เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
X-Men First Class fanfictionTippuri~ii*
sometimes I miss you the way someone drowning remembers the air
  • sometimes I miss you the way someone drowning remembers the air
    XMFC + DOFP Fanfiction by Tippuri~ii*    

     Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier

         * แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบังเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *            
    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *    

     

     

    ในห้องนั้นมีเพียงเสียงน้ำ

                   

     

     

     

     

    เสื้อผ้าเสียดสีแผ่วเบาเมื่อชาร์ลส์ เซเวียร์ปลดเปลื้องมันออกจากร่างจนหมดสิ้น…ตำแหน่งของเข็มนาฬิกาครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นก่อนจะปิดกั้นโลกทั้งใบให้อยู่หลังประตูบอกให้รู้ว่าฤทธิ์ยากำลังจะหมดลงแล้ว ชายหนุ่มก้าวข้ามกองเสื้อผ้าที่โดนทิ้งไว้บนพื้น…ไม่ใส่ใจจะพับพวกมันขึ้น มือวางหลอดเข็มฉีดยาที่ตอนนี้เป็นทางเดียวที่เยียวยาความแตกร้าวของหัวใจได้ลงบนพื้นข้างอ่างกระเบื้อง…ก่อนที่ร่างสีขาวสะอ้านนั้นจะค่อยๆ ก้าวลงไปจนทั้งตัวถูกโอบไว้ในอ้อมกอดคับแคบหากอุ่นสบายของห้วงน้ำนั้น

                   

     

     

     

     

    ปลายปอยผมจมลงและเปียกชื้นช้าๆ เมื่อชาร์ลส์แหงนเงยหน้าขึ้น…พิงศีรษะไว้กับขอบอ่าง ความคุ้นเคยของสรรพสิ่งที่รอบล้อมตัวนั้นเป็นเรื่องที่เขายังไม่อาจทำใจให้ชินได้…เพราะถึงทุกอย่างจะคงเดิม ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ามีอะไรที่หายไป…สิ่งสิ่งเดียว – คนคนเดียว – ที่ทิ้งความว่างเปล่ามหาศาลไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในคฤหาสน์…ชีวิต…และหัวใจของเขา

                   

     

     

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินหลับแน่นเมื่อคิดถึงตรงนี้…ไม่ได้แม้แต่จะสูดลมหายใจเตรียมไว้ตอนที่ขยับร่างลงให้จมมิดลงในน้ำ กริยาที่ตามมาคือการโผนกลับขึ้นไปสู่อากาศด้านบนและความแสบร้อนในโพรงจมูก…การกระทำนี้เหมือนการดึงดันทุบกระจกให้แตกลงจนหมดเสียก่อนที่จะใจอ่อนกลับไปหาทางซ่อมแซมส่วนที่แค่บิ่นร้าว เพราะเหมือนหัวใจของเขาจะไม่จำสักที…ไม่มีกระจกใดจะสมานคืนได้แม้จะวาดหวังสักเพียงไหนก็ตาม

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์สูดลมหายใจพร้อมกลืนก้อนแข็งๆ ที่ก่อตัวในความรู้สึกลงไป…ในห้องตอนนี้เหลือเพียงเสียงน้ำที่หยดรินจากปลายเส้นผมของเขา ชัดเจนในความเงียบอันดังกังวาน…ชายหนุ่มค่อยๆ พิงศีรษะและแผ่นหลังเข้ากับขอบอ่างอีกครั้ง ทิ้งตัวให้เหลือเพียงวงหน้าของตนเท่านั้นที่ไม่จมอยู่ใต้น้ำ แขนยื่นเหยียดตรง…มองรอยน้ำที่แยกยาวตามการขยับของปลายนิ้ว ความอบอุ่นที่เคลียบนผิวมือ…หากจางหายไปเรื่อยๆ จากร่างกายท่อนล่างของตน

     

     

     

     

     

    อีกสิ่งที่ยืนยันถึงฤทธิ์ยาที่หมดลงคือสรรพเสียงมากมายที่เริ่มดังเข้ามาในหัว…ความคิดของผู้คนมากหน้าหลายตา…พลังที่ชาร์ลส์ไม่ต้องการอีกแล้วเพราะมันรังแต่จะทำให้เขาคิดถึงวันวาน…ชายหนุ่มจึงหลับตาลง กดทุกเสียงลงจนเหลือเพียงความเงียบ แต่ก็ขอบคุณที่พลังของตนกลับมาในนาทีนี้…ปลายนิ้วแตะลงข้างขมับ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาพบกับสีขาวที่โอบล้อม ไม่มีห้องหรือข้าวของชิ้นใดให้คิดถึงอดีต ไม่มีสิ่งใดที่จะนำเขากลับไปโหยหาคนคนเดิม มีเพียงสีขาวที่เวิ้งว้าง…การหลอกตัวเองอันแสนสั้นที่ช่วยให้เขาหนีความจริงได้สักเพียงนิด

     

     

     

     

     

    เสียงถอนหายใจฟังดูดังก้องในความเงียบสีสะอาดนี้…ห้วงน้ำกระเพื่อมแผ่วๆ เมื่อชาร์ลส์ขยับแผ่นหลังให้พิงได้สบายขึ้น ท่อนแขนพาดตามแนวยาวของขอบอ่าง…คิดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่าเมื่อไหร่ดีที่ตนจะเอื้อมมือลงไปหยิบเข็มฉีดยาจากบนพื้นขึ้นมา ก่อนที่ความเงียบจะถูกกระชากลงด้วยเสียงน้ำที่กระเซ็นซ่านจากการขยับปุบปับ…ความตระหนกของชาร์ลส์ที่ก่อตัวจากภาพที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงอีกด้าน

     

     

     

     

     

    “…นาย”

     

     

     

     

     

    เขาไม่แม้แต่จะสามารถเอ่ยชื่ออีกฝ่าย…เพราะไม่รู้อีกแล้วว่าตนควรเรียกเจ้าตัวว่าอะไร แต่ถ้าชาร์ลส์จะมีสิทธิ์เลือก…เขาคงจะบอกว่าร่างที่ยืนห่างออกไปและมองสบตาตรงมานั้นคืออีริค เลนเชอร์ ไม่ใช่แม็กนีโต้ แม้ว่าชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้จะไม่เหมือนกับอีริคที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายสักเท่าไหร่ก็ตาม…เรือนผมสีน้ำตาลนั้นยาวขึ้น ยุ่งเหยิงนิดๆ ผิดกับวันวาน และอีริคที่ชาร์ลส์จำได้ก็มักจะสวมเสื้อสีเข้มเสมอ…ไม่ใช่เชิ้ตสีฟ้าอ่อนเช่นนี้

     

     

     

     

     

    แต่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์แบบใด…สิ่งเดียวที่ชาร์ลส์สงสัยตอนนี้ก็มีเพียงคำถามเดียว

     

     

     

     

     

    “นายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง??”

     

     

     

     

     

    หากคำตอบที่ร่างสูงโปร่งนั่นมีให้นั้นก็เป็นแค่ความเงียบและการก้าวย่างเข้ามาหา…เสียงฝีเท้าแผ่วเบาสม่ำเสมอ มันเงียบหายเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงบนพื้นที่ที่ยกขึ้นมาจนเสมอขอบอ่าง ซึ่งตอนนี้เองที่ชาร์ลส์เพิ่งตระหนักได้…สีขาวที่โอบล้อมพวกเขาหายไปแล้ว ภาพห้องอาบน้ำที่คุ้นตากลับมาอีกครั้ง…เพียงแต่คราวนี้ ความว่างเปล่าของมันดูจะลดลงจนแทบไม่รู้สึก

     

     

     

     

     

    ไม่…นี่ไม่มีทางใช่ความจริง…แต่นี่ก็ไม่ใช่ภาพจากพลังของเขา…แล้ว…แล้วนี่มันอะไรกัน…

     

     

     

     

     

    ความสงสัยปะปนด้วยความตระหนก…พลังที่พยายามเฝ้าลืมกลายเป็นสิ่งที่เขาจำไม่ได้อีกแล้วว่าจะควบคุมมันอย่างไร และในเมื่อไม่อาจขยับลุกได้…ชาร์ลส์จึงได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำ

     

     

     

     

     

    “นาย…” สูดลมหายใจลึก…จ้องตรงในดวงตาสีเทาคู่นั้น “…นายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง??”

     

     

     

     

     

    อีริคแค่ส่ายหน้าช้าๆ…ราวกับจะบอกว่าอย่าถามเลย ชาร์ลส์จึงเอี้ยวตัวกลับไป…หันหลังให้สิ่งที่ตนก็ไม่รู้ว่าคือภาพลวงตาหรือไม่ ปลายสายตามองเห็นท่อนแขนแข็งแรงนั้นเอื้อมผ่านไป…แล้วนาทีถัดมา สัมผัสของมือที่แสนคุ้นเคยก็ไล้ลงมาบนเรือนผมที่เปียกชุ่มของเขา…จังหวะการขยับซ้ำซากวนเวียน หากก็แผ่วเบาเนิบช้า…ชาร์ลส์ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะฟองสบู่สีขาวที่ปนมากับหยดน้ำที่หยาดรินผ่านปลายปอยผมลงมาบอกให้รู้แล้วโดยไม่ต้องอธิบาย

     

     

     

     

     

    นาทีล่วงเลย และโดยสัญชาตญาณ…ชายหนุ่มค่อยๆ เอนศีรษะเข้าไปหาสัมผัสนั้น รู้สึกว่าตัวเองช่างเหมือนเด็กที่โดนตามใจเสียจริง…และก็รู้ดีว่าตนไม่ควรสบายใจถึงเพียงนี้ที่ได้อยู่ใกล้ชิดศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเอง นั่นจึงทำให้เสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้น…เลื่อนลอยแผ่วเบา

     

     

     

     

     

    “รู้ไหม…” เสียงน้ำหยดหยาด…จ่อมจมและทิ้งวงคลื่นไว้ชั่ววินาที “สัตว์ทุกชนิดน่ะ…ไม่ยอมให้พวกเดียวกันที่ตัวเองไม่ไว้ใจแตะต้องตัวหรอกนะ”

     

     

     

     

     

    สัมผัสของมือละจากไป…เพราะร่างสูงโปร่งนั้นลุกขึ้น ก้าวไปปลดที่กั้นน้ำออกแล้วหยิบฝักบัวมาถือ…ชาร์ลส์หลับตาตอนที่น้ำเย็นๆ จากฝักบัวพร่างพรมลงมา รู้สึกได้ถึงมือใหญ่อีกข้างที่ว่างอยู่ของอีกฝ่ายคอยเฝ้าเกลี่ยเส้นผมที่ขยับมาปรกตาหรือบางทีก็ปาดฟองออกให้พ้นไป…ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดบอกให้รู้ อีริคคุกเข่าอยู่บนพื้นด้านข้างอ่างอาบน้ำนี้

     

     

     

     

     

    เขาลืมตาเมื่อสายน้ำที่รินรดหยุดลง ทันเวลากับที่ปลายนิ้วนั้นจะเกลี่ยไล้บนผิวแก้มเป็นครั้งสุดท้าย…ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองสบกับเขานั้นมีแววหยอกเย้าปนอยู่ สายตาของอีริค เลนเชอร์ที่ชาร์ลส์รู้จัก…สายตาของผู้ชายที่เคย – และยังคง – เป็นโลกทั้งใบของเขาอยู่จนนาทีนี้

     

     

     

     

     

    “นั่นน่ะ…” เสียงทุ้มนั่นเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้…ปนกระแสหัวเราะจางๆ จนทำให้ชาร์ลส์เผลอสงสัยไปวูบหนึ่งว่าหรือแท้จริงแล้วความร้าวฉานที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นแค่ฝันลวงตาในยามบ่ายของสักวันหรือเปล่า “เป็นสิ่งที่นายคิดจะเตือนตัวเอง…หรือจะบอกฉันกันเหรอ…ชาร์ลส์?”

     

     

     

     

     

    ชื่อของตนที่ถูกเปล่งด้วยเสียงนี้ทำให้ดวงตาสีน้ำเงินต้องหลับลง…เพราะการคิดถึงมันซ้ำๆ ในความทรงจำไม่อาจเทียบได้กับการได้ยินจริงๆ เช่นนี้เลยสักนิด ชายหนุ่มผมดำจึงปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปกับความอ่อนหวานนี้…ไม่ผลักไสหรือปฏิเสธอะไรตอนที่ผ้าขนหนูหนานุ่มถูกห่มให้รอบตัวแล้วท่อนแขนแข็งแรงนั้นขยับมาโอบร่างเขาขึ้น เพราะถ้านี่เป็นความฝัน…ชาร์ลส์ก็นึกหวังให้ตัวเองหลับสนิทต่อไปอีกสักนิด

     

     

     

     

     

    หากสุดท้าย…แสงสีขาวที่ทิ่มแทงผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิทก็ทำให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นในที่สุด ความโล่งใจแล่นปราดทันทีที่พบว่าตัวเองยังคงเห็นอีริคอยู่…ความโล่งใจที่ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกเกลียดตัวเอง

     

     

     

     

     

    “ชาร์ลส์…” เสียงทุ้มนั้นเหมือนยาพิษ…อ่อนหวานหากทำร้ายได้ลึกล้ำ ร่างสูงโปร่งตอนนี้ยืนค้ำศีรษะเขาที่นั่งอยู่…ทั้งสองกำลังหันหน้าไปทางอ่างล้างมือทั้งคู่ ดวงตาสบประสานผ่านกระจก…มือข้างหนึ่งของอีริคเท้าขอบอ่างสีขาวไว้ อีกข้างแตะเชยอยู่บนปลายผมปอยหนึ่งของเขา “ตัดผมเถอะ…ได้ไหม?”

     

     

     

     

     

    ความรู้สึกเกลียดตัวเองซ่านขึ้นอีกระลอก…ชาร์ลส์เกลียดตัวเองที่ยังคงโหยหาและต้องการมือคู่นี้อยู่เสมอแม้ว่ามันจะทำร้ายและฉีกกระชากหัวใจของเขาไปมากมายสักเพียงไหนก็ตาม ดวงตาสีน้ำเงินได้แต่มองประสานกับดวงตาสีเทาผ่านกระจก…ไม่มีคำตอบใดถูกเอื้อนเอ่ย แต่คนถามก็เข้าใจ…มือละไปเพื่อหยิบจับของบนชั้นวางเล็กๆ ข้างกระจก กริยาคุ้นเคยอย่างคนที่รู้ดีว่าสิ่งใดถูกจัดไว้ตรงไหน

     

     

     

     

     

    เสียงกรรไกรที่ขยับทีละนิดไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งเดียวที่กั้นกลางระหว่างพวกเขา ภาพที่ชาร์ลส์ได้เห็นผ่านกระจกเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคงประหลาดใจ…อีริค เลนเชอร์ผู้ใช้เครื่องมือโลหะด้วยมืออย่างมนุษย์ธรรมดาแทนการบังคับมันด้วยพลัง การกระทำที่บอกให้ชาร์ลส์รู้ว่าตนยังคงเป็นคนที่อีกฝ่ายจะเอาใจใส่มากที่สุดเสมอ…และการตระหนักรู้นี้ก็ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดอย่างไม่อาจอธิบายได้

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำไม่ได้เอ่ยห้ามหรือแข็งขืนตอนที่อีกฝ่ายค่อยๆ หมุนม้านั่งที่เขานั่งอยู่…ตอนนี้ทั้งสองหันข้างให้กระจกและมองตรงไปที่กันและกัน มีดเงินคมกริบในแสงไฟ…แต่ชาร์ลส์ไม่แม้แต่จะกังวลถึงอันตรายใด สัมผัสของมันที่ปาดลากตามแนวคางและผิวแก้มนั้นเย็นเฉียบหากนุ่มนวลไร้ที่ติ…สีเงินสะท้อนแสงเป็นครั้งสุดท้ายตอนที่อีริคเปิดน้ำจากอ่างล้างหน้าให้ชะลงบนใบมีด

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ยังคงบอกไม่ได้ว่าตนรู้สึกอย่างไรแม้กระทั่งตอนที่อีริคอุ้มเขาเดินกลับเข้ามาในห้องส่วนตัว…ประสาทรับรู้และความคิดทั้งปวงดูจะตื้อชาไปหมดเสียแล้วในนาทีนี้ และลึกๆ ในใจ…ชาร์ลส์ไม่อยากรู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริง เขาอยากจะรู้แค่ว่าอีริคอยู่ตรงนี้…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่ภาพฝันลมแล้งๆ หรือไม่ก็ตาม

     

     

     

     

     

    สัมผัสของเสื้อผ้าที่ค่อยๆ ถูกสวมลงมาให้บนร่างกายทีละชิ้นให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยทั้งๆ ที่มันก็คือข้าวของส่วนตัวของเขาเอง…เชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีเทา คาดิแกนสีน้ำเงิน เครื่องแต่งกายที่ชาร์ลส์ เซเวียร์คนที่หัวใจไม่ได้แตกสลายเลือกสวมอยู่เสมอ…เสื้อผ้าของวันวานที่ทุกอย่างยังเปี่ยมไปด้วยความหวังและมือที่ยังเกี่ยวกุมของเขาและคนตรงหน้า

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มหันมองเล็กน้อย…เงาจากกระจกที่วางเยื้องไปคือภาพที่ควรเป็นแค่ความทรงจำ แต่แววตาหม่นเศร้าและความระโหยที่แทรกลึกในสีหน้าก็บอกให้รู้…นี่คือตัวเขาผู้ผ่านวันบนชายหาดวันนั้นมาแล้ว

     

     

     

     

     

    “แล้ว…ก็…” เสียงทุ้มพูดเนิบๆ ตามจังหวะของปลายนิ้วที่จัดปกเสื้อให้เป็นครั้งสุดท้าย “สวัสดี…ชาร์ลส์ เซเวียร์”

     

     

     

     

     

    เสียงทักล้อๆ นี้ไม่น่าตลกสักนิดสำหรับเจ้าของชื่อ…ดวงตาสีน้ำเงินตวัดเขม็งกลับมา ชะงักชั่ววินาทีเมื่อพบว่าอีริคตรงหน้าตนไม่ใช่ชายหนุ่มผมยุ่งนิดๆ ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอีกแล้ว แต่เป็นอีริคผู้มีผมสั้นและสวมเสื้อคอเต่าสีดำอย่างที่เขานึกภาพเสมอเวลาคิดถึงเจ้าตัว

     

     

     

     

     

    …อีริคแบบในช่วงเวลาที่เขาได้ตกหลุมรักอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    ภาพที่ได้เห็นทำให้นิ่งขึง…แต่นั่นก็เป็นแค่เสี้ยววินาที ความโกรธเกรี้ยวพลันก่อตัวในหัวใจ…ชาร์ลส์รู้สึกเหมือนอารมณ์ของตัวเองนั้นคล้ายหลอดไฟที่ร้อนระอุมานานจนจู่ๆ ก็ประทุประกายไฟระคนกับเส้นเชือกที่โดนขึงตึงจนขาดและดีดตวัดกลับมาฟาดทุกสิ่ง เสียงนุ่มนวลตอนนี้จึงกระด้างแข็งกร้าวตอนเอ่ยคำ

     

     

     

     

     

    “เลิกเล่นตลกบ้าๆ แบบนี้สักทีเถอะอีริค” มือกำแนบบนตัก…หากสัมผัสของเล็บที่จิกลงมาก็ไม่เป็นที่รู้สึกเลยสักนิด อีกหลักฐานถึงความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา “ต่อให้นายจะทำให้ฉันดูเหมือนเดิมแค่ไหน…มันก็ไม่ได้ทำให้เราย้อนเวลาไปได้หรอกนะ”

     

     

     

     

     

    รอยยิ้มหายไปจากวงหน้าคมคาย…ดวงตาสีเทาหรี่ลง น้ำเสียงอาจจะยังคงเรียบเฉย…แต่ชาร์ลส์คุ้นเคยกับแววตาแบบนี้ดี มันบอกให้เขารู้ถึงอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวของอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    “คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงชาร์ลส์…ว่าเราย้อนเวลาไม่ได้?” เสียงทุ้มนั้นกร้าวขึ้นตอนย้อนถาม แต่ในประโยคหลัง…เขาฟังออกว่าคนพูดพยายามดึงมันให้อ่อนลง “อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่นายยังมีอนาคตอยู่…และนายปล่อยให้มันเป็นแบบตอนนี้ไม่ได้”

     

     

     

     

     

    “นั่นเลยทำให้นายมาเตือนสติฉันด้วยการเล่นแต่งตัวตุ๊กตาแบบนี้หรือไง??” ชาร์ลส์ตวัดเสียงกลับอย่างเสียดสี ผลักไหล่คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตน…หวังให้โทสะมีมากพอจะกำบังความแตกร้าวที่กรีดลึกอีกครั้งในหัวใจตอนนี้ “อย่าพูดเหมือนว่ามันเป็นความผิดของฉันหน่อยเลยที่เลือกทำแบบนี้…”

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีเทาเย็นเยียบราวแผ่นน้ำแข็ง ร่างโปร่งหยัดยืนตัวตรง…กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ใช่ฉันที่ทำให้นายคิดเลือกจะใช้ยานั่น…ชาร์ลส์”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำแค่นหัวเราะ เสียงหัวเราะบิดเบี้ยวในความเงียบระหว่างกัน

     

     

     

     

     

    “ไม่ใช่นายงั้นเหรอ?” ดวงตาสีน้ำเงินมีทั้งแววชิงชังและขมขื่น “นายอาจไม่ใช่คนที่ฉีดยานั่นเข้าในตัวฉันอีริค…แต่อย่าคิดว่านายไม่ได้ทำอะไร…อย่าได้กล้าเข้าข้างตัวเองแบบนั้น…”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เม้มริมฝีปาก…สูดลมหายใจเพื่อคุมสติ ส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสายตาอันเหยียดหยัน…มีให้ทั้งตัวเองและความยโสของอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    “นายเลือกที่จะไป…อีริค” ถ้อยคำเนิบช้า เจ็บปวดและกรีดแทง “นายเป็นคนเลือกทางนั้น…ทางที่บังคับให้ฉันต้องเป็นโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์…”

     

     

     

     

     

    …ทางที่ทำให้ฉันไม่สามารถเป็นแค่ชาร์ลส์ที่รักนายได้

     

     

     

     

     

    ความเงียบทิ้งตัว มีเพียงเสียงหอบหายใจของเขากับเปลวไฟคุกรุ่นในดวงตาสีเทา…โทสะที่ระคนด้วยความเจ็บปวด และหัวใจของชายหนุ่มผมดำก็เจ็บร้าวไปกับอีกฝ่ายอยู่ดีแม้ว่าจะไม่ต้องการเลย…สิ่งที่ทำให้ชาร์ลส์ตระหนักถึงความเกลียดตัวเองแบบเดิมๆ อีกครั้ง

     

     

     

     

     

    “วันที่ฉันเลือกที่จะเป็นแม็กนีโต้…” อีริคพูดขึ้นในที่สุด “นายก็มีโอกาสจะรั้งฉันไว้…ชาร์ลส์ แต่นายไม่ได้ทำ”

     

     

     

     

     

    “โอกาส?” ชาร์ลส์ทวนคำ หัวเราะแค่นๆ เพราะในตอนนี้…น้ำตามากมายเพียงใดก็ไม่เหลืออีกแล้วในหัวใจ “นายไม่รู้จริงๆ เหรอ…ว่านั่นเป็นอย่างแรกที่หลุดมือฉันไปตั้งแต่นาทีที่นายใส่หมวกใบนั้นแล้ว?”

     

     

     

     

     

    แววตาของอีริคไม่แม้แต่จะระริกตอนฟังประโยคนี้

     

     

     

     

     

    “ฉันกับนายรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วชาร์ลส์…ว่านายจะไม่มีวันบังคับฉันด้วยพลังของนาย” เสียงนั้นเรียบนิ่ง…หากความเจ็บปวดก็ปะปนขึ้นมาราวกับเจ้าตัวไม่อยากปิดกั้นในประโยคหลัง “และวันนั้น…นายก็ไม่ได้บอกให้ฉันอย่าไป นายแค่ปฏิเสธที่จะไปกับฉัน…ชาร์ลส์…แต่นายไม่ได้ห้ามฉันไว้”

     

     

     

     

     

    ข้อเท็จจริงนี้กดทับบาดแผลในหัวใจของเขา…บาดแผลที่ชาร์ลส์เฝ้าซุกซ่อนและหลอกตัวเองว่าไม่มีอยู่ เพราะคำถามนี้หลอกหลอนนัก…คำถามที่ว่าอีริคจะยอมเปลี่ยนใจไม่จากไปไหมถ้าวันนั้นเขาได้พูดออกไปว่าตนก็ต้องการเจ้าตัวให้อยู่เคียงข้างและขอร้องอย่างเห็นแก่ตัวให้อีกฝ่ายช่วยฝืนใจเลือกอุดมการณ์ที่ตัวเองไม่ได้เชื่อแทน คำพูดที่ไม่ได้เอ่ยออกไปนี้จุดให้คิดจินตนาการไปถึงคำตอบที่ไม่มีวันจะได้รับ…และโอกาสที่ชาร์ลส์พลาดไปก็ทรมานเขาซ้ำๆ เหมือนความทรงจำในนาทีสุดท้ายของคนที่กำลังจมน้ำ

     

     

     

     

     

     

    เขาได้แต่บอกตัวเองว่าอย่างไรอีริคก็จะปฏิเสธ…เพราะเขาทนไม่ได้ที่จะคิดว่าอีริคอาจเอ่ยตกลง…

     

     

     

     

     

    ความเงียบระหว่างพวกเขาตอนนี้หนักหน่วงนัก…และแค่เพียงมองหน้าอีกฝ่าย ชาร์ลส์ก็รู้ได้ว่าอีริคเองก็กำลังสงสัยในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน…ดวงตาสีเทานั้นเจ็บปวดพร้อมเต็มไปด้วยคำถาม

     

     

     

     

     

    พวกเราตัดสินใจปล่อยมือจากกันและกันง่ายไปหรือเปล่า…?

     

     

     

     

     

    “นายบอกฉันว่าฉันยังมีอนาคตอยู่…” ชาร์ลส์ตัดสินใจทำลายความเงียบลง หลบเลี่ยงการสบสายตากับอีกฝ่าย “แต่นี่…” มือโบกคร่าวๆ ไปตามเสื้อผ้าและเส้นผมที่ถูกตัดสั้น “…เป็นสิ่งที่ฉันคงไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้แล้ว”

     

     

     

     

     

    ลมหายใจถูกผ่อนออกมา…เนิบช้า น้ำเสียงกลับเยาะหยัน…เสียดสีทั้งๆ ที่หัวใจไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่ากันเลย

     

     

     

     

     

    “นายน่าจะดีใจนะ ไม่ใช่สิ่งที่นายต้องการหรือไง…ฉันที่ยอมแพ้และแตกสลายน่ะ?”

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีเทากร้าวขึ้นกับประโยคนี้ ถ้อยคำเย็นชา…หากหนักแน่นและเชื่อมั่น

     

     

     

     

     

    “นายแค่เจ็บปวด…ชาร์ลส์” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับตนกำลังแค่แก้คำพูดอันผิดพลาดด้วยข้อเท็จจริงที่ใครๆ ก็รู้ “…แต่นายไม่เคยยอมแพ้และแตกสลาย”

                   

     

     

     

     

    ความมั่นใจอันยโสนี้ทำให้โทสะในใจของคนฟังซ่านขึ้นอีกครั้ง…ชาร์ลส์จึงตวัดเสียงสวนกลับไปอีกครั้ง

                   

     

     

     

     

    “นายจะมารู้ได้ยังไงล่ะ—”

                   

     

     

     

     

     

    ประโยคถูกสัมผัสหยุดให้เงียบหาย…เพราะร่างโปร่งนั้นโน้มตัวลงมา สองมือกึ่งประคองกึ่งรั้ง…บังคับให้เขาแหงนเงยขึ้นรับจูบอันไม่นุ่มนวลและไร้คำบอกกล่าวนี้ มันเป็นสัมผัสที่บอกให้รู้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้สงบมากไปกว่าตัวเขาเลยหากสิ่งอื่นที่จูบนี้บ่งบอกและชาร์ลส์สนใจจะรับรู้จริงๆ ก็คือความรู้สึกของอีริค…ความอ่อนโยนและปลอบประโลมที่แฝงมาอย่างแผ่วจางนั้นเป็นเหมือนคำพูดอันไร้เสียง บอกเขาว่าอีกฝ่ายเองก็เจ็บปวดด้วยบาดแผลแบบเดียวกับที่ใจเขาเผชิญ…นั่นเองจึงทำให้เจ้าตัวรู้ได้ชัดเจนว่าพวกเขาจะผ่านพ้นมันไปได้หรือไม่

                   

     

     

     

     

     

    ริมฝีปากของพวกเขาผละออก…ทั้งคู่หอบหายใจ แต่ไม่ใช่อีริคแล้วที่เริ่มต้นจูบที่สอง…สัมผัสที่ได้รับตอนนี้ดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานในความรู้สึกของชาร์ลส์จนเขาลืมไปแล้วว่าตนโหยหาและต้องการมันเพียงใด ราวกับช่วงเวลาหลังจากวันบนชายหาดจนตอนนี้นั้นเป็นจำนวนนาทีสั้นๆ ที่ชายหนุ่มกำลังจมน้ำ…และจูบนี้เป็นเสี้ยวอากาศที่เขาได้มีโอกาสจดจำก่อนที่มันจะหมดลง

                   

     

     

     

     

    ไม่…ไม่…เขาไม่ต้องการ…ไม่ต้องการจะรับรู้…ไม่ต้องการจะจดจำ…เขาไม่ต้องการจะมีความหวังและมองมันถูกทำลายไปอีกแล้ว… 

               

     

     

     

     

    เสียงกรีดร้องที่เตือนตัวเองขึ้นมานี้ทำให้มือของเขาที่โอบรอบคอของอีริคเปลี่ยนเป็นผลักไส…ชาร์ลส์หลับตาแน่น ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเบือนหน้าหนีทุกเสียงเรียกของอีกฝ่ายที่ร้องเรียกชื่อเขา…เว้าวอนและโกรธเกรี้ยว ทุกสิ่งทุกอย่างซัดกระหน่ำผ่านร่างเขาไปราวคลื่นยักษ์…บ้าคลั่งสับสน รวดเร็วและไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้

                   

     

     

     

     

    แล้วเมื่อชาร์ลส์ลืมตาอีกครั้ง…เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในอ่างอาบน้ำเช่นเดิม ร่างกายเปลือยเปล่าซีดขาวและเส้นผมหมาดชื้นจากอากาศ

                   

     

     

     

     

    มือป่ายปะ…จากขอบอ่างลงไปแตะพื้นกระเบื้อง ก่อนที่สัมผัสของแก้วเย็นเฉียบของหลอดยาที่แตะบนปลายนิ้วอันสั่นระริกของเขา…ชาร์ลส์ลืมไปแล้วว่ามันวางอยู่ตรงนี้ สีเหลืองที่เต็มหลอดและขาที่ไม่อาจขยับได้อธิบายให้เขารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

               

     

     

     

     

    …มันไม่ใช่ภาพลวงตา…เขาเจออีริคจริงๆ ในห้วงพลังอันไม่คงที่ของตัวเอง

               

     

     

     

     

    มือกำหลอดยาแน่นขึ้น ลมหายใจหอบระริก…แฮงค์เตือนเขาเสมอว่าระดับยาที่เลือกใช้นั้นมากเกินไป แต่ชาร์ลส์ยินดีที่จะให้ตัวเองรับยาเกินขนาดแล้วสูญเสียพลังมากกว่าจะเลือกความปลอดภัยอันพอดี เพราะชายหนุ่มรู้ดี…อีริคในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดในการปิดกั้นความคิดของเจ้าตัว และความคิดที่เฝ้าคะนึงหาเขาก็เป็นดั่งเสียงเรียกเสียงเดียวที่ชาร์ลส์จะตอบรับเสมอ…ไม่ว่าหัวใจจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

               

     

     

     

     

    เพราะสุดท้ายของสุดท้าย…คนคนนี้ก็เป็นคนคนเดียวที่เขาจะโหยหาอยู่เสมอ…

                   

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เม้มริมฝีปาก…ความเกลียดตัวเองอันคุ้นชินที่ซ่านขึ้นมาอีกในวินาทีนี้ทิ้งรสขมไว้มากกว่าทุกที อาจเป็นเพราะมันประกอบเพิ่มเติมมาด้วยคำถามที่เขาพยายามซุกซ่อนและได้รับรู้แล้วว่าอีริคเองก็อยากได้คำตอบเช่นกัน

     

     

     

     

     

    พวกเราตัดสินใจปล่อยมือจากกันและกันง่ายไปหรือเปล่า…?

                   

     

     

     

     

    “ไม่…เงียบไปซะ…” ชายหนุ่มผมดำกระซิบ…ไม่อาจบอกได้ว่าพูดกับตัวเองหรือแววตาตัดพ้อในดวงตาสีเทานั่น “มันสายไปแล้วที่จะถามคำถามนี้…มันเป็นอดีตไปแล้ว…”

                   

     

     

     

     

    …และคำถามของอนาคตก็ไม่ใช่ว่าพวกเราปล่อยมือง่ายไปไหม…แต่เป็นคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะลืมความเสียใจจากการตัดสินใจครั้งนั้นต่างหาก 

               

     

     

     

     

    ปลายนิ้วแตะลงบนริมฝีปาก…สัมผัสที่ได้รับรู้นั้นไม่เหมือนกับภาพลวงตา และเมื่อคิดถึงมัน…เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงทุ้มนั่นเรียกชื่อตนอีกครั้ง เว้าวอนอ่อนหวาน…ขอร้องให้เขารับฟัง…ขอร้องให้เขาหยุด…

                   

     

     

     

     

    ไม่… ชายหนุ่มตวัดเสียงแข็งกร้าวตอบไปในความว่างเปล่า …ฉันไม่ต้องการจะรับรู้ถึงนายอีกแล้ว

                   

     

     

     

     

    จากนั้น เสี้ยวอากาศที่เขาได้สัมผัสในวินาทีสั้นๆ ระหว่างการจมน้ำอันยาวนานนี้ก็เลือนหาย…เมื่อชาร์ลส์ เซเวียร์แทงเข็มฉีดยาในมือเข้าสู่เส้นเลือดของตัวเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Fin.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in