อแรก แต่ก็ไม่มีความหวือหวา จนทำให้รู้สึกว่าเป็นมื้อต้อนรับ อาหารทุกจานเรียบง่าย ปลาทอด ปลาต้มซีอิ๊วที่เหลือจากมื้อที่แล้ว หน่อไม้ผัดเห็ดหอม ผักชุบแป้งทอด ล้วนเป็นอาหารมื้อปกติธรรมดา แต่อร่อยเหลือเชื่อ ระหว่างที่กินข้าวไป ไทโจก็จะอธิบายว่าจานนี้เรียกว่าอะไร จานนั้นคืออะไร ส่วนใหญ่ใช้ประโยคเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน แล้วจึงแปลเป็นภาษาอังกฤษให้อีกที เหมือนลืมไปว่าพวกเราไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น แต่ฉันกลับรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันช่างเป็นกันเองเสียจริง
ส่วนข้างหน้าอายัง จะมีขวดสาเกขวดโตวางอยู่ อายังนั่งจอบสาเกก่อนกินข้าว และไม่ลืมที่จะชวนให้ฉันกับทรายกิน
"คัมปาย"
ระหว่างที่ฉันเขียนบทนี้ไป ฉันก็อ่านบันทึกของตัวเองไป
มีอยู่บรรทัดหนึ่งฉันเขียนถามตัวเองไว้ว่า 'แค่วันนี้วันเดียว เราตกหลุมรักสิ่งต่างๆไปกี่ครั้งกันนะ'
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in