เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แต่เพียงผู้เดียวpichaya.ss
A MILLION MILES [TAEYEON X TIFFANY]



  • Prologue






    “ถ้าชีวิตนี้ได้ไปดูแสงเหนือจริงจริงก็ดีสิเนอะ”

    หากว่าในวันนั้นแววตาของทิฟฟานี่ไม่ได้เป็นประกายกว่าทุกทุกครั้ง แทยอนก็คงไม่ลังเลที่จะปล่อยให้คำพูดนั่นเลยผ่านไป แต่เพราะวันนั้น วันนั้นแหละ ที่ตรงหน้าแผงหนังสือของร้านข้างโรงเรียนที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้าน หญิงสาวคนนั้นพูดกับเธอราวกับว่ามันคือปณิธานอย่างหนึ่งในชีวิต ทิฟฟานี่ไม่รู้ตัวหรอกว่าท่าทางของเธอในตอนที่กำลังรั้งมือของเขาอย่างออดอ้อนนั่นทำให้เขาเผลอหวั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มแห่งความหวังพรากมิตรภาพของเพื่อนสนิทที่เคยมีมาตลอด และมันกำลังก่อตัวเป็นความรัก ความรักที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รู้

    “ไปสิ! เรียนจบแล้วเราไปกันเถอะ”

    น้ำเสียงของแทยอนเติมเต็มความหวังของเพื่อนสาว แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าคำสัญญาที่เขามีต่อกันนั้นจะเป็นจริงได้เมื่อไหร่ ที่รู้คือหนังสือที่ทิฟฟานี่มองมันอยู่นานนั้นถูกเอามาวางอยู่ข้างกรอบรูปคู่ในห้องของแทยอน มันอยู่ตรงนั้นตลอดมา คล้ายกับว่ามันคือหลักฐานของความทรงจำที่เขามีต่อเธอแต่เพียงผู้เดียว
  • A MILLION MILES




    "อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงแล้วล่ะ"

    สองเท้าเหยียบย่ำฝ่าทุ่งหญ้าชื้นเลียบไปตามถนน ท่ามกลางผืนป่าสีเขียวหม่นด้วยความทุลักทุเลในลมหนาวแห่งเดือนตุลาคม มือน้อยพับเก็บแผนที่กระดาษเป็นทบเล็กเล็ก หญิงสาวทั้งสองใช้เวลาร่วมสัปดาห์เดินทางมาไกลถึงนอร์เวย์เพื่อจะได้มาเห็นแสงเหนือด้วยตาสักครั้งตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อสิบห้าปีก่อน ฮวัง ทิฟฟานี่อยากมาที่นี่ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ความฝันที่มีร่วมกับเพื่อนสาวคิม แทยอนไม่ได้เป็นจริงง่ายดายนัก เธอทั้งคู่มีชีวิตแตกต่างกันเหลือเกิน อันที่จริงแล้วหลังจบมัธยมปลายไปชีวิตพวกเขาก็แทบไม่ได้วนเวียนมาเจอกันอีก แต่อาจเป็นเพราะคำสัญญานั่นแหละ แทยอนและทิฟฟานี่ในวัยยี่สิบแปดปีจึงได้ทำตามความฝันของกันอีกครั้ง

    ก่อนหน้านี้ทิฟฟานี่กับเพื่อนสนิทแต่เพียงคนเดียวของเธอมักจะชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศอยู่บ่อยบ่อย ก็ชวนลอยลอย ฝันลมแล้งไปอย่างนั้นแหละ ก็หล่อนน่ะชอบท้องฟ้ากับหุบเขาเป็นไหนไหน แทยอนรู้ดีมาโดยตลอดว่าทิฟฟานี่ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะลาเที่ยวเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ได้หรอก ใครก็รู้ว่างานของหมอน่ะล้นมือจะตายชัก แต่แทยอนหวัง หวังอย่างนั้นมาร่วมสิบปีจนวันนี้มาถึง

    "อีกนานมั้ยอ่ะ? นี่เมื่อยจะแย่แล้วนะ" ทิฟฟานี่ครวญคราง มือเรียวลูบหน้าท้องแสดงอาการทั้งเหนื่อยทั้งหิว เรียกร้องความสนใจแก่คนที่เดินนำหน้า แทยอนหยุดชะงักก่อนจะหันมามอง เขาไม่สนใจคำพูดของหล่อนเท่าไหร่นักหรอก เขาเดินต่อ กระเป๋าเป้ใบใหญ่บดบังร่างเล็กเล็กของเขาแทบมิด ทิฟฟานี่หน้างอ ก่อนจะจำใจเดินตามไปอย่างอ่อนแรง มือหนึ่งคว้าขวดน้ำออกมาดื่ม

    กว่าครึ่งชั่วโมงที่แทยอนและทิฟฟานี่มุ่งหน้าสู่ไม่กี่กิโลเมตรที่ว่า อากาศแห้งอุณหภูมิห้าองศาในเวลาบ่ายสองโมงนั้นทำให้เราดื่มน้ำที่เหลืออยู่ขวดสุดท้ายจนหมด แทยอนไม่เคยนึกบ่นถึงการเดินทางอันยากลำบากในครั้งนี้เลย หัวใจของเขาเป็นดั่งสิงโต ห้าวหาญ ไม่ยำเกรงต่อสิ่งใด และหากเปรียบเทียบกับทิฟฟานี่แล้วล่ะก็ เธอก็คงจะเป็นนกแก้วล่ะมั้ง สวยงาม ฉลาด พูดไม่หยุด เธอและเขาตัดสินใจนั่งลงบนท่อนไม้แห้งระหว่างทางก่อนจะถึงที่พัก ทิฟฟานี่หยิบเอาแซนด์วิชแฮมของเมื่อคืนมากัดก่อนจะส่งมันต่อให้กับแทยอน ทั้งคู่มองดูแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่รอวันผนึกตัว สองมือเธอค้ำท่อนไม้ พูดพร่ำถึงเรื่องวันวานที่เคยมีร่วมกับเขา

    "ได้มาสักทีเนอะ พูดตั้งแต่ม.ต้นว่าอยากมาดู ไม่นึกเลยว่าจะได้มากับแกจริงจริง"

    "แหงล่ะ แกไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นนี่"

    ทิฟฟานี่พ่นลมหายใจออกเป็นควันจาง ทอดมองบรรยากาศไปจนไกลสุดสายตา จนมาจบอยู่ที่คนข้างข้างซึ่งดูเหมือนว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับอะไรสักอย่าง

    "จริงสิ" ทิฟฟานี่เอ่ยในขณะที่มองดูแทยอนนั่งวาดรูปทิวทัศน์อยู่ "แล้วมากับฉันเนี่ย ที่ทำงานไม่บ่นเหรอ?" แทยอนฉุกคิด มือยังคงร่างภาพผ่านปากกาหมึกซึมสีดำที่ทิฟฟานี่เคยซื้อให้ อันที่จริงทิฟฟานี่จำไม่ได้หรอก ก็ผ่านมานานแล้วนี่

    "ฉันออกจากออฟฟิศนั่นมาซักพักแล้ว ตอนนี้ว่างอยู่"

    "อา... ดีแล้วล่ะ ได้มีเวลาให้ตัวเองบ้าง ฉันไม่อยากจะเห็นแกกับสายน้ำเกลือนั่นอีกแล้วนะ"
    แทยอนพยักหน้าตาม พลางนึกไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ตัวเองหักโหมงานหนักเกินไปจนต้องเข้าโรงพยาบาล แม้จะได้มีโอกาสเจอทิฟฟานี่อีกครั้งในรอบหลายปี แต่ใช่ว่าการได้พบกันในสภาพของคนป่วยจะเป็นเรื่องดีนัก

    ทิฟฟานี่ล้วงมือเข้าไปในเสื้อโค้ทหนาหนาของตน หยิบเอาโทรศัพท์มาเปิดดูรูปเก่าๆ เป็นรูปตอนที่เธอพาแทยอนมาหาคุณพ่อที่คลินิกของที่บ้าน เขาหกล้มคางแตก มีพ่อของเธอซึ่งเป็นหมอเด็กกำลังปิดผ้าก็อชให้ เธอกลั้นยิ้มกลั้นขำก่อนจะยื่นให้เขาดู

    “จำรูปนี้ได้มั้ย? ตอนที่แกแอบไปเล่นสเก็ตบอร์ดของฮโยยอนเข้า แล้วดันเซ่อซ่าล้มจนต้องพึ่งคุณพ่อฉันน่ะ”

    แทยอนกลอกตาราวกับว่ามันเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ทิฟฟานี่ก็อย่างงี้แหละ ชอบสรรหารูปน่าเกลียดมาทำร้ายกัน ก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปตอนที่แทยอนหลับจนน้ำลายไหล โดนครูด่าหน้าชั้นเรียน ทิฟฟานี่ถ่ายเอาไว้หมด

    “แกนี่น้า ชอบขุดอดีตฉันอยู่เรื่อย”

    “แต่นั่นก็ทำให้รู้ไม่ใช่เหรอ? ว่าแกยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยอ่ะ คนอะไรโตจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ดูแลตัวเองอีก ดูซิ หน้าก็ไม่แต่ง หนุ่มหนุ่มที่ไหนจะมาจีบเล่า”

    แม้ความทรงจำจะแสนเลือนราง แต่คำพูดของทิฟฟานี่ก็ชัดเจนขึ้นใจ ทิฟฟานี่บอกว่าแทยอนเหมาะกับใบหน้าใสใสแบบนี้ คิ้วโล้นเตียนน่ะน่ารักที่สุดแล้ว เอาเถอะ ถึงทิฟฟานี่พูดไว้ตั้งแต่เรายังอยู่ม.ต้นซึ่งนั่นก็ไม่มีนักเรียนคนไหนเค้าแต่งหน้ากันนักหรอก อันที่จริงตอนนี้เค้าก็ควรแต่งหน้าให้เข้ากับสังคมได้บ้าง แต่ไม่ล่ะ แทยอนนิ่งเงียบ ทิฟฟานี่อาจจะหลงลืมคำพูดตัวเองไปบ้างแหละ เขาคิด

    เวลาล่วงเลยมาพร้อมกับไอหนาว อุณหภูมิลดต่ำลงอีกแล้ว ทั้งสองตัดสินใจเดินต่ออีกนิดเพื่อจะได้ไปเช็คอินที่แคมป์กราวนด์สักหน่อย แทยอนเก็บภาพวาดเข้าไปในกระเป๋า คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะได้อยู่ร่วมทริปกัน ทิฟฟานี่ตั้งความหวังไว้กับคืนนี้มากที่สุด เธออยากจะมีช่วงเวลาที่ได้นั่งมองออโรร่าจากมุมหนึ่งของหุบเขาบ้างสักครั้ง แต่แทยอนไม่ได้มีจุดหมาย แค่อยากมากับทิฟฟานี่ อยากพามาตามสัญญาก็แค่นั้นแหละ เขาลุกขึ้นปัดก้นก่อนจะหยิบเป้ใบโตขึ้นมาสะพาย ความชื้นทำให้พื้นลื่นมากกว่าปกติ พวกเขาจึงเดินช้าลง ค่อยค่อยย่อง กว่าจะมองเห็นที่พักเป็นจุดเล็กเล็กไกลไกลก็ปาไปเกือบสี่โมงเย็น

    เพราะเราต่างคนต่างเดินไม่พูดจา แทยอนจึงมีเวลาย้อนไปคิดถึงเรื่องตอนที่ทิฟฟานี่ชวนมาร่วมทริปนี้ด้วยกัน ในวันนั้นที่เขาโหมงานหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล โชคดีที่ได้เจอทิฟฟานี่ เธอทำงานอยู่ที่นั่น เราเจอกันโดยบังเอิญที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ทิฟฟานี่เป็นเพื่อนคนเดียวที่มาเฝ้าไข้ แท้จริงแล้วหลังจากทิฟฟานี่ย้ายโรงเรียนไปตอนม.ปลาย แทยอนก็ไม่มีเพื่อนคนไหนอีก ทิฟฟานี่สวยขึ้นมาก แล้วยังช่างพูดช่างคุยแถมยังดูแลใครใครได้ แต่แทยอนไม่รู้จริงๆ ว่ามีอะไรดลใจให้เธอเอ่ยปากชวนคนป่วยคนนี้มานอร์เวย์ทั้งที่เธอควรจะลืมมันไปนานแล้ว 

    ก่อนหน้านี้แทยอนเคยนึกน้อยใจที่ทิฟฟานี่ย้ายโรงเรียนไปกระทันหัน เพราะมันทำให้ทุกวันของเขาเศร้าหมอง ครั้งหนึ่งเขาเขียนจดหมายไปหาเธอ พูดถึงชีวิตม.ปลายที่ไร้ทิฟฟานี่ ‘ทุกวันที่ไม่มีแก ฉันแย่ แย่ลงมากมาก คงดีหากเราได้เจอกันอีก’ แต่เมื่อได้รู้ข่าวว่าทิฟฟานี่มีเพื่อนกลุ่มใหม่ เขาก็ไม่คิดส่งจดหมายหาเธออีก ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังอะไร เพียงแต่ไม่อยากให้เพื่อนเก่าต้องพะวงถึงเขาอีก แม้แต่น้อย


    พวกเขามาถึงที่พักแล้ว ที่นี่มีลักษณะเป็นกระท่อมไม้ขนาดใหญ่ พักรวมกันได้ราวราวยี่สิบถึงสามสิบคน ทั้งคู่จองห้องพักสำหรับสอง หน้าทางเข้ามีเตาบาร์บีคิวสำหรับปิคนิค ถัดออกไปสิบเมตรจากข้างกระท่อมมีเศษเถ้าที่ผ่านการเผาไหม้มาไม่รู้กี่ครั้ง ผู้คนคงมาผิงไฟที่นี่ยามค่ำคืน แต่ทิฟฟานี่ไม่ได้สนใจกิจกรรมเหล่านี้เท่าไหร่นัก เพราะหากเดินต่อไปจากนี้อีกหน่อยพวกเขาก็จะได้มุมชมแสงเหนือตามในแมกกาซีนเล่มนั้นแล้ว ทั้งคู่ทิ้งกระเป๋าและของใช้ไว้ในห้อง ไม่ลืมที่จะสวมเสื้ออีกชั้นก่อนจะออกมาซื้อแซลม่อนแร่เนื้อกับเบียร์คนละกระป๋อง สตรอเบอร์รี่อีกนิดหน่อยก่อนออกเดินทางต่อ

    “ไม่อยากแยกกันเลยอ่ะ หลังจากวันพรุ่งนี้แกจะไปไหนต่อหรอแทแท?”

    “อืม… ไม่รู้แฮะ อาจจะไปสวีเดนต่ออีกสักสามสี่วันค่อยกลับโซลล่ะมั้ง แล้วแกล่ะ? พรุ่งนี้ไปสนามบินกี่โมง?”

    “ที่จริง...” เธอลังเล “มีการเปลี่ยนแผนกระทันหันนิดหน่อย ฉันคงจะอยู่เที่ยวต่อ คือ... เอ่อ พี่เค้ากำลังบินตามมาคืนนี้”

    “คนเดิมน่ะเหรอ?”

    “อื้ม” แม้แทยอนจะนิ่งเงียบไป แต่ทิฟฟานี่ก็ไม่ได้จับสังเกตอะไรได้ แทยอนเป็นแบบนี้แหละ จะเศร้าหรือดีใจก็ทำได้แค่ยิ้ม มีอะไรก็ไม่พูดไม่จา ในขณะที่เขาเองคิดว่าการเงียบต่อไปแบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเรา พวกเขาค่อยค่อยก้าวขึ้นเนินเขาเชื่องช้า มีแสงจากไฟฉายเล็กเล็กคอยนำทางเอาไว้






    “หนาวขึ้นอีกหน่อยแล้วเนอะ” ทิฟฟานี่บอกกับเพื่อนสาวขณะที่เดินมาถึงหน้าผาเล็กเล็ก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะมองไปข้างล่างนั่น เห็นเป็นภาพมุมกว้างของหุบเขาที่ล้อมบ้านเมืองขนาดย่อมเอาไว้ เธออ้าแขนรับมันด้วยความยินดี น้ำเสียงแห่งความตื้นตันราวกับได้ข้ามผ่านสิ่งที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต ริมฝีปากแย้มกว้างพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นไม่ทันรู้ตัว แต่มีเพียงแทยอนเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกชื่นชมบรรยากาศอย่างที่ควรจะเป็น ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ยิ้มด้วยความสุขจริงแท้ ภาพวิวนั้นสำหรับเขาคือรอยยิ้มแบบเดิมเหมือนที่เค้าเคยเจอเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว แววตาใสแจ๋วนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งในความทรงจำ เขารู้ตัวในทันทีว่าความรักที่มีต่อทิฟฟานี่ไม่เคยตายไปจากใจ

    เขานึกขอบคุณวันที่ตัวเองเข้าโรงบาล ขอบคุณที่โรงบาลนั้นมีหมอชื่อทิฟฟานี่ ขอบคุณที่ทิฟฟานี่เข้าเวรดึกในคืนนั้น เพราะไม่งั้นเราเองก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อไหร่

    ทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งกับทุ่งหญ้าแห้ง แซลมอนที่อยู่ในกล่องทัพเพอร์แวร์ใสถูกเปิดออกท่ามกลางความมืดและแสงเพียงน้อยนิดจากบ้านเมืองที่อยู่ไกลไกล แสงเหนือยังไม่ปรากฎให้เห็นตรงหน้า แต่ทั้งคู่ก็ยังรอคอยอย่างมีหวัง ในมือของทิฟฟานี่มีเทียนหนึ่งเล่ม เธอจุดมันแม้ลมจะพัดแรงสักแค่ไหน เธอใช้มือโอบอุ้มมันเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้น

    “แทยอนอา... อธิษฐานหน่อยสิ”

    “หืม? อธิษฐานอะไร?”

    “ก็ฉลองวันเกิดแกไง ฉลองล่วงหน้าน่ะ”

    “ก็แล้วทำไมไม่ไปฉลองตอนวันนั้นล่ะ?”

    “เหอะน่า... อธิษฐานเถอะ”

    แทยอนกุมมืออธิษฐานตามคำบัญชาของเพื่อนสาว เขาหลับตาไปชั่วครู่ ทิฟฟานี่เองก็เช่นกัน คงเป็นเพราะเธอเองก็ขอพรอยู่ ทำให้แสงไฟที่เดิมริบหรี่อยู่แล้วถูกลมหนาวนั้นเป่าพัดดับไปเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นแทยอนก็ยังเป่ามันทั้งที่รู้อยู่แล้ว

    “อธิษฐานว่าอะไรเหรอ?” ทิฟฟานี่เอ่ยถาม

    “ถ้าบอกก็ไม่เป็นจริงซี่"

    “เมื่อกี้ฉันเองก็อธิษฐานให้แกด้วยนะ ฉันขอให้มันเป็นจริง ทีนี้จะบอกฉันได้ยัง?”

    แทยอนมองทิฟฟานี่อยู่เพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวไปประกบริมฝีปากของเพื่อนสาว เขาหยุดอยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน รู้ดีว่ากำลังใจสั่น ทิฟฟานี่เองก็ไม่ต่าง ดวงตาเธอเบิกกว้าง เธอไม่ได้จูบตอบ ใบหน้าเธอเห่อร้อนอย่างเห็นได้ชัด

    “แทยอน... คือ
    ฉัน…







    กำลังจะแต่งงาน”

    แต่ก็เหมือนทุกครั้ง หัวใจแทยอนไม่ได้แตกสลาย อันที่จริงมันอาจเคยสลายเมื่อนานมาแล้ว มันไม่เคยถูกซ่อมแซม แล้วก็เหมือนทุกที เขายิ้มกว้าง กว้างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

    “ยินดีด้วยนะ” เขากอดเพื่อนสาวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า ทิฟฟานี่ยังตกใจไม่หาย ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไรต่อ

    ในคืนนั้นพวกเขาลืมเหตุผลที่มาที่นี่เสียสนิทใจ
    ไม่มีใครบอกได้ว่าคืนนั้นมีแสงเหนือจริงรึเปล่า
    รู้เพียงมิตรภาพของพวกเขากำลังสั่นคลอน



    เช้าวันต่อมาพวกเขาตัดสินใจแยกย้ายกันที่สถานีรถไฟ ผู้ชายคนนั้นมารออยู่แล้ว อีกเพียงสิบนาทีรถไฟทั้งสองขบวนจะเคลื่อนที่กันไปคนละเส้นทาง เหมือนกับพวกเขา ทิฟฟานี่อยากจะเอ่ยลาแทยอนดีดีเสียก่อนที่ความเงียบจะทำให้ทุกอย่างพังไปมากกว่านี้

    “แก... จะไปแล้ว”

    “แกด้วย”

    “เฮ่อ... แทยอน ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง แต่ฉันอยากให้แกดูแลตัวเองดีดี ฉันเป็นห่วงแก อันที่จริงฉันอยากให้แกไปด้วย ไปอยู่ด้วยกันกับฉันที่บ้าน ฉันรู้ว่าแกอยู่คนเดียว แกไม่มีใครแล้ว--”

    “ฟานี่” เขาตัดบท “ฉันอยู่ได้ อย่าห่วงฉันเลย ฉันรู้ว่าฉันเกิดมาเพื่อเป็นอดีตของแกเท่านั้นทิฟฟานี่ เพราะงั้น ให้ฉันเป็นแบบนี้ต่อไปนี่แหละ”

    “สัญญาก่อนสิ!” เธอตะโกนขึ้นแข่งกับเสียงประชาสัมพันธ์ “ว่าจะมาหาฉัน ในงานวันนั้น” แทยอนยิ้มรับ เขาพยักหน้าตอบเธอ มองเธอไม่ละสายตาแม้ว่ากำลังก้าวเท้าขึ้นรถไฟแล้วก็ตาม เขาโบกมือลา ก่อนภาพของเขาจะหายไปจากสายตาเธอ

    แทยอนไม่ได้ไปสวีเดนหลังจากนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ทิฟฟานี่และแฟนหนุ่มยังมีความสุขกันดีที่นี่ เขาเป็นคนดีสม่ำเสมอ และนั่นคือเหตุผลที่เธอรักเขา ทิฟฟานี่สารภาพว่าเธอไปเฝ้าดูแสงเหนืออีกนับจากนั้น แต่ภาพของแสงเหนือที่เธอเฝ้ารอไม่ได้ทำให้หัวใจเต้นแรงเท่าคืนนั้นเลย

    ทิฟฟานี่กลับมาที่โซล ค้นพบว่าไม่ว่าปัจจุบันของเธอจะสำคัญสักเท่าไหร่ เธอก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะหยุดคิดถึงแทยอนได้ สาบานว่าคืนนั้นเธอไม่ได้โกรธเขา เธอบอกตัวเองว่าเธอไม่ได้รักเขา เธอไม่ได้รักเขาเลยตั้งแต่ต้น เพียงแต่หงุดหงิดที่สะบัดความคิดนี้ออกไปไม่ได้ หงุดหงิดที่แทยอนมาสร้างปัญหาในเวลาแบบนี้ เราไม่ได้ติดต่อกันอีกแม้แต่จดหมายสักฉบับ พักหลังเธอวุ่นกับการเตรียมงานแต่ง ทิฟฟานี่เริ่มคิดถึงเขาน้อยลง แต่เมื่อหิมะแรกเริ่มโปรยลงมาในโซล ภาพคืนนั้นก็วนกลับเข้ามาราวกับฝันร้าย ท้ายสุดเธอกลับลืมเขาไม่ได้เลย แทยอนกลายเป็นอดีตที่คั่งค้างในความทรงจำ ไม่มีบวกหรือลบ เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากเจอเค้าอีก อยากตบหน้าเขาแรงแรงสักที มาจูบแล้วก็หายไปเฉยเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ? 

    ‘ฉันเกิดมาเพื่อเป็นอดีตของแกเท่านั้นทิฟฟานี่’
    .
    .
    .


    วันที่ 9 ในเดือนมีนาคมปีต่อมา ทิฟฟานี่กำลังยืนต้อนรับแขกทุกคนที่แบคดรอปเล็กเล็กหน้างานเลี้ยง ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มผู้เป็นปัจจุบันและจะเป็นอนาคตในอีกหลายสิบปี เหล่าเพื่อนที่เคยร่ำเรียนด้วยกันสมัยมัธยมต่างก็มาร่วมยินดี แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเพื่อนในช่วงมหาลัย แม้ทิฟฟานี่จะพยายามมองหาเจ้าคนตัวเล็กเท่าไหร่ก็ไม่พบ สัญญาแล้วนี่ว่าจะมาน่ะ

    หลังจากจบงาน กลุ่มกองของขวัญที่ทุกคนมอบให้ก็ถูกส่งมาถึงบ้าน หนึ่งในนั้นมีจดหมายซองเล็กที่ไม่ได้จ่าหน้าเอาไว้ แวบแรกเธอคิดว่ามันคือซองเปล่า เพราะซองนั้นบางเฉียบจนแทบไม่มีอะไรข้างใน ท้ายสุดเธอเปิดมันออก พบรูปถ่ายโพลารอยด์เก่าเก่าใบนึงในนั้น





    ทิฟฟานี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองพบ แต่หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่เคยคิดอยากตบหน้าเค้าอีก เธอนึกถึงคำพูดของเขาก่อนจากกัน เดาว่าตอนนี้แทยอนคงกำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ บางทีเขาอาจอยู่ห่างออกไปเป็นล้านล้านไมล์ แต่มันไม่สำคัญหรอก เธอยิ้มออกมา ทิฟฟานี่นึกขอบคุณตัวเองที่ได้เห็นภาพของยอดเขาและแสงเหนือในวัยเด็กผ่านกระเป๋าสตางค์ที่แทยอนทำตกก่อนจะลุกไปอาบน้ำในวันที่เธอไปเยี่ยมไข้ เธอจำได้ในทันทีว่าภาพนั้นมาจากไหน

    และเธอก็เชื่อเสมอมาว่าในวันนี้เราต่างได้ทำตามความฝันของกันและกันแล้ว




    END


    ---------------------







    TALK


    เราไม่ได้เฉลยไปว่าตอนท้ายแล้วทิฟฟานี่ชอบแทยอนหรือเปล่า อยากให้ลองเดาๆกันดูค่ะ
    อาจจะเดาต่อก็ได้ว่าแทยอนไปไหน กลับมาที่โซลหรือยัง หรือที่จริงแล้ววันนั้นเค้าไปงานของฟานี่มั้ย
    อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากๆเลย ทุกคอมเมนต์ของทุกคนสำคัญมาก เพราะฉะนั้นทุกคนคือกำลังใจของเราค่ะ
    ขอบคุณนะคะที่อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่ชอบหรือไม่ชอบอะไรก็บอกกันได้นะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in