Pairing: Erik Lehnsherr x Charles Xavier
* แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
REMARK: เป็นฟิคตามหัวข้อที่73 วันที่ 1-3-58 หัวข้อ [เปลี่ยน(change)] ส่งให้ @Marvel_Weekly ค่ะ
************************************
อีริคมาตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงก็ในตอนที่มีเพียงความเย็นเยียบของผืนทะเลเท่านั้นที่โอบล้อมตนอยู่
ก่อนหน้าที่ปืนในมือของเซบาสเตียน ชอว์จะถูกลั่นไก…ความทรงจำของเขามีเพียงความรักและการได้รับความห่วงใย ชีวิตของครอบครัวอีริคอาจจะไม่ได้หรูหราอะไรนัก แต่มันก็เป็นความสุขที่สวยงามที่สุด…ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ชายหนุ่มไม่คิดจะแลกกับสิ่งอื่นใดทั้งนั้น…สมบัติล้ำค่าที่ถูกทำลายลงในนาทีที่เสียงปืนดังกึกก้องในห้องทำงานแคบๆ นั่น นาทีที่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาได้แตกสลายและเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
วินาทีในผืนน้ำเย็นเยียบนี้สั้นนัก แต่ความทรงจำของอีริคก็ทำงานได้ไวกว่านั้น ภาพของความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโลดแล่นในหัว…เด็กหนุ่มเติบใหญ่ขึ้น ความหวาดกลัวได้กลับกลายเป็นความเคียดแค้น พลังที่อีริคไม่เข้าใจในทีแรกแปรเปลี่ยนมาเป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มมี…อาวุธที่จะใช้ทำลายบุคคลผู้ช่วงชิงทุกสิ่งที่สวยงามไปจากชีวิตของเขา
ท้องทะเลเป็นสีดำสนิท หากอีริคก็สัมผัสได้ถึงโลหะทุกชิ้น พลังที่มีให้ความรู้สึกราวกับเลือดที่แล่นพล่านใต้ผิวเนื้อ…เยียบเย็นหากก็แผดเผา เต็มไปด้วยความต้องการที่จะปลิดชีวิตและทำลายทุกสิ่งลงด้วยน้ำมือของตัวเอง ผลลัพธ์ที่คาดเดาในหัวนั้นหอมหวานเสียจนชายหนุ่มไม่ได้สนใจถึงอากาศที่ค่อยๆ หมดลงเลยสักนิด
และก็เป็นตอนนั้นเองที่สรรพเสียงรอบตัวหายไป…เหลือแค่เพียงคำเรียกหาอันเว้าวอนร้อนรนกับอ้อมแขนที่โอบกอดอย่างห่วงหา
ชาร์ลส์ เซเวียร์คือบุคคลผู้มาช่วยเหลือ…แต่สัมผัสของอ้อมกอดอันแน่นหนาจากเจ้าตัวกลับทำให้อีริครู้สึกราวกับว่าเป็นตนเสียเองที่ช่วยให้อีกฝ่ายได้มีที่ยึดเกาะ แน่นอนว่าเมื่อได้สติ…ชายหนุ่มก็สลัดท่อนแขนนั้นออกไปให้พ้นตัว หากสิ่งที่ยังคงไม่ได้จากไปคือความอบอุ่นเจือจาง…ราวกับเสียงแรกเริ่มของเสียงเพลงอันทุ้มนุ่มแผ่วเบา
…และอีริคก็ตระหนักได้ในวินาทีถัดมาว่านั่นอาจจะเป็นจังหวะหัวใจของตัวเขาเอง
ชาร์ลส์บอกเขาถึงพลังของเจ้าตัว ความสามารถที่ทำให้อีริคไม่อาจวางใจได้แม้อีกฝ่ายจะยืนยันว่าไม่ได้ใช้มันกับตน…แต่ผิดกันกับเขา สิ่งเดียวที่ชาร์ลส์ เซเวียร์สนใจจะรู้ดูจะมีเพียงข้อเท็จจริงเดียว…ว่าอีริคจะเชื่อประโยคนี้จากเจ้าตัวไหม
“…นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอกนะ”
เป็นถ้อยคำที่แปลกหูนัก…เพราะเนิ่นนานแล้วเหลือเกินที่มันไม่เป็นความจริง ความทรงจำโลดแล่นในหัว…สัมผัสสุดท้ายจากมือของผู้เป็นแม่ ภาพที่ตอนนี้ดูเหมือนสถานที่อันไกลแสนไกล…ถูกกลบฝังในฝุ่นเถ้าของอดีต ไม่ได้หายไปไหนหากก็ยากนักที่จะคิดถึง…ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่ตามมานั้นเป็นดั่งพายุที่ทำลายมันลงไปเสียสิ้น
ประโยคนี้ของชาร์ลส์ เซเวียร์เป็นสิ่งที่บอกอีริคถึงความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ตนได้พานพบ…และน่าแปลกนัก ความรู้สึกเดียวที่เขามีคือความอบอุ่นนุ่มนวลที่ทำให้ใจอ่อนหวานอย่างไร้เหตุผล
**
บนผืนทรายอันแสบร้อน…ชาร์ลส์ตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
อาจจะมีผู้คนรายล้อมมากมายมาตลอดชีวิต…แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ดีเสมอถึงช่องว่างในหัวใจ ความว่างเปล่าที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม…ชาร์ลส์ได้เลิกหวังไปนานแสนนานแล้วว่าผู้เป็นแม่จะยอมกลับมาใส่ใจตนหลังจากที่พ่อจากไป ความเย็นชาที่ได้รับอาจจะบางเบาลงด้วยเรเวนที่อยู่เคียงข้าง แต่มันก็ยังคงแผ่ซ่านอยู่ในมุมลึกๆ ของหัวใจเสมอ…ความรู้สึกโหยหาใครสักคนที่ชาร์ลส์ไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าคือใคร
หากในวินาทีนี้…ชายหนุ่มกลับเพิ่งรู้สึกได้ว่าความโหยหานั้นหายไปจากใจตนตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็เกินจะนึกได้ ความเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่…หากก็เงียบงันนักในหัวใจเขา เป็นธรรมชาติเสียจนลืมที่แม้แต่สังเกตด้วยซ้ำว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะอีริคคือคนที่ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาของสายลมที่พัดผ่าน…ช่วงเวลาแสนสั้นของการได้รู้จักกับอีกฝ่ายลบเลือนน้ำหนักของความว่างเปล่าในหัวใจไปได้เสียจนชาร์ลส์ค้นพบว่าการได้รู้สึกถึงมันอีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้หายใจแทบไม่ออก
แสงแดดจัดจ้า…ดวงตาสีเทาของอีริคทอประกายใต้เงายามที่เจ้าตัวก้มหน้าลงมา ระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างกัน…ระยะห่างที่ชาร์ลส์ต้องการเสมอที่จะลบเลือนมันไปด้วยรอยจูบบนริมฝีปาก
“ฉันต้องการให้นายอยู่เคียงข้างฉัน…”
นั่นเป็นถ้อยคำที่อีริคกล่าวออกมา หากในดวงตาของอีกฝ่าย…ชาร์ลส์ก็รู้สึกเหมือนตนได้ยินประโยคคนละประโยคกัน
ลมหายใจติดขัด…เขารู้สึกได้ถึงแค่เพียงอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่โอบรั้งตนไว้บนตัก แปลกใจปนตระหนกเล็กน้อยที่ขาทั้งสองข้างดูจะจู่ๆ ก็หนักอึ้งจนขยับขึ้นมาไม่ได้เสียเฉยๆ
สีฟ้าสบประสานกับสีเทา…และในเสี้ยววินาทีสั้นๆ นั้น ชาร์ลส์ก็คิดถึงทุกความทรงจำ…ตระหนักรู้ถึงทุกความเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึก วันแรกที่ได้พบกับอีริคนั้นคือเมล็ดพันธุ์…แปรเป็นไม้ใหญ่ที่เติบโตจากหัวใจอันว่างเปล่าแห้งผากของเขา ผลิยอดงดงามด้วยเวลาของทุกๆ วันที่ได้มีด้วยกัน
…วันเวลาที่ชัดเจนแล้วว่ากำลังจะจบลง
ฉันรักนาย…ฉันรักนาย…ฉันรักนาย…
นั่นเป็นถ้อยคำที่อีริคไม่ได้เอ่ยออกมา ทำให้ชาร์ลส์เองก็เก็บคำตอบของตัวเองไว้ใต้ความเงียบงันเช่นกัน
ฉันรู้…ฉันรู้…ฉันรู้…
ประโยคที่ถูกเอื้อนเอ่ยจึงมีแค่คำตอบของสิ่งที่ตนได้ฟังเท่านั้น
“ฉันขอโทษ…” ง่ายดาย…หากก็มากจนเกินพอที่จะทำร้ายใจคนฟัง “…แต่เราไม่ได้ต้องการสิ่งเดียวกัน”
นั่นทำให้อ้อมแขนของอีริคผละจากและไร้เสียงเรียกรั้งใดของชาร์ลส์ เหลือไว้เพียงรอยกรีดลึกระหว่างความรู้สึกที่มีให้กันและกัน บาดแผลที่ทั้งสองต่างก็รับรู้ชัดเจน…จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดอีกแล้วที่สามารถแก้ไขมัน
Fin.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in