เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I ROAM ALONEBANLUEBOOKS
01 วันแรกในปักกิ่ง
  • ฉันมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่งตอนห้าโมงเย็น ตามประสานักท่องเที่ยวตัวคนเดียว ไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจ ฉันจึงใช้สิทธิ์เด็ดขาด สั่งตัวเองให้ไปที่พักเพื่อเก็บของทันที
       
    ที่พักของฉันตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้ามและจัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen) สองข้างทางเลยคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยร้านค้า มีป้ายไฟสีสันสดใสติดอยู่เต็มไปหมด แต่ความที่ฉันเพิ่งจะมาถึงและร้างมือจากการเที่ยวคนเดียวไปนาน จะให้ไปลุยแสงสีตั้งแต่วันแรกก็กลัวจะพลาดท่า ฉันเลยติดต่อพี่เดี่ยวกับพี่ออม สองสามีภรรยาชาวไทยที่ทำงานอยู่ปักกิ่งเพื่อนัดกินข้าวด้วย
       
    ฉันไม่รู้จักพวกเขามาก่อน (อ้าว) แถมไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เคยแต่เห็นหน้าค่าตากันผ่านรูปในอินเทอร์เน็ต คุยกันก็ผ่านทางเฟซบุ๊ค แต่ทันทีที่ทั้งคู่รู้ว่าฉันจะมาปักกิ่ง พวกเขาก็บอกให้ฉันติดต่อได้ทุกเมื่อ
       
    “อยากกินอะไรมิ้นท์” พี่เดี่ยวให้ฉันเลือกเมนูที่ต้องการโดยไม่มีท่าทีของความเป็นคนแปลกหน้า
    “เป็ดปักกิ่งค่ะ” ฉันตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะนี่เป็นเมนูที่ฉันตั้งตารอเมื่อมาถึงกรุงปักกิ่ง
       
    หลังจากปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง พี่เดี่ยวและพี่ออมก็พาฉันไปที่ร้าน Sijiminfu ร้านโปรดของทั้งคู่ ที่หน้าร้านมีเป็ดตัวขาวซีดถูกแขวนอยู่ ตัวร้านโดยรวมไม่ใหญ่มาก มีโต๊ะแค่ไม่กี่ตัว แต่ขอโทษ...พนักงานเพียบ!
       
    ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าการกินเป็ดนั้นมีวิธีหลากหลาย และเมื่อมาถึงถิ่นต้นตำรับแล้ว แน่นอนว่าจะมีพนักงานมาโชว์ให้ดูว่ากินแบบไหนถึงจะถูกต้อง แต่ฉันไม่สนอะไรทั้งสิ้น นาทีนั้นขอได้เอาเป็ดเข้าปาก จะวิธีไหนก็ได้ ขอให้ได้กินเป็นพอ

    กินกันจนอิ่มหนำสำราญ พวกเราก็ย้ายร่างไปที่นานลัวกูเซียง (Nanluo-guxiang) ย่านรวมร้านขายของกระจุกกระจิก ร้านกาแฟน่ารัก ผับบาร์เก๋ๆ รวมไปถึงโฮสเทลอีกหลายแห่ง
       
    หลังจากเดินเล่นสักพัก พวกเราก็ตัดสินใจเดินเข้าร้านกินดื่ม นั่งจิบเบียร์คุยกันเป็นชั่วโมงๆ ฉันรู้สึกสนิทใจกับพี่ทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ นี่คือการพบกันครั้งแรก
       
    พี่เดี่ยวเป็นสถาปนิกหนุ่ม เรียนจบจากสถาบันเดียวกับฉัน (บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันสนิทกับพี่เขาได้ง่าย) เป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง ฟังพูดภาษาจีนได้กล้อมแกล้ม ถ้าประโยคไหนไม่เข้าใจ พี่เขาก็จะตอบว่า “Dou ke yi” (โตวเขออี่) แปลว่า “ได้หมดครับน้อง”
       
    ส่วนพี่ออมก็เป็นสถาปนิกเหมือนกัน อารมณ์ดี ยิ้มง่ายไม่แพ้พี่เดี่ยว ฟังพูดภาษาจีนคล่องปรื๋อ ทั้งยังมีความสนใจหลากหลาย ไม่ว่าฉันพูดเรื่องอะไร พี่ออมก็มักจะมีเกร็ดความรู้มาฝากเสมอ และต่อไปนี้คือ ห้าเกร็ดความรู้ที่ฉันได้มาจากพี่ออม
       
    หนึ่ง—คนจีนขากเสลด เพราะเชื่อว่าน้ำลายไม่ดีต่อสุขภาพ

    สอง—เวลาไปห้องน้ำตามชนบทแล้วเจอถังสองใบไม่ต้องตกใจไป ถังใบหนึ่งจะมีก้อนหินเอาไว้ให้เราเช็ดก้น (ใช่ค่ะ เช็ดก้น) ส่วนถังใบที่สองก็จะบรรจุน้ำเอาไว้ให้เรานำก้อนหินที่ใช้แล้วมาใส่ พอตกเย็นก็จะมีคนยกถังไปล้างหินที่แม่น้ำ จากนั้นก็นำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการรีไซเคิลและช่วยลดโลกร้อนไปในตัว…
       
    สาม—ทุกอย่างที่จีนคูณสามหมด ไม่ว่าจะเป็นถนนที่กว้างคูณสาม ตึกอาคารที่ใหญ่คูณสาม สั่งอาหารก็ได้เยอะคูณสาม ไปจนถึงระดับความดังเสียงที่คูณสามเหมือนกัน
       
    สี่—ที่คนจีนพูดเสียงดังเป็นเพราะแบบเรียนยุค 80s บอกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องพูดจาฉะฉาน ต้องตอบคำถามชัดเจน ต้องพูดเสียงดังฟังชัด...ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนเลยพูดเสียงดังกันหมด
       
    ห้า—ร้านอาหารที่จีนจะมีแต่แบบถูกสุดๆ กับแพงมากไปเลย ว่ากันว่าเพราะคนรวยอยากแบ่งชนชั้นกับคนจนให้ชัดเจน
       
    การคุยกับพี่เดี่ยวและพี่ออม ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดกับคนจีนใหม่ จากเดิมที่ชอบบ่นว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ชอบถ่มถุยน้ำลาย ชอบคุยกันเสียงดัง ฉันก็เริ่มเข้าใจที่มาที่ไป มองพวกเขาในมุมใหม่ แถมยังได้ทบทวนตัวเองด้วยว่าก่อนที่จะตัดสินหรือไปว่าใคร ฉันควรจะตั้งคำถามก่อนว่า ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น? ทำไมเขาถึงมีความคิดแบบนั้น?
       
    เพราะบางทีก็ลืมไปว่า ฉันเดินทางเพื่อ ‘เรียนรู้’ ไม่ใช่เพื่อ ‘ตัดสิน’

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in