1
เสียงก๊องแก๊งๆดังมาจากในครัว ฉันคว้านาฬิกามาดูและพบว่าเพิ่งจะตี 4 กว่าเท่านั้น จึงตัดสินใจหลับต่อ
และคิดในใจว่าสงสัยไทโจคงตื่นมาเตรียมเตรียมอาหาร แต่ทำไมวันนี้จึงเช้ากว่าปกตินะ
ไม่นานก็ได้เวลาต้านแรงโน้มถ่วง ฉันพาร่างตัวเองออกจากห้องนอนได้สำเร็จ ภาพที่เห็นในครัวคือไทโจทำท่าเหมือนกำลังนวดแป้งด้วยสองมืออย่างขมักเขม้น
'พลาดแล้วเรา' ฉันคิดในใจ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไทโจเตรียมจะทำขนมปังและสโคนด้วยแป้งที่นวดไว้นี้ ฉันเสียใจมากที่ไม่ได้ตัดสินใจลุกขึ้นมาช่วยตอนที่ได้ยินเสียงดังตอนตีสี่ เพราะการอบขนมเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันรอคอยจะได้ทำที่นี่เป็นอันดับต้นๆ
ฉันรีบล้างหน้าแปรงฟัน และอาสาช่วยไทโจนวดแป้ง เธออธิบายว่า ตอนนี้กำลังเตรียมแป้งสำหรับทำสโคนอยู่ และพาไปดูแป้งที่นวดเสร็จแล้วหนึ่งก้อน ที่นอนอยู่ในชามแสตนเลสและคลุมด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำ เพื่อรอเวลาให้เจ้าก้อนนี้พองขึ้นเรื่อยๆ โดยตั้งทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
อาหารเช้ายังคงเป็น Tamagoyaki อีกตามเคย แปลกที่ฉันไม่เบื่อเลย
ส่วนข้าววันนี้พิเศษหน่อย เพราะไทโจปั้นเป็นข้าวปั้นสามเหลี่ยมให้พร้อมห่อด้วยผักกาดดองใบโต น่ารักและอร่อยมาก
เช้านี้อายังรีบกินรีบไปเหมือนมีธุระ ส่วนไทโจตามมากินทีหลัง พร้อมแงะเม็ดข้าวจากทัพพีทุกเม็ดและนำใส่ปาก เป็นภาพที่เห็นจนคุ้นเคยไปแล้ว ไทโจผู้ให้ความสำคัญกับอาหารเสมอ
ไทโจกินข้าวไปก็เล่าเรื่องลุกๆทั้งสามคนของพวกเขาให้ฟัง เริ่มที่ลูกชายเพียงคนเดียว เพราะคลั่งไคล้การ์ตูนมาก (ไทโจใช้คำว่า 'โอตาคุ' ที่มีความหมายประมาณว่า คนที่คลั่งอะไรอย่างหนัก) เขาจึงทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูนอยู่ที่โกเบ เขายังไม่ได้เป็นนักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียง แต่ก็กำลังพยายามอย่างหนัก
ส่วนลูกสาวสองคนที่เจอกันวันแรกที่ฉันและทรายมาถึง และเมื่อวานที่เรียนโยคะ คนหนึ่งเป็นนักเขียนนิยาย ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า ไคซัง จบด้านภาพยนตร์ เคยเป็นคนฉายหนังในโรงหนังเพื่อที่จะได้ดูหนังเป็นร้อยๆเรื่องได้ฟรี แต่ตอนนี้ลาออกมาแล้วเพราะมีลูก
อย่างไรก็ตาม ไคซังกำลังจะจัดงานฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เธอชอบ ชื่อว่า Eyes of 24 โดยสถานที่ที่ใช้จัดงานเป็นโรงเรียนเก่าที่ตอนนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว เพราะมีจำนวนนักเรียนน้อยลงเรื่อยๆ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณครูและเด็กอีก 12 คนที่อาศัยอยู่บนเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
"หนังเก่าหน่อย แต่เป็นหนังที่ดีมาก ไปหาดูให้ได้นะ" ไทโจบอก
ก่อนถึงเวลาพัก ไทโจหยิบไม้นวดแป้งออกมาจากหลังตู้ในครัว และเรียกฉันให้ไปดูแป้งสำหรับทำสโคนที่นวดทิ้งไว้ตอนตี 5 ครึ่ง เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง พบว่าแป้งพองตัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ไทโจนำไม้นวดแป้ง มานวดแป้งลงกับเขียงไม้
"นวดแป้งให้ได้แป้งหนาประมาณ 1 ซม. นะ" ไทโจหันมาสอน
จากนั้นก็หยิบถ้วนน้ำชา กดคว่ำลงกับแป้งที่นวดไว้จนขาดออกจากกัน ก็จะได้แป็งแป้งก้อนกลมๆแบนๆ รูปร่างคล้ายสโคน เพียงเท่านี้เราก็ได้สโคนโฮมเมดแบบง่ายๆแล้ว
ไทโจปล่อยให้ฉันและทรายสนุกสนานกับการนวดแป้งและทำสโคนด้วยกันลำพัง เหมือนปล่อยให้เด็กๆเล่นของเล่นชิ้นใหม่ยังไงอย่างงั้น
2
ในชีวิตนี้เราจะได้ตัดต้นไผ่ด้วยเลื่อยกันสักกี่ครั้ง
ลองคิดดูดีๆฉันคงไม่มีโอกาสสัมผัสงานข้างต้น และคงไม่มีวันรู้เลยว่ามันเป็นงานที่ค่อนข้างหนักหนาเอาการ!
เนื่องจากที่แปลงผักของไทโจ สาเหตุที่รั้วไฟฟ้าพังสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ กิ่งไม้จากต้นไผ่ด้านข้าง เริ่มยาวและแผ่อิทธิพลลงมาที่รั้วไฟฟ้า ทำให้ไฟช็อต รั้วจึงพัง ดังนั้นเราต้องกำจัดกิ่งไม้ หรือแม้แต่ต้นไผ่ที่เป็นต้นเหตุนั่นเอง
เลื่อยที่มีเป็นเลื่อยเล็กๆ ขนาดถือหนึ่งมือ การโค่นต้นไผ่จึงต้องเลื่อยซ้ำไปมา ณ จุดเดิมอยู่พักใหญ่ จนล้มต้นไผ่ลงมาได้ จากนั้นจะใช้กรรไกรขนาดใหญ่ตัดกิ่่งไผ่ทั้งหมดออก เพื่อนำต้นไผ่ไปใช้ต่อไป
งานต่อมาคือเพาะเมล็ดถั่ว งานนี้ค่อนข้างง่าย เพราะไทโจจะขุดหลุมสำหรับลงเมล็ดไว้ให้แล้ว ที่เราต้องทำมีแค่นำเมล็ดหยอดใส่หลุม นำดินมากองข้างๆเมล็ด (ไม่กลบ) เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็รดน้ำ เป็นอันเสร็จ
ระหว่างที่ฉันทำงานไป ไทโจก็จะเตรียมหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาคลุมบริเวณที่ไม่ได้ลงเมล็ดไว้ เพื่อไม่ให้หญ้าขึ้น บางครั้งเธอก็จะก้มลงอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เก่าๆกองนั้นพร้อมออกเสียงไปด้วย ตลกมาก มาอ่านอะไรตอนนี้
ไทโจเป็นคนที่ชอบพูดอะไรๆออกมาอยู่คนเดียวเสมอ (หรือบางทีอาจจะพูดกับสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอื่นๆ ฉันก็ไม่แน่ใจ) บางครั้งก็จะมีเสียงชวนสงสัย บางครั้งขุดดินไปโดนไส้เดือนก็ขอโทษขอโพยยกใหญ่ นี่กระมังคือเคล็ดลับของการอยู่รอดในป่าเขา และธรรมชาติ เพื่อให้ไม่เหงาจนเกินไป
งานสุดท้ายคือใส่ปุ๋ยให้กับต้นแตงโมที่ต้นเล็กมากจนดูไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร แต่จุดที่ปลูกแตงโมจะเด่นกว่าใครเพื่อน เนื่องจากจะปลูกอยู่บนกองดินสูงเหมือนภูเขาน้อยๆ หนึ่งต้นต่อภูเขาหนึ่งลูก วิธีการก็คือ เราต้องโกยดินบนภูเขาลงมากองข้างๆก่อน แล้วจึงนำปุ๋ยใส่เข้าไป จากนั้นให้กลบด้วยดินที่โกยลงมาตอนแรกอีกที
เพราะอากาศร้อนและงานวันนี้ก็ค่อนข้างหนัก พวกเราเหงื่อท่วมตัว จึงเลิกงานเล็กกว่าทุกวันที่ผ่านมา
"ร้อนมาก เดี๋ยวแวะว่ายน้ำที่ทะเลกันเถอะ" ไทโจเสนอวิธีคลายร้อนขณะขับรถ
รถตู้สีขาวจอดนิ่งอยู่ข้างทาง ไทโจเดินนำมุ่งหน้าไปที่ทะเล แม้ว่าหาดจะเป็นหาดหิน ไม่สวยเท่าหาดทรายละเอียดที่บ้านเรา แต่น้ำใส คลื่นกำลังดี ที่สำคัญคือไม่เหนียวตัว คงเป็นเพราะจุดที่พวกเราอยู่เป็นจุดที่มีแม่น้ำไหลมาบรรจบกับทะเลพอดี ฉันเดาว่าเป็นแม่น้ำสายเดียวกับที่อยู่ใกล้แปลงผักของไทโจ
ไทโจถอดเสื้อออก และทำท่ากำลังจะถอดกางเกง แต่หันมามองพวกเราก่อนจึงลังเล ถามว่าพวกเราจะถอดกันหรือเปล่า ฉันและทรายยืนยันที่จะใส่ทั้งชุดนี้ลงเล่นน้ำ เธอกลัวพวกเราจะหักหลังไม่ยอมลงเล่นน้ำ จึงจับมือและลากฉันกับทรายลงทะเล
ไทโจกำลังว่ายน้ำอยู่ตรงโน้น
ว่ายน้ำในความหมายของการว่ายน้ำจริงๆ ไม่ใช่แค่เล่นน้ำ เธอว่ายท่าฟรีสไตล์ไปมาอยู่พักใหญ่ ฉันและทรายก็ว่ายน้ำเช่นกัน นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้ว่ายน้ำจริงๆจังๆในทะเล ความรู้สึกตอนได้ว่ายน้ำหลังจากที่ทำงานเหนื่อยๆ ในทะเลกว้างและไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา เป็นความรู้สึกที่มีความสุขมากจนไม่อยากขึ้นจากน้ำเลย
เมื่อกลับถึงบ้าน ไทโจเรียกไปอาบน้ำทันที เพราะกลัวจะไม่สบาย
มื้อกลางวันวันนี้มีแค่พวกเราสามสาว เพราะอายังพก 'โอะเบนโตะ' หรือกล่องข้าวญี่ปุ่นไปกินที่ไร่ด้วย จึงเหลือกันแค่สามสาว มื้อนี้เป็นข้าวแกงกะหรี่ที่กินเมื่อคืน กับต้มผักกะหล่ำและหัวไชเท้าคล้ายๆต้มจับฉ่าย
สโคนที่ทำเมื่อเช้า นอนรออยู่ในเตาอบแล้ว ไทโจเตรียมน้ำร้อนเพื่อต้มชา เธอบอกว่าชาที่จะต้มเป็นแบบผสมหลายชา และมีใบมิ้นที่ไทโจไปเด็ดมาจากหน้าบ้านด้วย ทำให้ชาทั้งหมดถูกกลบไปด้วยกลิ่นมิ้นจางๆ ฉันที่ปกติไม่ชอบกินอะไรที่เป็นกลิ่นมิ้น เพราะรู้สึกเหมือนกำลังกินยาสีฟัน ไม่ก็หมากฝรั่ง แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าการกินสโคนอบใหม่ๆกับชามิ้นนั้นดีเหลือเกิน แม้ว่าสโคนจะรสชาติจืดๆ เพราะทำจากแป้งที่ทำจากธัญพืชอีกที แต่แน่นอนว่าพวกเราต้องบอกว่าอร่อย ก็นวดแป้งเองกับมือเลยนี่นา
3
บ่ายนี้ไม่มีไทโจ
ไทโจบอกพวกเราตั้งแต่เช้าแล้วว่า ช่วงบ่ายอาจจะต้องให้เราไปที่แปลงผักกันเองนะ เพราะเธอต้องไปทำธุระอีกที่หนึ่ง และขอโทษที่ไม่ได้ไปด้วย ฉันกับทรายพอรู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรบ้าง จึงบอกไทโจว่าไม่ต้องเป็นห่วง
เราเดินจากบ้านไปที่แปลงผัก หากใช้วิธีนั่งรถไปเหมือนปกติจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ครั้งนี้จึงกินเวลาค่อนข้างนานหน่อย แต่ไม่เบื่อเลย เพราะสองข้างทางมีอะไรให้ดูตลอด เส้นทางค่อนข้างง่าย คือเดินเลียบถนนที่ติดแม่น้ำไปเรื่อยๆเท่านั้น
ฉันและทรายทำงานแบบไม่หยุดพัก ยาวจนถึงห้าโมงเย็น และการได้แวะลงไปทำธุระที่แม่น้ำบ้างก็ช่วยให้คลายเหนื่อยได้ไม่น้อย แต่ที่พวกเรามีกำลังใจในการทำงานตลอดบ่ายนี้เพราะเราตกลงกันว่า หลังจากเสร็จจากงานแล้วไปว่ายน้ำที่ทะเลกันอีกรอบ
พวกเราได้กระโดดลงทะเลสมใจอยาก คราวนี้ว่ายนานหน่อย เราต่างคนต่างว่ายกันอยู่พักใหญ่ เหมือนทั้งฉันและทรายกำลังปล่อยตัวปล่อยใจไปกับทะเล ต่างคนต่างกำลังผ่อนคลายร่างกายและจิตใจโดยให้ธรรมชาติช่วยบำบัด
4
เสียงเปียโนดังออกมา เมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน ไทโจกำลังซ้อมเปียโนอยู่ เพราะวันนี้ต้องไปเล่นเปียโนให้แขกโรงแรมแห่งหนึ่งฟัง เธอมีรายได้เล็กน้อยจากการไปเล่นเปียโนและร้องเพลงที่โรงแรมแห่งนี้ ไทโจเริ่มบรรเลงเสียงเปียโนสดใสเคล้าไปกับเสียงร้องนุ่มๆแต่ทว่ามีพลังอีกครั้งก่อนเริ่มมื้อเย็น
อาหารเย็นวันนี้เป็นผักต้มหม้อใหญ่ หมูผัดซอสกับหัวหอมและมะเขือเทศ ฉันชอบที่ไม่ว่าไทโจและอายังจะยุ่งมากแค่ไหน แต่พวกเขาทำอาหารกินกันเองทุกมื้อ มื้อเช้าจะเหมือนเดิมทุกๆวัน คือไข่ม้วนกับมิโสะซุป ส่วนมื้อกลางวันจะเป็นอะไรที่ทำง่ายๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอุด้งหรือบะหมี่ ส่วนมื้อเย็นก็แล้วแต่วัน แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย
ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดดังจากในครัว ไทโจลืมขนมปังไว้ในเตา ทำให้ขนมปังไหม้นิดหน่อย แต่เธอก็โวยวายและขอโทษพวกเราที่ทำมันไหม้
ไทโจรีบออกจากบ้านพร้อมชุดสวย พร้อมสำหรับการเล่นดนตรีคืนนี้
เหลือแค่พวกเรากับอายังนั่งคุยกัน อายังสอนพวกเราพูดภาษาท้องถิ่นของคนโอซาก้า บอกว่าเป็นคำสองคำที่คนที่อื่นจะไม่รู้จัก แต่ถ้าคนโอซาก้าได้ยิน จะตกใจและชอบใจมากหากพวกเรา (โดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาติ) พูดได้ นั่นคือคำว่า
"หนั่นเด๊ะอาเด่น" แปลว่า ทำไม และ
"ฮมพาไก๊หน่า" แปลว่า จริงหรือ
เราซ้อมกันไป หัวเราะกันไป อายังจำลองสถานการณ์เพื่อให้เราได้ฝึกกัน จนฉันจำมันได้ขึ้นใจ อายังหัวเราะชอบใจ ก่อนขอตัวไปนอนหลังจากจิบสาเกไปประมาณหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in