ฉันได้ฝึกงานที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งย่านภาษีเจริญ
เป็นโรงเรียนอนุบาลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีสระว่ายน้ำ มีสองชั้น มีประตูรั้วที่ให้ผู้ปกครองสามารถแอบมองดูลูกน้อยของตัวเองได้ และมีเครื่องเล่นสำหรับเด็ก ๆ สองที่ในโรงเรียน
ครูทุกคนใจดี สนิทสนมกับเด็ก มีครูที่เป็นคนต่างชาติสองคน ทั้งสองคนใจดีและมีพลังในการสอนเด็กอย่างเหลือล้นวันแรกที่ได้เข้าไปในโรงเรียน ทุกคนต่างต้อนรับอย่างเป็นมิตร คุณครูทุกคนยิ้มแย้มใจดี พูดคุยด้วยง่าย ไม่รู้สึกเกร็งเลยสักนิดในขณะที่ทำงาน ต่างเป็นเหมือนพ่อและแม่คนที่สองของเด็ก ๆ ในขณะที่อยู่โรงเรียน บรรยากาศในโรงเรียนค่อนข้างอบอุ่นมากเลยทีเดียว
โรงเรียนแห่งนี้มีสามชั้นปีการศึกษา ฉันกับเพื่อน ๆ ได้ไปทำตำแหน่งผู้ช่วยในระดับชั้นปีที่ 1 ซึ่งโรงเรียนนี้จะเรียกว่าK.1
ในชั้น K.1 จะมีทั้งหมด 4 ห้อง แต่ละห้องจะมีชื่อเป็นผลไม้ได้แก่ Cherry, Papaya, Coconut และ Banana
ฉันและเพื่อนฝึกงานที่นี่ 2 เดือน จึงตัดสินใจกันว่า ในเดือนแรกจะพากันเวียนห้องทุกอาทิตย์ เช่น ฉันที่เริ่มอาทิตย์แรกด้วยการเป็นครูผู้ช่วยที่ห้องเชอร์รี่ อาทิตย์ถัดไปฉันก็จะต้องไปทำที่ห้องโคโค่นัท สลับหมุนวนไปจนกว่าจะครบ แล้วจึงค่อยกลับมาประจำที่ห้องแรกของตน
การสับเปลี่ยนหมุนวนห้องทำให้ฉันได้เจอเด็ก ๆ หลากหลายรูปแบบ หลากหลายนิสัย และพบเจอกับระบบทำงานของแต่ละห้องที่ต่างกัน ทำให้ได้ประสบการณ์มากมายกลับมาหลังจากการฝึกงานที่แม้จะต้องขุดตัวเองให้ตื่นเช้าหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้ม
เนื่องจากการสับเปลี่ยนหมุนวนห้อง ทำให้ฉันได้เจอกับเด็กและการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ฉันจึงอยากจะแยกการเล่าเรื่องของแต่ละห้อง ไล่เรียงตั้งแต่ห้อง Cherry ไปจนถึงห้อง Papaya เสียดายที่ไม่มีรูป (เพราะทางโรงเรียนมีกฎห้ามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น) จะมีแต่ตัวอักษร อาจจะน่าเบื่อไปเสียหน่อย จะพยายามเขียนให้ไม่ยาวมากก็แล้วกัน Let’s go!
——————
ประเดิมด้วยห้องแรกคือห้อง Cherry ซึ่งเป็นห้องแรกที่ฉันได้มาทำงาน และได้ทำนานที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ห้อง
ห้องนี้อยู่ริมสุดของชั้น 1 ตึก K.1 มีครูประจำชั้นชื่อครู จ. (ขออนุญาตใช้ตัวย่อ) และครูผู้ช่วยอีกหนึ่งคนชื่อครู ป. วันแรกที่ได้เข้าไปทำงานฉันเกร็งมาก คุณครูเองก็ดูจะเกร็งเหมือนกันกับฉัน
เนื่องด้วยอาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์แรกที่เปิดเทอม โรงเรียนมีมาตรการให้ในสองอาทิตย์แรกของกานเปิดเรียน แต่ละห้องจะมีเด็กแค่เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนเท่านั้น (ในห้องมีเด็กจำนวน 25 คน วันแรกเด็กจึงมาเพียง 12 คน) สลับกันมาครึ่งละวัน ทำให้มีเด็กในห้องน้อยมาก การรับมือกับเด็ก ๆ ในอาทิตย์แรกจึงไม่ใช่เรื่องวุ่นวายเท่าไรนัก
มีเด็กงอแงอยู่บ้าง เพราะบางคนไม่ได้เรียนเตรียมอนุบาล (หรือที่โรงเรียนจะเรียกกันว่า Pre kids) กับทางโรงเรียนเด็ก ๆ จะร้องไห้งอแงกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่เมื่อได้เข้าไปพูดปลอบเขา กอดเขา เขาก็จะหยุดร้อง (หยุดได้ไม่นาน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็จะกลับมาร้องต่อ) มีเด็กคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด แต่เมื่อถึงเวลาเข้าแถว คุณครูเวรนำเต้นเพลงเอบีซี น้องก็ทั้งร้องไห้ไปและเต้นไปอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้อดหัวเราะไม่ได้ เด็กไม่ว่าจะงอแงน่ารำคาญขนาดไหนก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี จะรำคาญลงได้อย่างไร
ห้องเชอร์รี่ทำงานได้เป็นระบบมาก ตอนเช้าตอน 8 โมง คือเวลาทำงานของฉันที่เป็นนิสิตฝึกงาน ฉันมีหน้าที่นำของออกมาจากกระเป๋าของเด็ก นำสมุดสื่อสาร (คล้าย ๆ กับสมุดบันทึกพฤติกรรมของเด็ก) ออกมาจากกระเป๋า เอาไปวางไว้ที่โต๊ะ เอานมของเด็ก ๆ ที่พ่อแม่เอาติดกระเป๋ามาเขียนชื่อ วางลงในตระกร้า หยิบกระบอกของเด็ก ๆ ไปวางแยกแล้วนำกระเป๋านักเรียนไปวางไว้ที่ชั้น แยกสองฝั่งชายและหญิง รอเรียกเด็ก ๆ ไปเข้าแถวเมื่อเพลงขึ้น และเมื่อเข้าแถวเสร็จ ก็พาเด็ก ๆ ไปล้างมือและดื่มนมดื่มน้ำ เด็กบางคนดื่มนมยากมาก ๆ เพราะยังติดขวดดูดอยู่ก็ต้องใช้เวลาหน่อยและมีการบังคับกันบ้าง ไม่งั้นน้องอาจจะเลิกยาก หลังจากดื่มนมเสร็จ คุณครูก็จะทำหน้าที่สอนวิชาเกี่ยวกับวิชาการให้กับเด็ก ๆ เช่นการท่องตัวอักษรภาษาอังกฤษ และภาษาไทย สอนเด็ก ๆ ถึงความแตกต่างของเลขไทยและเลขอารบิกสอนนับเลข ก่อนจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่แบ่งเป็น Eng1 เรียนกับทีชเชอน์ ม. Eng2 เรียนกับทีชเชอร์ มซ. สองวิชานี้จะเป็นการเรียนกับครูต่างชาติสองคนที่ซึ่งวิธีการสอนที่ต่างกันออกไป คนหนึ่งใช้วิธีการเล่านิทาน อีกคนเลือกใช้เพลงและการทำกิจกรรม เป็นการสอนที่น่าสนใจและทำให้เด็กรู้สึกสนุก และสุดท้ายคือ Eng3 เรียนกับทีชเชอร์ป. วิชานี้จะเป็นวิชาสอนการอ่านออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ และมีการสอนเขียนเส้นจากตัวอักษรภาษาอังกฤษผ่านวิดีโอเมื่อเรียนเสร็จก็ถึงเวลาพักทานอาหาร จากนั้นจึงพาเด็ก ๆ ไปเข้านอน เมื่อเด็ก ๆ ทุกคนหลับกันหมดแล้ว หน้าที่ของฉันก็หมด ได้แต่นั่งรอเวลาปลุกเด็ก ๆ กลับบ้าน
สองอาทิตย์แรกที่ได้ไปทำงานฉันแทบจะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่ทำมีเพียงดูแลน้อง ๆ ให้นั่งให้เป็นที่ เล่านิทานนิดหน่อย และพาไปรับประทานอาหารเที่ยง เพราะในอาทิตย์แรก โรงเรียนมีคำสั่งให้ผู้ปกครองมารับเด็ก ๆ ตั้งแต่เที่ยงงานของคุณครูในสองอาทิตย์แรกจึงไม่คือยมีอะไรมากนัก เด็กก็น้อย สอนได้แป๊ป ๆ เด็กก็กลับบ้านแล้ว มีบางคนที่กลับรถตู้ก็อาจจะอยู่นานหน่อยถึงสามโมงเย็น แต่ก็มีเด็กเพียงคนสองคนเท่านั้น ทำให้ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไปฉันว่างตลอด ไม่มีงานให้ทำ
(ซึ่งคุณครูแอบกระซิบเบา ๆ ว่า รอให้เด็กมาครบทุกคนก่อนแล้วจะรู้ ฉันก็ได้แต่เตรียมใจ)
และก็เป็นอย่างที่คุณครูว่า เมื่อเด็กมาครบทั้งห้อง ฉันก็ได้รู้ซึ้งถึงการทำงานอย่างแท้จริง
ห้องเชอร์รี่ไม่ค่อยมีเด็กงอแงเท่าไรนัก จะมีเด็กอยู่สองคนที่ 'พิเศษ' กว่าเด็กคนอื่นสักหน่อย ซึ่งบางครั้งก็ดูแลยาก และเหนื่อยมาก ๆ เพราะน้องคนหนึ่งชื่อ ชร. เขาไม่อยู่เฉยเลย พูดเท่าไรก็ไม่ฟัง ถ้าหากดุก็จะเท้าเอวใส่แล้วก็ขมวดคิ้ว ต้องค่อย ๆ ตะล่อมพูดกับน้อง พูดให้น้องเป็นหัวหน้าห้อง เป็นผู้นำเพื่อน น้องถึงจะยอมอยู่นิ่ง ๆ ตามที่ครูบอก (แต่ก็นิ่งได้ไม่นานนักหรอก) แต่ถึงน้องจะซนมาก แต่น้องก็เรียนรู้เร็ว เขียนหนังสือได้และเขียนสวย น่าชื่นชม
เด็กอีกคนหนึ่งที่ซนพอ ๆ กัน ชื่อน้อง สก. น้องเป็นเด็กช่างพูด ขี้อ้อน น่ารักมาก ๆ คนหนึ่งเลย แต่เวลาซนและเวลาเอาแต่ใจก็ทำให้ปวดหัวได้ไม่น้อย เพราะเวลาน้องไม่ได้ดั่งใจน้องจะกรี๊ดอย่างเดียว ถ้าดุก็จะดึงหน้ากากอนามัยจนขาด ต้องค่อย ๆ พูดตะล่อม หรือถ้าหนักจริง ๆ ก็ต้องปล่อยให้ครูประจำชั้นเป็นคนจัดการไป
เด็กคนอื่นในห้องก็น่ารักสมวัย เด็กทุกคนคุยเก่งมาก ๆ พูดทุกเรื่องเจื้อยแจ้วไม่หยุด มีบางคนที่งอแงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ มีเด็กคนหนึ่งชื่อน้องพช. น้องเป็นเด็กที่ชอบปลามาก ๆ มีวันหนึ่งฉันซื้อสติกเกอร์ปลาไปแจกน้อง ๆที่โรงเรียน ฉันให้น้องไปสามอันเป็นรางวัลที่น้องเป็นเด็กดี ตาน้องในตอนนั้นวาววับด้วยความดีใจ ตอนนอนน้องก็กำสติกเกอร์ปลาที่ฉันให้เอาไว้ไม่ปล่อย ตอนตื่นนอนเจอสติกเกอร์ปลายังอยู่ในมืออยู่ก็ดีใจยิ้มแย้มอย่างน่ารักน่าชังทำให้ฉันอดเอ็นดูไม่ได้ และน้องก็ติดฉันแจ ตอนไปรับประทานอาหารก็มานั่งเฝ้าฉันและเดินกลับห้องด้วยกัน ตอนไปเรียนหนังสือก็ต้องมีฉันยืนอยู่ใกล้ ๆ เพราะน้องกลัวครู บางครั้งครูก็แอบเตือนฉันเรื่องตามใจน้องมากจนเกินไป แต่มันก็อดไม่ได้นี่นา น้องน่ารักจนฉันทนใจแข็งไม่ได้
ตอนนี้น้องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะไปเรียนหนังสือโดยที่ไม่ต้องมีครูยืนเฝ้าได้หรือยังก็ไม่อาจทราบได้ แอบคิดถึงไม่น้อยเลยนะเนี่ย...
——————
ซนมาก ๆ วิ่งกันไม่หยุดจนปวดหัว
ห้องต่อไปที่ฉันได้ทำงานคือห้อง Coconut
ห้องนี้ครูทั้งสองเป็นกันเองมาก เป็นกันเองแม้แต่กับเด็ก คุยเล่นกันเหมือนเป็นเพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารักดีนะ เด็กทุกคนคุยเล่นกับครูได้ (แบบที่ไม่มากจนเกินไป) ทำให้เด็กไม่อึดอัด เด็ก ๆ ทุกคนร่าเริงสดใส คุยจ้อกับครูไม่หยุดหย่อน
การทำงานของห้องนี้ก็จะคล้าย ๆ กับห้องเชอร์รี่ แต่ฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไรนอกจากนั่งคุยเล่นกับเด็ก ๆ เพราะคุณครูพี่เลี้ยงทำทุกอย่างเองหมดแล้ว เพราะอย่างที่ได้บอกไปในช่วงของห้องเชอร์รี่ว่า ในสองอาทิตย์แรก ทางโรงเรียนมีนโยบายให้แต่ละห้องมีเด็กมาเรียนแค่ครึ่งหนึ่งต่อห้อง สลับหมุนวนกันไป ทำให้เด็กที่มาเรียนนั้นมีจำนวนน้อย
ฉันได้ทำหน้าที่อยู่ที่ห้องนี้เพียงแค่สามวัน เพราะวันจันทร์และวันอังคารของสัปดาห์นั้นเป็นวันหยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา และวันหยุดชดเชยวันเข้าพรรษา ทำให้ฉันไม่ค่อยได้เจอกับเด็ก ๆ มากเท่าไรนัก แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ เด็กบางคนจำฉันได้ ไปอยู่ห้องอื่นแล้วก็ยังมีเด็กทักทายฉันอยู่ แม้จะได้เจอกันเพียงแค่สามวันเท่านั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันใจฟูมาก ๆ เมื่อได้เห็นเด็กบางคนร้องเรียกทักทาย
น่าเสียดายที่มีเวลาอยู่ที่ห้องนี้น้อยเกินไป เพียงแค่สามวันเท่านั้น จึงทำให้ไม่ค่อยได้เจอวีรกรรมสุดแสบของเด็ก ๆเท่าไรนัก
——————
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in