เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝึกงานกับโควิดone02pe
ฝึกงานสุดหรรษา
  • ฉันได้ฝึกงานที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งย่านภาษีเจริญ




    เป็นโรงเรียนอนุบาลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีสระว่ายน้ำ มีสองชั้น มีประตูรั้วที่ให้ผู้ปกครองสามารถแอบมองดูลูกน้อยของตัวเองได้ และมีเครื่องเล่นสำหรับเด็ก ๆ สองที่ในโรงเรียน




    ครูทุกคนใจดี สนิทสนมกับเด็ก มีครูที่เป็นคนต่างชาติสองคน ทั้งสองคนใจดีและมีพลังในการสอนเด็กอย่างเหลือล้นวันแรกที่ได้เข้าไปในโรงเรียน ทุกคนต่างต้อนรับอย่างเป็นมิตร คุณครูทุกคนยิ้มแย้มใจดี พูดคุยด้วยง่าย ไม่รู้สึกเกร็งเลยสักนิดในขณะที่ทำงาน ต่างเป็นเหมือนพ่อและแม่คนที่สองของเด็ก ๆ ในขณะที่อยู่โรงเรียน บรรยากาศในโรงเรียนค่อนข้างอบอุ่นมากเลยทีเดียว


    โรงเรียนแห่งนี้มีสามชั้นปีการศึกษา ฉันกับเพื่อน ๆ ได้ไปทำตำแหน่งผู้ช่วยในระดับชั้นปีที่ 1 ซึ่งโรงเรียนนี้จะเรียกว่าK.1 

    ในชั้น K.1 จะมีทั้งหมด 4 ห้อง แต่ละห้องจะมีชื่อเป็นผลไม้ได้แก่ Cherry, Papaya, Coconut และ Banana


    ฉันและเพื่อนฝึกงานที่นี่ 2 เดือน จึงตัดสินใจกันว่า ในเดือนแรกจะพากันเวียนห้องทุกอาทิตย์ เช่น ฉันที่เริ่มอาทิตย์แรกด้วยการเป็นครูผู้ช่วยที่ห้องเชอร์รี่ อาทิตย์ถัดไปฉันก็จะต้องไปทำที่ห้องโคโค่นัท สลับหมุนวนไปจนกว่าจะครบ แล้วจึงค่อยกลับมาประจำที่ห้องแรกของตน


    การสับเปลี่ยนหมุนวนห้องทำให้ฉันได้เจอเด็ก ๆ หลากหลายรูปแบบ หลากหลายนิสัย และพบเจอกับระบบทำงานของแต่ละห้องที่ต่างกัน ทำให้ได้ประสบการณ์มากมายกลับมาหลังจากการฝึกงานที่แม้จะต้องขุดตัวเองให้ตื่นเช้าหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้ม


    เนื่องจากการสับเปลี่ยนหมุนวนห้อง ทำให้ฉันได้เจอกับเด็กและการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ฉันจึงอยากจะแยกการเล่าเรื่องของแต่ละห้อง ไล่เรียงตั้งแต่ห้อง Cherry ไปจนถึงห้อง Papaya เสียดายที่ไม่มีรูป (เพราะทางโรงเรียนมีกฎห้ามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น) จะมีแต่ตัวอักษร อาจจะน่าเบื่อไปเสียหน่อย จะพยายามเขียนให้ไม่ยาวมากก็แล้วกัน Let’s go!


    ——————

  • ประเดิมด้วยห้องแรกคือห้อง Cherry ซึ่งเป็นห้องแรกที่ฉันได้มาทำงาน และได้ทำนานที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ห้อง

    ห้องนี้อยู่ริมสุดของชั้น 1 ตึก K.1 มีครูประจำชั้นชื่อครู จ. (ขออนุญาตใช้ตัวย่อ) และครูผู้ช่วยอีกหนึ่งคนชื่อครู ป. วันแรกที่ได้เข้าไปทำงานฉันเกร็งมาก คุณครูเองก็ดูจะเกร็งเหมือนกันกับฉัน 

    เนื่องด้วยอาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์แรกที่เปิดเทอม โรงเรียนมีมาตรการให้ในสองอาทิตย์แรกของกานเปิดเรียน แต่ละห้องจะมีเด็กแค่เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนเท่านั้น (ในห้องมีเด็กจำนวน 25 คน วันแรกเด็กจึงมาเพียง 12 คน) สลับกันมาครึ่งละวัน ทำให้มีเด็กในห้องน้อยมาก การรับมือกับเด็ก ๆ ในอาทิตย์แรกจึงไม่ใช่เรื่องวุ่นวายเท่าไรนัก 

    มีเด็กงอแงอยู่บ้าง เพราะบางคนไม่ได้เรียนเตรียมอนุบาล (หรือที่โรงเรียนจะเรียกกันว่า Pre kids) กับทางโรงเรียนเด็ก ๆ จะร้องไห้งอแงกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่เมื่อได้เข้าไปพูดปลอบเขา กอดเขา เขาก็จะหยุดร้อง (หยุดได้ไม่นาน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็จะกลับมาร้องต่อ) มีเด็กคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด แต่เมื่อถึงเวลาเข้าแถว คุณครูเวรนำเต้นเพลงเอบีซี น้องก็ทั้งร้องไห้ไปและเต้นไปอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้อดหัวเราะไม่ได้ เด็กไม่ว่าจะงอแงน่ารำคาญขนาดไหนก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี จะรำคาญลงได้อย่างไร


    ห้องเชอร์รี่ทำงานได้เป็นระบบมาก ตอนเช้าตอน 8 โมง คือเวลาทำงานของฉันที่เป็นนิสิตฝึกงาน ฉันมีหน้าที่นำของออกมาจากกระเป๋าของเด็ก นำสมุดสื่อสาร (คล้าย ๆ กับสมุดบันทึกพฤติกรรมของเด็ก) ออกมาจากกระเป๋า เอาไปวางไว้ที่โต๊ะ เอานมของเด็ก ๆ ที่พ่อแม่เอาติดกระเป๋ามาเขียนชื่อ วางลงในตระกร้า หยิบกระบอกของเด็ก ๆ ไปวางแยกแล้วนำกระเป๋านักเรียนไปวางไว้ที่ชั้น แยกสองฝั่งชายและหญิง รอเรียกเด็ก ๆ ไปเข้าแถวเมื่อเพลงขึ้น และเมื่อเข้าแถวเสร็จ ก็พาเด็ก ๆ ไปล้างมือและดื่มนมดื่มน้ำ เด็กบางคนดื่มนมยากมาก ๆ เพราะยังติดขวดดูดอยู่ก็ต้องใช้เวลาหน่อยและมีการบังคับกันบ้าง ไม่งั้นน้องอาจจะเลิกยาก หลังจากดื่มนมเสร็จ คุณครูก็จะทำหน้าที่สอนวิชาเกี่ยวกับวิชาการให้กับเด็ก ๆ เช่นการท่องตัวอักษรภาษาอังกฤษ และภาษาไทย สอนเด็ก ๆ ถึงความแตกต่างของเลขไทยและเลขอารบิกสอนนับเลข ก่อนจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่แบ่งเป็น Eng1 เรียนกับทีชเชอน์ ม. Eng2 เรียนกับทีชเชอร์ มซ. สองวิชานี้จะเป็นการเรียนกับครูต่างชาติสองคนที่ซึ่งวิธีการสอนที่ต่างกันออกไป คนหนึ่งใช้วิธีการเล่านิทาน อีกคนเลือกใช้เพลงและการทำกิจกรรม เป็นการสอนที่น่าสนใจและทำให้เด็กรู้สึกสนุก และสุดท้ายคือ Eng3 เรียนกับทีชเชอร์ป. วิชานี้จะเป็นวิชาสอนการอ่านออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ และมีการสอนเขียนเส้นจากตัวอักษรภาษาอังกฤษผ่านวิดีโอเมื่อเรียนเสร็จก็ถึงเวลาพักทานอาหาร จากนั้นจึงพาเด็ก ๆ ไปเข้านอน เมื่อเด็ก ๆ ทุกคนหลับกันหมดแล้ว หน้าที่ของฉันก็หมด ได้แต่นั่งรอเวลาปลุกเด็ก ๆ กลับบ้าน


    สองอาทิตย์แรกที่ได้ไปทำงานฉันแทบจะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่ทำมีเพียงดูแลน้อง ๆ ให้นั่งให้เป็นที่ เล่านิทานนิดหน่อย และพาไปรับประทานอาหารเที่ยง เพราะในอาทิตย์แรก โรงเรียนมีคำสั่งให้ผู้ปกครองมารับเด็ก ๆ ตั้งแต่เที่ยงงานของคุณครูในสองอาทิตย์แรกจึงไม่คือยมีอะไรมากนัก เด็กก็น้อย สอนได้แป๊ป ๆ เด็กก็กลับบ้านแล้ว มีบางคนที่กลับรถตู้ก็อาจจะอยู่นานหน่อยถึงสามโมงเย็น แต่ก็มีเด็กเพียงคนสองคนเท่านั้น ทำให้ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไปฉันว่างตลอด ไม่มีงานให้ทำ 


    (ซึ่งคุณครูแอบกระซิบเบา ๆ ว่า รอให้เด็กมาครบทุกคนก่อนแล้วจะรู้ ฉันก็ได้แต่เตรียมใจ)


    และก็เป็นอย่างที่คุณครูว่า เมื่อเด็กมาครบทั้งห้อง ฉันก็ได้รู้ซึ้งถึงการทำงานอย่างแท้จริง


    ห้องเชอร์รี่ไม่ค่อยมีเด็กงอแงเท่าไรนัก จะมีเด็กอยู่สองคนที่ 'พิเศษ' กว่าเด็กคนอื่นสักหน่อย ซึ่งบางครั้งก็ดูแลยาก และเหนื่อยมาก ๆ เพราะน้องคนหนึ่งชื่อ ชร. เขาไม่อยู่เฉยเลย พูดเท่าไรก็ไม่ฟัง ถ้าหากดุก็จะเท้าเอวใส่แล้วก็ขมวดคิ้ว ต้องค่อย ๆ ตะล่อมพูดกับน้อง พูดให้น้องเป็นหัวหน้าห้อง เป็นผู้นำเพื่อน น้องถึงจะยอมอยู่นิ่ง ๆ ตามที่ครูบอก (แต่ก็นิ่งได้ไม่นานนักหรอก) แต่ถึงน้องจะซนมาก แต่น้องก็เรียนรู้เร็ว เขียนหนังสือได้และเขียนสวย น่าชื่นชม

    เด็กอีกคนหนึ่งที่ซนพอ ๆ กัน ชื่อน้อง สก. น้องเป็นเด็กช่างพูด ขี้อ้อน น่ารักมาก ๆ คนหนึ่งเลย แต่เวลาซนและเวลาเอาแต่ใจก็ทำให้ปวดหัวได้ไม่น้อย เพราะเวลาน้องไม่ได้ดั่งใจน้องจะกรี๊ดอย่างเดียว ถ้าดุก็จะดึงหน้ากากอนามัยจนขาด ต้องค่อย ๆ พูดตะล่อม หรือถ้าหนักจริง ๆ ก็ต้องปล่อยให้ครูประจำชั้นเป็นคนจัดการไป

    เด็กคนอื่นในห้องก็น่ารักสมวัย เด็กทุกคนคุยเก่งมาก ๆ พูดทุกเรื่องเจื้อยแจ้วไม่หยุด มีบางคนที่งอแงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ มีเด็กคนหนึ่งชื่อน้องพช. น้องเป็นเด็กที่ชอบปลามาก ๆ มีวันหนึ่งฉันซื้อสติกเกอร์ปลาไปแจกน้อง ๆที่โรงเรียน ฉันให้น้องไปสามอันเป็นรางวัลที่น้องเป็นเด็กดี ตาน้องในตอนนั้นวาววับด้วยความดีใจ ตอนนอนน้องก็กำสติกเกอร์ปลาที่ฉันให้เอาไว้ไม่ปล่อย ตอนตื่นนอนเจอสติกเกอร์ปลายังอยู่ในมืออยู่ก็ดีใจยิ้มแย้มอย่างน่ารักน่าชังทำให้ฉันอดเอ็นดูไม่ได้ และน้องก็ติดฉันแจ ตอนไปรับประทานอาหารก็มานั่งเฝ้าฉันและเดินกลับห้องด้วยกัน ตอนไปเรียนหนังสือก็ต้องมีฉันยืนอยู่ใกล้ ๆ เพราะน้องกลัวครู บางครั้งครูก็แอบเตือนฉันเรื่องตามใจน้องมากจนเกินไป แต่มันก็อดไม่ได้นี่นา น้องน่ารักจนฉันทนใจแข็งไม่ได้

    ตอนนี้น้องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะไปเรียนหนังสือโดยที่ไม่ต้องมีครูยืนเฝ้าได้หรือยังก็ไม่อาจทราบได้ แอบคิดถึงไม่น้อยเลยนะเนี่ย...


    ——————



    ซนมาก ๆ วิ่งกันไม่หยุดจนปวดหัว


  • ห้องต่อไปที่ฉันได้ทำงานคือห้อง Coconut


    ห้องนี้ครูทั้งสองเป็นกันเองมาก เป็นกันเองแม้แต่กับเด็ก คุยเล่นกันเหมือนเป็นเพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารักดีนะ เด็กทุกคนคุยเล่นกับครูได้ (แบบที่ไม่มากจนเกินไป) ทำให้เด็กไม่อึดอัด เด็ก ๆ ทุกคนร่าเริงสดใส คุยจ้อกับครูไม่หยุดหย่อน


    การทำงานของห้องนี้ก็จะคล้าย ๆ กับห้องเชอร์รี่ แต่ฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไรนอกจากนั่งคุยเล่นกับเด็ก ๆ เพราะคุณครูพี่เลี้ยงทำทุกอย่างเองหมดแล้ว เพราะอย่างที่ได้บอกไปในช่วงของห้องเชอร์รี่ว่า ในสองอาทิตย์แรก ทางโรงเรียนมีนโยบายให้แต่ละห้องมีเด็กมาเรียนแค่ครึ่งหนึ่งต่อห้อง สลับหมุนวนกันไป ทำให้เด็กที่มาเรียนนั้นมีจำนวนน้อย

    ฉันได้ทำหน้าที่อยู่ที่ห้องนี้เพียงแค่สามวัน เพราะวันจันทร์และวันอังคารของสัปดาห์นั้นเป็นวันหยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา และวันหยุดชดเชยวันเข้าพรรษา ทำให้ฉันไม่ค่อยได้เจอกับเด็ก ๆ มากเท่าไรนัก แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ เด็กบางคนจำฉันได้ ไปอยู่ห้องอื่นแล้วก็ยังมีเด็กทักทายฉันอยู่ แม้จะได้เจอกันเพียงแค่สามวันเท่านั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันใจฟูมาก ๆ เมื่อได้เห็นเด็กบางคนร้องเรียกทักทาย


    น่าเสียดายที่มีเวลาอยู่ที่ห้องนี้น้อยเกินไป เพียงแค่สามวันเท่านั้น จึงทำให้ไม่ค่อยได้เจอวีรกรรมสุดแสบของเด็ก ๆเท่าไรนัก


    ——————

  • ต่อไปคือห้อง Papaya

    ห้องนี้เป็นห้องที่ทำให้ฉันเหนื่อยที่สุดในบรรดาห้องเรียนทั้งหมดของโรงเรียนนี้
    เด็กในห้องหลาย ๆ คนน่ารักน่าเอ็นดู แต่จะมีเด็กอยู่สองคนในห้องที่มักจะร้องไห้ไม่หยุด น้องจะถามวนอยู่อย่างเดียวว่า "จะได้กลับบ้านไหม" เมื่ออีกคนหนึ่งเห็นเพื่อนพูด น้องก็จะพูดตามเพื่อนแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด กล่อมเท่าไรก็ไม่หยุด พูดแค่ไหนน้องก็ไม่หยุดร้องไห้ ทำให้เด็กคนอื่น ๆ บางคนร้องไห้ตามจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น บวกกับการจัดการของครูทั้งสองยังไม่ค่อยลงล็อคเท่าไรนัก ยังมีสิ่งติดขัดอยู่บ้างไม่น้อยเลยล่ะ อาทิตย์ที่สามของการทำงานจึงทำให้ฉันรู้สึกเครียดไม่น้อย เป็นอาทิตย์ที่ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากในการทำงาน เลิกงานถึงหอแล้วฉันหลับไวกว่าทุกวันเพราะรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ แบบที่สองห้องที่ผ่านมาฉันไม่เหนื่อยขนาดนี้ แต่เด็กคนอื่น ๆ ในห้องก็น่ารัก มีเด็กอยู่สองคนที่เสียงดังมากเป็นพิเศษ เสียงดังขนาดที่ว่าอยู่ข้างนอกห้องก็ยังได้ยินเสียง น่ารักดี ที่มีปัญหาก็คือน้องอีกสองคนที่ร้องไห้ แต่เด็กยังไงก็เป็นเด็ก ร้องไห้งอแงอย่างไรก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ดีนั่นแหละ ก็ต้องให้เวลาน้องในการปรับตัวเสียหน่อย เพราะหลังจากที่ฉันเปลี่ยนห้องไปได้อาทิตย์กว่า ๆ ฉันก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงน้องร้องไห้เท่าไรแล้ว มีงอแงบ้างนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าตอนแรก ดีใจกับน้องที่เริ่มปรับตัวได้และรู้สึกสนุกกับการมาเรียน เพราะถ้าหากมาเรียนแล้วเด็กรู้สึกไม่มีความสุข ก็คงน่าเศร้าไม่น้อย

    ——————

    เด็กบางคนเริ่มงอแงอยากกลับบ้าน ฉันจึงพาน้อง ๆ เดินไปดูแมว ถูกใจกันใหญ่ พอเจอแมวก็ไม่อยากกลับบ้านกันแล้วล่ะ อยากอยู่โรงเรียนแทน
  • ห้องสุดท้ายคือห้อง Banana

    เด็กห้องนี้ค่อนข้าง 'โต' กว่าเด็กห้องที่ผ่านมา
    โต ในที่นี้หมายถึงว่า เด็กหลาย ๆ คนสามารถทำอะไรด้วยตนเองได้แล้ว อาจจะเพราะเริ่มชินกับการมาโรงเรียนแล้ว เพราะอาทิตย์นั้นก็เป็นอาทิตย์ที่สี่ของการเปิดเทอมแล้ว

    เด็กทุกคนเข้าห้องน้ำเองได้ เจาะนม หยิบน้ำมาดื่มเองได้ พูดจาชัดแจ๋วเหมือนเด็กโต จะบ้างบางคนที่งอแง แต่ก็ยังถือว่าพูดรู้เรื่องอยู่ มีเด็กคนหนึ่งจะชอบร้องไห้ตอนเช้า ฉันจึงเข้าไปปลอบและบอกกับน้องว่า ถ้าหากว่าน้องไม่ร้องไห้ และรีบนอนตอนกลางวัน ไม่เล่นไม่ซน น้องจะได้กลับคนแรกของห้อง ตอนแรกน้องก็ทำท่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร สะอึกสะอื้นบ้างเป็นบางครั้ง เมื่อถึงเวลานอนน้องก็ทำท่างอแงเหมือนจะไม่อยากนอน ฉันจึงพูดกับน้องเหมือนเดิมและกล่อมน้องจนน้องหลับไปในที่สุด และเมื่อตื่นมา น้องก็ได้กลับบ้านเป็นคนแรกอย่างที่ฉันได้บอกกับน้องเอาไว้ ต้องขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ของน้องที่มารับเร็ว เพราะวันต่อ ๆ มาฉันก็ใช้มุกเดิมกับน้องตลอด และมันก็ได้ผลทุกครั้งเลยล่ะ

    งานของฉันในห้องบานาน่าก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรนักนอกจากดูแลเด็กและเตรียมอาหารเที่ยงให้เด็ก ๆ ฉันจะต้องรอบคอบทุกครั้ง เพราะมีน้องคนหนึ่งแพ้แป้งและไข่ ฉะนั้นอาหารของน้องจะต้องไม่มีแป้งและไข่ ฉันจะต้องแจ้งกับแม่ครัวให้เขาหาอย่างอื่นมาให้น้อง เพราะเขาจะมีหมูหยองเตรียมไว้ให้กับเด็ก ๆ ที่แพ้อาหาร และเด็ก ๆ ก็ชอบหมูหยองมาก ๆ เลยล่ะ

    เหมือนทุกครั้ง เตรียมอาหารให้เด็ก ๆ พาน้องมารับประทานอาหารและพาไปนอน จากนั้นก็หมดหน้าที่ของฉัน งานมันจะหนักแค่ตอนเช้า หลังจากนั้นก็ไม่หนักเท่าไรแล้ว เป็นการทำงานที่ดูจะไม่มีอะไร แต่ก็เหนื่อยไม่น้อยเลยล่ะ เพราะการต้องใช้ทั้งไหวพริบ ใช้ทั้งแรงไปพร้อม ๆ กัน มันเป็นอะไรที่เหนื่อยแสนเหนื่อย ไหนจะเสียงเด็กร้องเมื่อไม่ได้ดั่งใจอีกนั่น
    แต่ก็เป็นงานที่สนุกและมีความสุขดีนะ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เด็ก ๆ เรียกชื่อของเราโดยที่มีคำว่าครูนำหน้าชื่อ

    ——————


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in