เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
5420 miles away from homesunshine
5 months has passed but i'm still suck at many things.
  • ไม่รู้ว่าจะยังมีคนหลงมาอ่านอยู่รึเปล่า แต่ถ้ามีก็ยินดีต้อนรับนะคะ มาอ่านเราบ่นไร้สาระแก้เซ็งก็ได้ (สรุปคือเซ็งกว่าเดิม) จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เข้ามาเดือนเท่าไหร่ แล้วก็ขี้เกียจกลับไปเช็คด้วย แหะๆ
    ตอนนี้ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านพิมพ์เป็นครั้งแรก รื้ิอฟื้นสกิลการพิมพ์ไทยแบบไม่มองแป้น เพราะมันไม่มีแป้นไทย... ถ้าพิมพ์ผิดๆไปก็ทนๆหน่อยละกันเนอะ

    ผ่านมาครึ่งทางกับการแลกเปลี่ยนแล้ว ก็รู้สึกแปลกๆ จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ไม่เชิิง
    มันไม่ได้เนิบนาบ แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วและโลดโผนขนาดนั้น
    มันมีบ้างวันที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า แทบไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ใช้เวลาชีวิตได้ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย  แต่บางวันเรื่องก็ถาโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ได้แต่คิดในใจ มึงเอาแบบนี้เลยเหรอชีวิต ได้ อะมึงมาให้เต็มที่เลยนะ 

    จริงๆมีเรื่องอยากเขียน อยากพิมพ์เยอะมากๆจนแยกไม่ถูกว่าจะเขียนเรื่องอะไรก่อนดี อันนี้คือข้อเสียของการไม่ยอมเขียนไดอารีเป็นวันๆ อยากบ่นอยากเขียนทั้งเรื่องอารมณ์ เรื่องเพื่อน เรื่องโรงเรียน ยิบย่อยจิปาถะเกี่ยวกับอิตาลี เรื่องอาหาร เรื่องครอบครัว น่าจะได้เขียนในตอนต่อๆไปแหละ ถ้าไม่ขี้เกียจก่อนนะ แหะๆ

    การมาแลกเปลี่ยนมันทำให้เราอยู่กับตัวเองมากขึ้นจริงๆ เพราะเรามาอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวด้วยส่วนหนึ่ง รายล้อมไปด้วยผู้คนต่างชาติ ต่างภาษา บางอย่างเราก็อยากส่ือสารกับใครสักคนแทบตาย แต่มันก็มีกำแพงภาษากั้น บางอย่างเราก็ไม่สามารถแปลได้จริงๆ ก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจซะส่วนใหญ่ เพื่อนไทยที่ไปแลกเปลี่ยนก็อยู่ค่อนข้างไกล สักสองหรือสามอาทิตย์จะเจอกันครั้งนึง ความคิดหลายๆอย่างมันก็ลอยไปลอยมาในหัวตัวเอง คิดมากฝุ้งซ่านไปเรื่อย พอมาเจอเพื่อนมันก็ตกตะกอนไปแล้ว ที่นี่เวลาพระอาทิตย์ตกก็ค่อนข้างนาน เราเลยชอบออกไปแถวระเบียงบ้านแล้วก็มองฟ้า มันสวยมากจริงๆ ท้องฟ้าที่นี่ก็โปร่งมากๆ ไม่มีเสาไฟฟ้าโยงระเกะระกะ เราเลยมองฟ้าได้อย่างสบายใจ พระจันทร์ที่นี่ก็มองได้ชัด ดวงใหญ่เลยแหละ พอเรามองเราก็คิดไปเรื่อย คิดว่ามันก็นานแล้วนะที่ไม่ได้มองท้องฟ้าแบบนี้

    พี่ที่เราสนิทด้วยเคยทวิตไว้ว่า ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เปราะบาง เราในตอนนั้นน่าจะประมาณ15 ไม่ก็16 ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจมากเท่าไหร่ เรายังไม่สามารถเข้าถึงคำว่า เปราะบาง ได้เด่นชัดขนาดนั้น 
    แน่นอนว่าตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้เข้าใจไปถึงแก่นแท้หรือลงลึก แต่อย่างน้อยตัวเราตอนอายุ17 ใกล้18 ปีก็รู้สึกเข้าใจประโยคนี้แจ่มชัดกว่าตัวเราเมื่อสองปีที่แล้ว

    เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ไปไวมาไว เหมือนจะยั่งยืนดั่งปราสาทหินแต่วันกลับมากลับกลายเป็นปราสาททรายที่โดนน้ำทะเลซัด วันนี้เรารู้จักคนนี้ เราสนิทกัน ภายหลังสัปดาห์เดียว เรากลายเป็นคนแปลกหน้า เหมือนไม่เคยรู้จัก อะไรที่ทำร่วมกันเหมือนไม่เป็นจริง เหมือนความฝันมากกว่า

    เราเฝ้ามองเพื่อนแลกเปลี่ยนเราตกหลุมรักคนในโรงเรียน พร่ำบอกว่าเขาคือคนที่เธอตามหา เข้าใจเธออย่างดี เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ จนกระทั่งรู้ว่าจริงๆแล้วเขาก็เป็นเพียงไองั่งคนหนึ่งทีสนใจแต่ร่างกายของเธอ จากรักกลายเป็นเกลียดและขยะแขยง หลังจากนั้นเธอก็ได้เจอผู้ชายอีกคน ทั้งเราและเพื่อนอีกคน และหลายๆคน ต่างบอกว่าพวกเขาเป็นคู่ที่สมบูรณ์ ไม่เคยเห็นทั้งคู่มีความสุขขนาดนี้มาก่อน หลังจากนั้นเพียงเดือนกว่าๆ พวกเขาก็เลิกกัน ตอนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เพราะเพื่อนของเรายังไม่สามารถทำใจที่จะมองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนได้ 

    เพื่อนอีกคนก็อกหักและไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนที่เธอพบเจอถึงเอาแต่หลอกเธอให้ตายใจ ให้หลงรักแล้วจากไปอย่างเย็นชา ปล่อยให้เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เจ็บปวดจากการจากลา จนเธอไม่อยากศรัทธาและเริ่มความสัมพันธ์ใดใดกับใครอีก

    เราที่เริ่มสร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากคนรอบข้าง แม้กระทั่งเพื่อนแลกเปลี่ยนที่เราเคยคิดว่าจะสนิทกันตลอดไป สัญญาต่างๆเริ่มเลือนหาย ที่เคยคิดว่าอยากจะสักแทททูทีี่เหมือนกันไว้เพื่อรำลึกถึงมิตรภาพ เราก็ไม่แน่ใจแล้วว่ายังอยากจะทำอยู่รึเปล่า เราเริ่มปลงและปล่อยวาง ถ้าหากถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็ไม่เป็นไร นับวันเรายิ่งออกห่างในความคิดของเราเอง ถ่อยหางและหวาดกลัวว่าไม่นานเราจะหลุดออกจากโคจรของกันและกัน มองย้อนไปในรูปถ่ายต่างๆที่มีอยู่ในมือถือแล้วก็ได้แต่คิดว่า ตอนนั้นเราเคยมีความสุขด้วยกันขนาดนี้เลยเหรอ

    จนตอนนี้ เราเริ่มสับสนและไม่รู้ว่า ตัวตนจริงๆของเราเป็นอย่างไรกันแน่ เป็นเด็กสดใสที่อ่านแต่หนังสือ ทำกิจกรรมทุกอย่างเมื่อตอนประถม หรือตัวเราที่ไร้สาระและไม่ได้คิดถึงอนาคตมากเท่าตอนนี้เมื่อตอนมอต้น หรือจะเป็นตัวเราก่อนมาแลกเปลี่ยน ที่ถึงแม้จะขี้เกียจเกินกว่าเหตุ แต่ก็คิดว่าไม่เคยคิดมากและฟุ้งซ่านเท่านี้ บางทีเราอาจจะยิ้มมากกว่า หรือยิ้มน้อยลง จนตอนนี้ก็ยังคงสับสนอยู่

    อะไรคือสิ่งที่กำหนดว่าเราโตขึ้นแล้ว อันนี้เราก็ยังคงไม่รู้
    สรุปแล้วตอนนี้เรามีความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากันแน่
    เราไม่รู้ แต่เราหวังให้เรามีความสุขมากกว่านะ

    สุขสันต์ 5 เดือนในอิตาลี :-)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Tiny writer (@tinygirlwriting)
เราเองก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่อเมริกาค่ะ เข้าใจความรู้สึกเลย แต่อยากจะบอกว่าสู้ๆนะคะ มาได้ครึ่งทางแล้ว เราจะผ่านกันไปด้วยกันนะคะ :)