เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
X-Men First Class fanfictionTippuri~ii*
By Your Side
  • By Your Side 
    X-Men: First Class Fanfiction by Tippuri~ii * 

     Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

    * แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบังเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ * 

      – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –   

                   

    Moment 1: morning

     

     

     

    ห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องสมุดในตัวของคฤหาสน์ตระกูลเซเวียร์นั้นถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผนังอิฐสีแดงเก่าแก่และเครื่องเรือนที่ทำจากไม้เนื้อดี บรรยากาศของห้องดูอบอุ่นแบบย้อนยุคเพราะชั้นหนังสือที่โอบล้อมและโคมไฟแบบโบราณ

                  

     

     

     

    หากตอนนี้…คนในห้องไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะมาชื่นชมความสวยงามรอบตัว

     

     

     

     

    “ยอดเยี่ยมจริงๆ แฮงค์” ชาร์ลส์ เซเวียร์ยิ้มกว้างเมื่อได้ทราบว่าซีรีโบรเครื่องใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว…เขาขอร้องให้เด็กหนุ่มตรงหน้าลองสร้างเครื่องตรวจจับคลื่นสมองที่ว่านี้ขึ้นมาใหม่จากผังที่เจ้าตัวพอจะจำได้ และแค่ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่เหล่ามิวแทนต์ได้มาพำนักที่คฤหาสน์เซเวียร์…อัจฉริยะของทีมก็ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อย

     

     

     

     

     

    “มะ…ไม่หรอกครับ” แฮงค์ตอบ “ผมแค่สร้างตามพิมพ์ที่ผมจำได้เท่านั้นเอง…อาจจะตกๆ หล่นๆ อะไรไปก็ได้…”

     

     

     

     

     

    “แล้วตกลงมันใช่ได้หรือไม่ได้กันแน่ล่ะ?” เสียงถามห้วนๆ ลอยมาจากร่างสูงของคนอีกคนในห้องที่ยืนเยื้องไปจากชายหนุ่มผมดำ…สายตาดุๆ ที่จ้องเขม็งของอีริค เลนเชอร์ทำให้เด็กหนุ่มดูกระวนกระวายมากกว่าเดิม

     

     

     

     

    “เอ่อ…ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนะครับ…แต่…”

     

     

     

     

     

    เสียงทุ้มกล่าวต่อ…ทุกคำคาดคั้นและกดดัน

     

     

     

     

    “มันจะทำงานได้เรียบร้อยไหม? มันจะอันตรายกับคนที่ใช้รึเปล่า?…ตอบฉันมาซิ”

     

     

     

     

     

    “อีริค” เสียงนุ่มแทรกขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินมองเจ้าของชื่อด้วยสายตาปรามๆ ก่อนจะยิ้มให้ผู้ที่อ่อนวัยกว่า “ขอบใจนะ แฮงค์…เธอเก่งมาก”

     

     

     

     

     

    “แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้รึเปล่านะครับ” ดวงตาใต้เลนส์แว่นยังคงมีแววลังเล “ถ้าพลาดขึ้นมา…”

     

     

     

     

    สีหน้าเฉยชาของอีริคไม่เปลี่ยนแปลง…แต่ดวงตาสีเหล็กวาวโรจน์เมื่อได้ฟัง หากชายหนุ่มผมดำไม่ได้สนใจ…เขายิ้มอย่างใจดีพลางตบบ่าของร่างโปร่งเบาๆ

     

     

     

     

    “จะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้…นั่นคือปัญหา” เสียงนุ่มกล่าวติดตลกโดยการอ้างประโยคจากบทละครคลาสสิค “ทางเดียวที่จะรู้ได้ก็คือลองใช้มันซะ…ถูกมั้ย?”

     

     

     

     

     

    “ชาร์ลส์…” เสียงทุ้มกล่าวแทรกขึ้น…ความไม่เห็นด้วยฉายชัด หากเจ้าของชื่อก็พูดต่อไปกับเด็กหนุ่ม

     

     

     

     

     

    “เธอเป็นอัจฉริยะของอัจฉริยะ” นัยน์ตาสีน้ำเงินอบอุ่นมองตรง เขามองเห็นความไม่มั่นใจในตัวเองของอีกฝ่ายชัดเจน…และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมี “ภูมิใจในตัวเองเถอะ แฮงค์”

     

     

     

     

     

    สีหน้าของเด็กหนุ่มสดใสขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งจะขอตัวออกไปเตรียมการทุกอย่าง ชาร์ลส์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พร้อมรอยยิ้ม…ไม่ได้สังเกตถึงความไม่พอใจที่ระบายจางๆ อยู่บนใบหน้าคมของชายหนุ่มอีกคน

     

     

     

     

     

     

     

    ******

     

     

    Moment 2: noon

     

     

     

    ห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องสมุดในตัวของคฤหาสน์ตระกูลเซเวียร์นั้นถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผนังอิฐสีแดงเก่าแก่และเครื่องเรือนที่ทำจากไม้เนื้อดี บรรยากาศของห้องดูอบอุ่นแบบย้อนยุคเพราะชั้นหนังสือที่โอบล้อมและโคมไฟแบบโบราณ

                  

     

     

     

    หากตอนนี้…เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะมาชื่นชมความสวยงามรอบตัว

                  

     

     

     

    ชาร์ลส์ เซเวียร์นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ถูกซ่อนอยู่หลังเปลือกตา ลมหายหนักๆ ถูกระบายเป็นจังหวะ วงหน้าที่มักจะมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอตอนนี้ซีดเซียว

               

           ปวดหัว… 

     

     

     

                  

    เขาตกลงที่จะลองใช้ซีรีโบรที่สร้างใหม่…การทดลองครั้งแรกสำเร็จอย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาสามารถระบุที่อยู่ของเหล่ามิวแทนต์ได้ดังเดิมแล้ว และทุกอย่างก็ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

     

     

     

     

     

    …ยกเว้นอาการปวดหัวที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

     

     

     

     

    ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง…อาการไม่ได้รุนแรงแต่ก็ไม่ยอมหายไปสักที และเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขารู้สึกไม่สบายเพราะการใช้ซีรีโบรเครื่องใหม่…ชาร์ลส์นึกหน้าคนที่จะสั่งห้ามเขาเข้าใกล้เครื่องตรวจจับคลื่นสมองนั่นเป็นครั้งที่สองได้อย่างชัดเจน

     

     

     

     

    เสียงเปิดประตูห้องทำให้คนที่นอนอยู่แอบสะดุ้งแล้วรีบหลับตาลง…ห้องนี้เป็นที่รู้กันดีของเหล่าสมาชิกร่วมคฤหาสน์ว่าเป็นสถานที่ส่วนตัวของเขา แต่แน่นอนว่าเหล่าคนที่เคารพกฎพื้นฐานข้อนี้ไม่ได้รวมใครคนหนึ่งไว้

     

     

     

     

    อีริค เลนเชอร์ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องและก้มลงมองร่างสมส่วนที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาว…เขาเฉลียวใจอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ขอตัวออกมาขณะทุกคนกำลังแสดงความยินดี ไม่มีใครสงสัยอะไร…แต่อีริคไม่พลาดที่จะมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มผมดำ สิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

     

     

     

     

    ร่างสูงจ้องมองด้วยสายตาคมกริบเสียจนคนที่แกล้งนอนหลับตาพริ้มอยู่เริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ…และแน่นอนว่าเปลือกตาที่ขยับยุกยิกนั้นก็ไม่หลุดรอดการมองของคนตาไวไปได้

     

     

     

     

    “ไม่ต้องมาแกล้งหลับ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม…น้ำเสียงคาดคั้นชัดเจน “นายเป็นอะไร ชาร์ลส์?”

     

     

     

     

    คนฟังถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วตอบเสียงค่อย “ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”

     

     

     

     

    อีริคครางฮึในลำคอ…สิ่งที่เขาเดาไม่ผิดเลย ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งตรงพื้นที่ว่างบนเก้าอี้ยาว “เพราะไอ้เครื่องบ้านั่นใช่มั้ย…คราวนี้เชื่อฉันหรือยังว่านายน่ะเป็นหนูทดลอง?”

     

     

     

     

     

    “นายเคยมองอะไรในแง่ดีบ้างไหมนะ อีริค” ชาร์ลส์หัวเราะอ่อนแรง “แฮงค์ออกแบบเครื่องนี้มาสำหรับฉันโดยเฉพาะ…แล้วเขาจะไปเอาใครที่ไหนมาทดลองใช้ได้ถ้าไม่ใช่ฉันน่ะ?”

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ยังเห็นท่าทีหงุดหงิดของชายหนุ่มข้างกายชัดเจน เสียงนุ่มจึงกล่าวต่อ

     

     

     

     

    “ซีรีโบรเครื่องใหม่จะทำให้เรามีโอกาสรวบรวมพวกเดียวกันได้เหมือนเดิม อีริค” ความสุขฉายชัดในน้ำเสียง “เพราะงั้นแค่ปวดหัวนิดหน่อยแค่นี้น่ะสบายมาก…เลิกทำเหมือนว่าเครื่องนั่นมันจะฆ่าฉันซะทีน่า”

     

     

     

     

    “ให้ตายเถอะชาร์ลส์ ฉันเริ่มจะเชื่อจริงจังแล้วนะว่านายเป็นนักบุญ ไม่ใช่ศาสตราจารย์” อีริคประชด “ไอ้การเสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวมแบบนี้ของนายมันทำให้ฉันหงุดหงิดจริงๆ เลยรู้ไหม”

     

     

     

     

    ชาร์ลส์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดชะงักกลางคันเมื่ออาการปวดหัวแล่นริ้ว นั่นทำให้อีริคยุติการพูดจาเสียดสีทั้งหมดแล้วเขยิบเข้าไปใกล้ ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอตอนนี้ดูว้าวุ่น…มือใหญ่แตะหน้าผากของร่างที่นอนอยู่แล้วถามอย่างร้อนใจ

     

     

     

     

     

    “ปวดมากเลยรึเปล่า?”

     

     

     

     

     

    “มันจี๊ดๆ…” เสียงนุ่มพยายามอธิบาย “คล้ายๆ…อืม…คล้ายๆ ไมเกรนล่ะมั้ง…ฉันพูดไม่ค่อยถูกแฮะ”

     

     

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีเทานิ่งมองชั่วครู่อย่างใช้ความคิด…ก่อนที่มือใหญ่ช้อนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำนั้นให้มาอยู่บนตักตัวเอง นิ้วเรียวยาวค่อยๆ กดตรงขมับทั้งสองข้างของร่างที่นอนอยู่เบาๆ เป็นจังหวะวนเวียนเชื่องช้า

     

     

     

     

     

     

    “ดีขึ้นรึเปล่า?” เสียงทุ้มถาม…ความห่วงใยฉายชัดในน้ำเสียง ชาร์ลส์พยักหน้าเบาๆ โดยไม่ลืมตา…สัมผัสเย็นๆ จากนิ้วมือของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกสบายขึ้นอย่างน่าประหลาด

     

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปในความเงียบ คนปวดหัวหายใจช้าๆ…ซึมซับความสบายใจที่โอบล้อมเอาไว้ นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ค่อยๆ ปรือเปิดขึ้น…สบประสานกับนัยน์ตาสีเทาที่กำลังจับจ้อง

     

           ถ้าอีริครู้คงจะโกรธ…แต่ตอนนี้ เขากำลังมีความสุขที่เห็นอีกฝ่ายร้อนรนเพราะเป็นห่วงตน 

     

     

     

     

     

     

    เมื่อเห็นว่าเขาลืมตา อีริคก็ละมือ เสียงทุ้มถามเรียบๆ

     

     

     

     

    “หายแล้วใช่ไหม?”

     

     

     

     

    ร่างสมส่วนค่อยๆ หยัดตัวขึ้นนั่ง รอยยิ้มนุ่มนวลกลับคืนมาบนริมฝีปาก “อืม…ขอบใจนะ อีริค”

     

     

     

     

    “ดีแล้ว” อีกฝ่ายตอบนิ่งๆ…แต่ชาร์ลส์ก็จับได้ถึงกระแสความไม่พอใจในน้ำเสียง ชายหนุ่มจึงคว้ามือของร่างสูงเอาไว้แล้วเอ่ยถามตรงๆ

     

     

     

     

     

    “นายโกรธฉันใช่ไหม อีริค?” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างสำนึกผิด “ฉันขอโทษ…ฉันจะไม่ทำเรื่องเสี่ยงๆ อีกแล้ว”

     

     

     

     

     

    ความเงียบปกคลุมระหว่างทั้งสองชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มผมน้ำตาลจะพูดขึ้น

     

     

     

     

    “ฉันไม่ได้โกรธที่นายทำเรื่องเสี่ยงๆ” วงหน้าหล่อเหลานั้นเสมองไปทางอื่นอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำทุกครั้งเวลามีเรื่องไม่พอใจ “แต่ฉันโกรธที่นายไม่ยอมบอกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น”

     

     

     

     

    ชายหนุ่มหันหน้ากลับมา…ดวงตาสีเทาจ้องตรงมาที่คู่สนทนา

     

     

     

     

     

    “ฉันเข้าใจว่านายอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด…เพราะงั้นฉันจะไม่ห้ามให้นายทำอะไรทั้งนั้น” เสียงทุ้มกล่าวเรียบนิ่ง “แต่ฉันไม่อยากให้นายฝืนตัวเอง…ถ้ามีอะไรที่ทำให้นายไม่สบาย นายก็ต้องพูดออกมา…ไม่ใช่เก็บไว้เองคนเดียวแบบนี้เข้าใจไหม?”

     

     

     

     

     

    “ก็ฉันไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงนี่” ชาร์ลแย้ง “ทุกคนยังเป็นแค่เด็กอยู่เลยนะ…ฉันอยากให้พวกเขามีความมั่นใจว่าฉันดูแลพวกเขาได้…”

     

     

     

     

     

     

    “นายอยากจะปิดบังไม่ให้ใครรู้ก็ตามใจ…แต่ต้องไม่ใช่ฉัน” เสียงทุ้มพูดขัดอย่างเฉียบขาด “นายไม่ต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าฉัน…เข้าใจไหม เพราะเรื่องแค่ว่านายไม่สบายหรืออ่อนแอไม่มีทางทำให้ฉันจากนายไปแน่นอน”

     

     

     

     

     

    นิ้วเรียวปัดปอยผมสีดำที่ระข้างแก้มให้อีกฝ่ายเบาๆ เสียงทุ้มกล่าวอ่อนโยน

     

     

     

     

     

     

    “ฉันจะอยู่กับนายเสมอ…ต่อให้นายไม่เหลืออะไรสักอย่างก็ตาม” ความหนักแน่นของคำพูดฉายชัดอยู่ในแววตาสีเหล็กคมกริบนั้น “เพราะสำหรับฉัน…อะไรอย่างอื่นไม่มีความหมายทั้งนั้น นายคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำได้แต่นิ่งฟัง…หัวใจเต้นแรงกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมา

     

     

     

     

     

     

     “จำเอาไว้นะชาร์ลส์…ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าที่สุดของฉันอยู่ในมือนาย…”

     

     

     

     

     

     

    มือใหญ่รวบมือของอีกฝ่ายที่เกี่ยวรั้งอยู่ขึ้น…ริมฝีปากอุ่นประทับแผ่วเบาบนมือเรียวบางนั้น ก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะจ้องตรง…สบประสานกับดวงตาสีน้ำเงินอย่างแน่วแน่

     

     

     

     

     

    “…ช่วยดูแลมันด้วย”

     

     

     

     

     

    มือใหญ่ผละออก…หากไออุ่นของจุมพิตกลับยังติดตรึง ชาร์ลส์ยังคงไม่อาจเอ่ยคำใด…สิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวนั้นเป็นประโยคสั้นๆ หากก็ทำให้ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งใจของคนฟัง

     

     

     

     

     

    “ได้สิ…” ในที่สุดชาร์ลส์ก็หาเสียงของตัวเองเจอ…คำตอบนั้นแผ่วเบาเพราะเจ้าตัวยังคงคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่

     

     

     

     

    อีริคยิ้มมุมบางๆ มือใหญ่เอื้อมไปไล้ผิวแก้มอีกฝ่าย…ก่อนจะเชยคางให้ตัวเองได้สบสายตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินสดใสนั้น

     

     

     

     

    “ขอบใจ”

     

     

     

     

    เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว…ก่อนที่ริมฝีปากจะประทับจุมพิตบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา สัมผัสนุ่มนวลที่ทำให้ใจของชายหนุ่มผมดำเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกอันหวานล้ำ

     

     

     

     

    มือเรียวเอื้อมไปประคองใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย…ชาร์ลส์มองลึกลงไปในดวงตาสีเทาเข้มที่น่าค้นหา ก่อนจะพูดเสียงเบาราวกับไม่อยากให้ใครอื่นได้ยินนอกจากคนตรงหน้า

     

     

     

     

    “ฉันดีใจมากเลยนะ…ที่มีนายอยู่ข้างๆ แบบนี้”

     

     

     

     

    อ้อมกอดอบอุ่นโอบรอบตัวเขา คำตอบที่เจือเสียงหัวเราะจางๆ นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์มีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง

     

     

     

     

     

    “…ฉันก็เหมือนกัน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ******

     

     

    Moment 3: evening

     

     

     

     

    ห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องสมุดในตัวของคฤหาสน์ตระกูลเซเวียร์นั้นถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยผนังอิฐสีแดงเก่าแก่และเครื่องเรือนที่ทำจากไม้เนื้อดี บรรยากาศของห้องดูอบอุ่นแบบย้อนยุคเพราะชั้นหนังสือที่โอบล้อมและโคมไฟแบบโบราณ

                  

     

     

     

    หากตอนนี้…ชายหนุ่มในห้องไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะมาชื่นชมความสวยงามรอบตัว

                  

     

     

     

     

    อีริค เลนเชอร์นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา นัยน์ตาสีเทาเข้มถูกซ่อนอยู่หลังเปลือกตา ลมหายใจถูกระบายเป็นจังหวะ…บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา

                  

     

     

     

    ประตูถูกเปิดออกเสียงเบา…ก่อนที่ร่างสมส่วนของผู้เป็นเจ้าบ้านจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้อง มือเรียวปิดบานประตูไม้ตามหลัง…แต่เสียงบานพับแผ่วเบาก็ยังเป็นที่ได้ยินในความเงียบ นัยน์ตาสีน้ำเงินที่ตวัดไปมองร่างสูงที่นอนอยู่…แอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับสบาย

                  

     

     

     

    ชาร์ลส์เอื้อมหยิบหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้ออกมาจากชั้น…แต่ก่อนที่จะได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมอีกตัว เสียงทุ้มก็ลอยมาจากร่างที่น่าจะกำลังหลับอยู่

                  

     

     

     

    “ชาร์ลส์หรือ?”

                  

     

     

     

    ร่างเพรียวก้าวไปใกล้เก้าอี้ยาว “ฉันเอง อีริค…นี่ฉันทำให้นายตื่นรึเปล่า?”

                  

     

     

     

    อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม มือใหญ่ตบแปะๆ บนพื้นที่ว่างบนเก้าอี้ยาวเป็นเชิงให้เขานั่งลงตรงนั้น ชาร์ลส์ยอมทำตามโดยดีแม้ว่าจะสงสัยว่าทำไม…คำถามของเขาได้รับคำตอบทันทีเมื่อศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลไหม้นั้นเลื่อนมาวางบนตักของเขาโดยไม่รอคำอนุญาตทันที่ที่เขาทิ้งตัวลงนั่ง

                  

     

     

     

    นัยน์ตาสีน้ำเงินมองเสี้ยวหน้าคมคายนั้นแล้วก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ…นึกอยากปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อบอกให้เลิกทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้เสียที แต่สุดท้าย…สีหน้าผ่อนคลายของคนที่หลับสบายก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

                  

     

     

     

     

    เพราะชาร์ลส์รู้ดี…ว่าอีริคไม่เคยทำตัวตามสบายแบบนี้กับใครอื่นนอกจากตัวเขาเอง

               

         แค่กับเขาคนเดียวเท่านั้น…

     

     

     

     

               

    มือเรียวพลิกหน้าหนังสือก่อนที่ชายหนุ่มจะเริ่มต้นอ่าน…โดยที่รอยยิ้มบางเบายังคงระบายอยู่บนริมฝีปาก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Fin.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in