หกโมงครึ่งโดยประมาณ จู่ ๆ ก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนจะแปลก เพราะปกติเป็นคนตื่นสายเหี้ย ๆ แต่พอออกมาเที่ยวกลางธรรมชาติละเป็นแบบนี้ประจำ ตื่นเช้ามาก ไม่ง่วงด้วย
ก่อนนอนเราเปิดหน้าต่างเต็นท์ไว้ ให้อากาศระบายหน่อย เห็นแสงสีขาวข้างนอกอยู่รำไร รีบกุลีกุจอออกจากเต็นท์มาชมวิวทับเบิกยามเช้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เห็นหมอกบ้างประปราย หนาเป็นกลุ่ม ๆ มองลงไปยังเห็นพื้นที่ตรงตีนเขาได้อยู่
หกโมงสี่สิบโดยประมาณ ร่างกายเริ่มทำงาน เริ่มรู้สึกถึงความหนาว ทั้งอากาศและพื้นที่เหยียบ ตัดสินใจไปล้างหน้าแปรงฟันซักหน่อย จะได้มานั่งกินกาแฟชมวิวเท่ ๆ
เจ็ดโมงสิบโดยประมาณ หลังจากเจอระดับความเย็นของน้ำเข้าไป จัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย จึงกลับมานอนหมกตัวในผ้าห่มผืนหนาให้พอสบายตัว ก็ลุกขึ้นมาจัดแจงต้มน้ำกินกาแฟ พร้อมบุหรี่กลิ่นกาแฟ แล้วออกไปสูดรับวิวข้างนอกอีกครั้ง อากาศเหมือนจะหนาวขึ้น หมอกเริ่มหนามากกว่าเดิม ที่ว่างเบื้องหน้าสุดแนวเขาเริ่มทึบไปด้วยไอหมอก กะจะหยิบเอาจิมเบอิที่ใส่ขี่มอเตอร์ไซค์มาใส่แก้หนาวพอกล้อมแกล้ม ปรากฎว่าเสื้อชื้น เพราะถึงแม้จะตากผึ่งไว้กับพัดลม (ที่อากาศหนาวชิบหายจนไม่รู้จะมีไว้ทำไม) แต่คาดว่าเพราะการเปิดหน้าต่างไว้ มวลความชื้นเลยพัดเข้ามาและสะสมไว้ที่เสื้อ ต้องทำใจ ออกไปเผาปอดรับลมธรรมชาติด้วยเสื้อยืดหนึ่งตัวกับกางเกงโบโฮหนึ่งตัว
แปดโมงครึ่งโดยประมาณ หลังจากนั้นก็เข้า ๆ ออก ๆ สลับไปมา ระหว่างผ้าห่มกับลมหนาว ยิ่งเวลาผ่านหมอกยิ่งหนา ลมพัดแรงจนมองเห็นหมอกที่พัดเข้าปะทะกับแนวเขาได้อย่างชัดเจน จุดชมวิวภูทับเบิกที่อยู่ตรงหน้าเรากลืนหายไปในมวลหมอก อ่าา คงฟินน่าดู อยากไปอยู่ตรงนั้นจัง ว่าแล้วก็มาทันที ขี้แรกของทริป ผ่านมาเกือบสองวัน เพิ่งจะได้ขี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ
สิบโมงโดยประมาณ ยังคงเข้า ๆ ออก ๆ สลับไปมาระหว่างผ้าห่มกับลมหมอกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแวะขี้ด้วย สรุปเช้านี้ขี้ไปสามรอบ น้ำเย็นจนตูดชา น้ำประปาที่นี่แช่น้ำแข็งก่อนส่งมาทางท่อด้วยเหรอ ชมวิวบ้างถ่ายรูปบ้างไปเรื่อย ๆ เริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ รูปก็มีแต่มุมเดิม ๆ แดดเริ่มปรากฎ ตัดสินใจเก็บสัมภาระ ได้เวลาออกเดินทางละ แต่ก่อนอื่น แวะขึ้นไปบนยอด ตรงจุดชมวิว ขึ้นไปเก็บรูปอีกเล็กน้อย หาซื้อแม่เหล็กไปฝากตัวเองเป็นที่ระลึก แล้วมุ่งหน้าตรงลงเขาไปยังเชียงคาน
สิบโมงยี่สิบโดยประมาณ หมอกหนามาก ต้องขับรถลุยหมอกในสภาพทัศวิสัยที่ย่ำแย่ -แต่สวยงาม - เหมือนเมื่อวาน สิ่งที่ต่างคงเป็นอันตราย เพราะขากลับเราเลือกวิ่งลงทางเพชรบูรณ์ ทางมีความคดเคี้ยวสูงมาก และวิ่งลงเขา ใช้เกียร์ต่ำ - กำเบรกประคองตัวไปเรื่อย ๆ บรรยากาศข้างทางค่อนข้างเงียบสนิท ไร้ชีวิต ไม่ค่อยเจอผู้คน นาน ๆ ครั้งจะมีคนโผล่มาให้เห็นประปราย
สิบโมงครึ่งโดยประมาณ รอบตก รถดับอีกแล้วไอ้สัสส เพิ่งชาร์จแบต เปลี่ยนแผงชาร์จมาเมื่อวานนี่เอง แบตเตอรี่ก็รัดมาอย่างแน่น ยังจะมีหน้ามาดับได้อีก กลางเขาเลย ก่อนทางโค้งนิดเดียว หรือความชื้นมันมีผลวะ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เรารู้วิธีรับมือแล้ว แค่น่าหงุดหงิดหน่อย จอดพักเครื่องประมาณสิบห้านาที ขี้เกียจรอต่อ เลยออกตัวต่อ ขับไปได้อีกประมาณห้านาที ทางขาด
สิบโมงห้าสิบโดยประมาณ ขบวนรถติดยาวพอประมาณ ไม่มากไม่น้อย จอดเรียงเป็นแถวรอไปต่อ เจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์ถนนและปรับพื้นให้พอใช้งานได้แก้ขัดไปก่อน ทางขึ้นภูทับเบิกถนนขาด เราเห็นข่างจากในกลุ่มตั้งแต่คืนก่อนแล้ว และเห็นว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาซ่อมแซมจนใช้งานได้แล้ว แต่คงยังไม่ทั้งหมด รอไม่นานประมาณสิบนาทีก็สามารถสัญจรวิ่งลงต่อมาได้ ก่อนหน้านี้วิ่งฝ่าหมอกหนามาตลอดทาง พอถึงจุดที่ถนนขาดก็แทบไม่มีหมอกแล้ว แต่เป็นโคลน ดิน และก้อนกรวดแทน ล้อสะบัดเป็นบางช่วง แต่กระเป๋าเปื้อนเศษโคลนไปทั่ว
สิบเอ็ดโมงครึ่งโดยประมาณ แวะเติมน้ำมัน - เข้าเซเว่น จัดมื้อเช้าเบา ๆ เป็นแซนด์วิชกับไส้กรอก เหลือระยะทางไม่มาก เก็บท้องไว้กินขริงจังตอนถึงเชียงคานไปเลยดีกว่า
บ่ายสามโมงโดยประมาณ ถึงเชียงคาน หาที่พัก ได้ที่พักเป็นห้องพัดลม อยู่ฝั่งริมโขง วิวดี ราคาได้ 500 บาท ได้มาจากการแนะนำของที่ ๆ เราดู ๆ ไว้ว่าจะไปพัก แต่ไม่ได้จองไว้ ปรากฎว่าเจ้าของไม่อยู่ เลยปิดโฮมสเตย์ เค้าจึงแนะนำที่นี่มา ตอนแรกก็ลังเลราคา แต่เจอห้องแล้วยอมเลย วิวดี ข่ายตังทันทีไม่คิดมาก
สี่โมงโดยประมาณ หลักจากพักผ่อนเอาแรง นั่งสูบบุหรี่ชมวิวแม่น้ำโขงเล็กน้อย ก็ได้เวลาออกไปหาข้างเที่ยงแดกอย่างเป็นทางการ เราออกเดินไปตามถนนไม่นาน ก็ตัดสินใจเลือกกินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ เพราะไม่ได้กินนานแล้ว จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อร่อยมาก ๆ
สี่โมงห้าสิบโดยประมาณ หลังจากเดินสำรวจเล็กน้อยเผื่อสำหรับหาอะไรกินวันพรุ่งนี้ และเข้าเซเว่นซื้อยาสระผม ไม่ได้สระมาสองวัน หัวมันสัส ๆ เราไม่ชอบหัวมัน ๆ แต่เมื่อเช้าอากาศหนาวเกินไปที่จะอาบน้ำ ไม่มีวันไหนจะเหมาะแก่การสระผมไปกว่าเช้าวันพรุ่งนี้อีกแล้ว (เราชอบสระผมตอนเช้า)
ระหว่างทางที่เดินลัดเลาะเข้าซอยกลับที่พัก เจอป้ายร้านนวดขึ้นมา ปวดหลังขึ้นมาทันที ขี่มอไซมาสามวันติดละ ต้องโดนซะหน่อย
หกโมงห้าสิบโดยประมาณ นวดเสร็จพอสบายตัว ก็ขี่มอไซเอาไปฝากไว้ที่ร้านซ่อม ให้เชคอาการที่ดับเมื่อเช้า กับเช็คเบรกหลังอีกนิดหน่อย เสร็จก็ออกเดินเล่นดูถนนคนเดินเชียงคาน เดินสำรวจทั้งไปกลับ คนบางตา แต่ร้านค้าบางยิ่งกว่า เราไม่ค่อยอยากซื้ออะไรเลย นอกจากเสื้อมัดย้อมที่ราคาเกินเอื้อมไปนิด ยอมตัดใจ เลยแวะกินผัดไทร้านแถว ๆ นั่น เจอน้องหมาเข้ามาชวนเล่น คาบลูกเทนนิสแฉะน้ำลายมาให้โยน น่ารักกก หน้าตาคล้าย ๆ บูลเทอเรีย แต่ขาสั้น ๆ คงเป็นพันธุ์ที่ไปผสมกับอะไรเข้าซักอย่าง ประมาณนั้น แดกเสร็จก็เดินสำรวจเส้นทางเลียบโขงนิดหน่อยก็พอ ตัดสินใจแวะเข้าที่พัก
ทุ่มยี่สิบโดยประมาณ ปกติไม่ใช่คนกินเบียร์ แต่ว่างมาก อยากแดกน้ำเย็น ๆ แถมร้านผัดไทไม่มีน้ำให้ เลยแวะสั่งช้างจากบาร์ที่พัก กระดกเข้าไป แค่คำแรกก็อร่อยแล้ว ห้านาทีก็หมดขวด เอาพอชื่นใจ ก็กลับเข้าที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวนอน
,,
อัพเดตอาการมอเตอร์ไซค์ นอกจากที่ดับไปเมื่อเช้า อาการก็จะมีเบรกหลังหาย เหยียบแล้วไม่ค่อยกิน เกือบแหกโค้งไปสองสามที แล้วก็สตาร์ทมือกลับมาใช้การไม่ได้อีกแล้ว เริ่มสตาร์ท(เท้า)ติดยากขึ้น กับเวลาวิ่งรอบต่ำขะได้ยินเสียงแกรก ๆ เป็นรอบ ๆ น่าจะเกิดจากแหวนลูกสูบหลวม กลับไปคงต้องรีบเอาไปจัดการซักที
มาเที่ยวคนเดียวก็สนุกดีระหว่างขับรถ แต่พอมาถึงแล้วค่อนข้างว่าง ไม่มีอะไรทำ เดินนิด ๆ ก็ทั่วแล้ว เลยแอบเบื่อ ๆ หน่อย คิด ๆ อยู่ว่าพรุ่งนี้อาจจะรับรถแล้วขับกลับเลยดีกว่า สองวันที่นี่อาจจะนานไปสำหรับคนเดียว ไว้ค่อยเช็คเส้นทางอีกทีว่าวิ่งเส้นไหนดีขากลับ เผื่อจะได้แวะเที่ยวที่อื่นระหว่างทาง จะได้ไม่ต้องฝืนยิงยาวเข้ากรุงเทพ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in