เอาจริง, ไม่อยากเขียนไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นละ
ทุกวันนี้ยังคิดอยู่เสมอว่า ถ้าบอกใครต่อใครว่า "ชีวิตนี้โคตรไม่สนใจญี่ปุ่นเลย" จะต้องโดนสายตา หรือนามธรรมบางอย่างตอบออกมาว่า "บ้า ตอแหล สิบปีที่ผ่านมามีวันไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นบ้าง คิด!"
ก็เลยไม่ค่อยได้พูดอย่างนี้กับใคร แต่แม่งตลก คือพอยิ่งไม่พูดก็ดูเหมือนมีภูมิเฉย ประหนึ่งว่า ถึงจะอยู่เมืองไทย แต่พูดญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สอง เจอะเจอมาร้อยแปดพันประการอย่างนี้ มันต้องเป็นกูรูแน่ๆ --- สรุป สมควรโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ที่อยากจะบอกคือ เราไม่ค่อยมีความรู้อะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นหรอก แต่เหมือนโดยจงใจบ้างไม่จงใจบ้าง มันก็มีเหตุให้ไปปะทะกับสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตที่เรียกว่า ญี่ปุ่น อยู่เรื่อยๆ เหมือนวงจรอุบาทว์ พอเริ่มจากจุดหนึ่ง อีกจุดหนึ่งมันก็ดูดเราไป ดึงเราไป ต่อไปหาอีกจุดหนึ่ง ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที แม่งวนเวียนอยู่ในโลกนี้ ชนิดที่ว่าอยากออกมาอยู่ขอบๆ แล้ว แต่ก็ต้องอยู่กับมันจนได้
ตอนแรกเรียนภาษา ว่าจะขำๆ ก็เอาจริง เอาจริงก็ไปประเทศมัน กลับมากลัวสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ เลยใช้ภาษามันสอบเข้าไปเรียนซ้ำหนักเข้าไปอีก จะฝึกงานเขาก็ไม่ให้ออกนอกสาขา งานกับคนญี่ปุ่นที่สมัครไว้จะทำพาร์ทไทม์สมัยเรียนก็ดันมาเรียกเอาตอนเรียนจบ ที่ว่าจะพาร์ทไทม์เลยกลายมาเป็นฟิวชั่นระหว่างฟูลไทม์กับฟรีแลนซ์ (ฟูลแล้นนน) จนถึงทุกวันนี้ สักพักเพื่อนที่เจอตอนไปประเทศมันเมื่อสิบปีที่แล้วอยากมาเที่ยวบางกอก ลากเราไปนั่นไปนี่ เออ ดี... บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดาวเคราะห์ที่มีวงแหวนเป็นญี่ปุ่นหมุนรอบกูเลย อยู่ในห้วงแรงดึงดูดของกันและกันไปนี่แหละ
สมัยเรียนวิชาญี่ปุ่นศึกษา อาจารย์เคยบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผสมรวมอะไรที่สุดขั้วเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ของเก่ากับของใหม่ ค่านิยมตะวันออกกับตะวันตก ฯลฯ เพราะอย่างนี้มั้ง บางครั้งความรู้สึกของเรากับญี่ปุ่นมันเลยสุดขั้วไปด้วย หลายคนบอกว่าถ้าเจอญี่ปุ่นจริงๆ ทำงานด้วยจริงๆ จะเปลี่ยนจากรักเป็นเกลียดได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าถามเรา ความรู้สึกมันสลับขั้วไปมาอยู่ตลอด บางทีก็ถึงกับจะไม่ชอบประเทศนี้ (รวมไปถึงคนในประเทศ) ด้วยซ้ำ แต่บางครั้งก็ชอบมันอิ๊บอ๋าย บอกไม่ได้ แล้วแต่สถานการณ์ที่เจอ
ความไม่ชอบ มันเลยผลักให้เราไม่อยากจะสนใจ แต่ไอ้บางเรื่องที่ชอบมันก็เลยกลายมาเป็นความทรงจำอยู่ในใจเราเอง
เคยได้ยินว่าสมองเราทำหน้าที่ฉีกเรื่องราวทุกอย่างออกเป็นริ้วๆ แล้วเก็บไว้ตามซอกต่างๆ ในสมอง เมื่อเราประมวลความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ทำได้แค่เอาริ้วความทรงจำต่างๆ นั้นมาประกอบเข้าด้วยกัน มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรือถูกต้องสมบูรณ์เหมือนที่มันเคยเกิดอีกต่อไป เราชอบนึกภาพของการเอาตัวต่อจิ๊กซอว์พัสเซิลที่ต่อเสร็จแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ให้มันกระจายไปกลางฟ้า ก่อนจะหล่นกราวลงมาระเกะระกะไปทั่ว บางชิ้นส่วนคงกระเด็นหล่นหาย ต่อให้เราสามารถต่อภาพนั้นกลับมาได้ มันก็จะไม่ครบชิ้นอีกแล้ว
ความทรงจำระหว่างเรากับญี่ปุ่นเป็นแบบนั้น... บางครั้ง เราก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นชิ้นส่วนร้ายๆ แล้วหยิบแต่ชิ้นสวยๆ มาต่อกัน
ไม่รู้สิ ใครๆ ก็คงอยากมีภาพสวยๆ เก็บไว้ดูกันทั้งนั้นแหละ จริงไหม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in