ลุงคิมบอกว่าวัยรุ่นชอบกังวลว่าจะสายเกินไป แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราลองคิดว่าหนึ่งชีวิตคนเราเท่ากับหนึ่งวัน วัยยี่สิบต้นๆ ก็เหมือนแค่เวลา 7-8 โมงเช้าเท่านั้นเอง ยังมีเวลาอีกทั้งวันให้เราใช้ชีวิต
ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเองตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่นแต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ต้องรอคอย
จงเตรียมตัวให้พร้อม
เพราะเมื่อชีวิตเดินทางมาถึงวันสุดท้ายเค้าว่ากันที่สิ่งที่คุณประสบความสำเร็จมากที่สุด ไม่ใช่ก่อนหลัง
ประเด็นนี้ทำให้ผมนึกถึง info graphic "Too late to learn ?"
เครดิตภาพ หรือถ้าเห็นไม่ชัดคลิกเข้าไปดูได้ครับ
ดูภาพนี้แล้ว มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย อย่าง มาร์ธา สจว๊จต ก่อน 35 นี่ไม่เคยทำเกี่ยวกับสิ่งที่เธอดังเลย ถ้าตั้งใจจริงน่ะ ไม่มีอะไรสายเกินเรียนแน่นอน
ลุงคิมเชียร์ให้เด็กทุกคนพยายามทำตามความฝันของตัวเอง เขาเชื่อว่าถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบแล้วนั้น เราจะทำมันได้ดีและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เงินไม่ใช่คำตอบของชีวิต แต่ความภูมิใจจากงานที่เราทำต่างหากจะเติทเต็มให้ชีวิตไม่รู้สึกว่างเปล่า
ถ้าเราเลือกเรียนเพราะนึกถึงแค่เพียงความมั่นคงและรายได้ที่สูงเลือกเพราะเป็นอาชีพที่ทุกคนชื่นชม แต่ไม่ใช่ความปราถนาที่แท้จริงของตัวเอง ก็ถือว่าชีวิตที่ต้องดำรงอยู่ด้วยอาชีพนี้ช่างไร้ค่าและว่างเปล่าเหลือเกิน
อันนี้เจ็บจัง รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นอย่างที่ลุงบอก แต่เอาจริง ความปราถนาที่แท้จริง ก็ไม่ใช่อะไรที่จะบรรลุกันได้ง่ายๆ เสียหน่อย ลุงบอกว่าเด็กทุกคนต้องมีความฝันและความชอบอยู่ เพียงแต่บางทีก็กลัวความผิดหวัง เพราะหนทางสู่แสงสว่างนั้น ไม่ได้ง่ายดายเลย
"ผมเดินไปตามถนน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ผ่านมาผมมีความฝันเพียงอย่างเดียวคือจะต้องกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยที่ต้นเองเรียนจบมาให้ได้ไม่ว่าจะขับรถหรือฟังดนตรี ผมก็เฝ้าคิดถึงแต่ความฝันนี้เท่านั้นคิดเสมอว่าเพื่อเป็นอาจารย์ที่ดี จะต้องเขียนวิทยานิพนธ์ให้ดีที่สุดผมเริ่มดีดเปียโน ทุกครั้งร่างกายจะสั้นสะท้านเพราะความหดหู่และความท้อใจกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริงบทสรุปอาจยังไม่ปรากฏแน่ชัดแต่ผมอย่างจะยืนหยัดกับความฝันนี้ผมเหมือนจมดิ่งอยู่ในบ่อโคลนดู ทีละน้อยทีละนิดอย่างช้าๆ จนสุดท้ายก็ไม่อาจฉุดรั้งตัวเองขึ้นมาจากความฝันที่ล้ำลึกนี้ได้ไม่รู้ว่าเมื่อไรความฝันนี้จะเป็นจริงไม่มีหลักประกันที่มั่นคงให้ชีวิตอาจต้องรอคอยจนริ้วรอยแห่งการเวลาปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าแต่ก็ขอเลือกที่จะรอคอยความฝันอันร้อนรุ่มนี้ต่อไป"
ลุงคิมบรรยายว่า เฮ้ย ข้าก็เคยรู้สึกสิ้นหวังเหมือนกับพวกเอ็งนะเว่ย ความรู้สึกที่ไม่รู้เมื่อไรจะเข้าใกล้ความฝันเสียที แต่ว่าอย่ายอมแพ้ดิ หันกลับมาประเมิณตัวเองดีๆ แล้วสู้ต่อให้ดีที่สุด พอมีเป้าหมายแล้วก็ต้องมีวิธีการที่จะไปถึงเป้านั้นเอาไว้ด้วย
สิ่งที่คนหนุ่มสาวขาดไป คือการทบทวนตัวเอง หากปฎิบัติผิดวิธีก็ไม่ต่างจาการนำผ้าขี้ริ้วสกปรกมาทำความสะอาดบ้าน ถ้าไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีความหมาย ถ้าวิธีทำไม่ถูกต้องก็ไร้ค่าและถ้าไม่ลงมือปฎิบัติจริงก็ไม่มีทางสำเร็จได้
คนที่ประสบความสำเร็จแตกต่างกับคนทั่วไป นั่นคือสามารถย้อนมองตัวได้
ไม่ใช่แค่บทเพลงหรือกวีเท่านั้นชีวิตจำเป็นต้องมีเสียงสัมผัสที่สอดประมานเช่นกัน ทุกคนสามารถเป็นกวีแห่งชีวิตได้เพียงแค่สร้างกฎขึ้นมาควบคุม
คุณมีข้อบังคับให้ตัวเองทำตามหรือเปล่า
ในชีวิตคุณมีจังหวะและกฎเกณฑ์บ้างไหม
เสียงสัมผัสในชีวิตของคุณคืออะไร
โหย อิมแพคโคตรๆ อ่านเสร็จต้องหยุดเลยเลยว่า อือ ธงในชีวิตเราคืออะไร เราตื่นมาในแต่ละวัน ดำเนินชีวิตโดยยึดถือหลักไหน ในการพัฒนาตัวเองไปถึงเป้าหมายบ้าง
บางคนอาจจะเถียงเรื่องแรงกดดันจาก พ่อแม่ ผู้ใหญ่ หรือค่านิยมจากสังคมรอบข้าง
ลุงคิมก็ค้านว่า
เชื่อสิว่าการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการเรียนจบจากมหาวิททยาลัยชื่อดังแน่นอน ถ้ารู้ว่าจะต้องแบกสัมภาระหนักอึ้งไว้บนหลังหากของเหล่านั้นเป็นของคุณเอง คุณจะรู้สึกเบากว่า
เป็น statement ที่จริงและผมชอบมากๆ
สิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่ถูกปลูกฝังมา ไม่สามารถใช้กำหนดอนาคตของคุณได้
ถึงแม้พ่อแม่จะบอกว่า สิ่งที่เลือกให้ลูกดีที่สุดแล้วแต่คุณควรตัดสินด้วยตัวเอง เพราะคุณคือเจ้าของชีวิตที่แท้จริงชีวิตถูกถักทอขึ้นจากความพึงพอใจและความเสียใจ เพื่อให้ความสุขและทุกข์สมดุลลกันคุณจะต้องตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเอง
ฟังคำปลุกใจมาจนฮึกเหิมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเรายังจับต้นชนปลายกับชีวิตไม่ถูก
จงเขียนความสามารถที่แท้จริงและความฝันของคุณลงในกระดาษ
คำตอบนั้นอยู่ในตัวคุณ
(จบตอนที่1)
สงบใจดีค่ะ
เห็นด้วยเลยครับ รู้สึกได้พลังติดบวกทุกครั้งที่พลิกอ่านเลย : )