เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นู่นนี่นั่นโน่นPATNAKAN
: เมื่อฉันไปดูหนังที่เทศกาลภาพยนตร์ผู้ลี้ภัย :
  • เย้ สวัสดีค่า จะว่ายังไงดีล่ะ เราไปดูหนังมานานแล้วล่ะ ประมาณช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาค่ะ
    เทศกาลหนังนี้จัดขึ้นที่พารากอน โดย UNHCR ค่ะ เราเห็นในเฟซบุ๊ก และด้วยความที่อยู่หอก็ไม่มีไรทำ ไปหาดูหนังฟรีเหอะ+หนังประเทศแนวๆนี้หาดูแบบซับไทยยากมาก หรือแม้แต่แบบไม่มีซับก็ยังยากอยู่ดีไหนๆมาฉายฟรีและมีซับขนาดนี้เราก็ควรไปดู และเราเองก็ชอบดูหนังสารคดีค่ะ เลยตัดสินใจจะเขียน เอามาแชร์ เพื่อปีหน้ามีอีก จะได้มีคนสนใจไปดูกันเยอะๆนะคะ :D เวลาผ่านไปก็เริ่มจะลืมๆรายละเอียดแล้ว บ้าจิงงงง

    มีหนังฉายในลิสต์เยอะมากกกกก ส่วนมากจะเป็นแนวสารคดีค่ะ จริงๆเราอยากดูทุกเรื่องเลย แต่คงไม่ไหวจริง หนังสารคดีบางทีดูแล้วหดหู่หน่อยๆ แล้วก็น่าจะปวดตามากด้วยค่ะ 5555555555 เลยเลือกดูแค่สองเรื่อง ก็คือเรื่อง SONITA และ Mr.Gay Syria 


    ส่วนมากภาพยนตร์ที่เอามาได้รางวัลจากเทศกาลหนังระดับโลกมากมายเลยค่ะ เราอ่านแค่เรื่องย่อแล้วก็ไปดูเลย 555555555555

    มา พูดถึงเรื่องแรกเลยแล้วกัน


    SONITA เป็นเรื่องราวของโซนิต้า เด็กผู้หญิงอัฟกานิสถานที่อพยพมาอยู่อิหร่าน ที่ต้องการจะเป็นศิลปินแรปเปอร์ ฟังดูถ้าเป็นเรื่องในประเทศทั่วๆไปก็จะเฉยๆใช่มั้ยคะ แต่ถ้าเพลงประเทศกูมีก็จะฟังดูยากอยู่ แค่กๆๆ

    ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ที่อิหร่านผู้หญิงร้องเพลงในที่สาธารณะไม่ได้ และที่ประเพณีของอัฟกันมีการขายลูกสาวไปเป็นเจ้าสาวค่ะ 

    โซนิต้าก็พยายามทุกทาง เค้าแต่งเพลงแรปด้วยตัวเอง แปะรูปไมเคิลแจ็คสันกับริฮานน่าในสมุดสแครปบุ๊ค ตัดหน้าตัวเองแปะทับลงไปในศิลปินที่มีแฟนคลับเยอะๆดูอยู่ด้านล่าง เค้าแปะความฝันทุกอย่างของเขา รถ บ้าน ที่ๆเขาอยากไปลงในสมุดค่ะ 
    พยายามไปสตูดิโอขออัดเพลง ก็เสี่ยงมาก เพราะเป็นทั้งผู้หญิงและไม่มีใบอนุญาต เนื้อหาเพลงก็ขัดกับรัฐบาล เสี่ยงคุกโคตรๆ แล้วโดนเรียกเงินอัดเพลงแพงๆอีก

    ตัวคนถ่ายเองเขาก็อยากจะช่วยแต่ก็ต้องให้เรื่องเป็นไปตามจริงค่ะ แต่ตัวโซนิต้านี่ก็มีโรงเรียนสำหรับผู้ลี้ภัยคอยช่วย แต่พอเธอเริ่มแต่งเพลงแรปขัดกับรัฐบาล ครูก็บอกว่าคงให้การสนับสนุนเธอไม่ได้เพราะขัดกับรัฐ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะ ไหนจะปัญหาทางบ้านของโซนิต้าอีก แม่โซนิต้ามาจากอัฟกัน มาตามเธอที่อิหร่านให้ไปแต่งงานเพื่อที่จะได้ค่าเจ้าสาว ที่แย่ไปกว่านั้นคือเงินค่าเจ้าสาวนี้ต้องเอาไปให้พี่ชายโซนิต้าเอาไปเป็นค่าเจ้าสาวกับผู้หญิงคนอื่นอีก 
    โซนิต้าเลยเป็นเหมือนกับสินค้าของบ้านที่บ้านอยากขายออกไป ได้เงินมาก็เพื่อให้คนในบ้านอีกคนมีความสุขค่ะ แบบกุงงเรย ฮัลโหล ถ้าเป็นเรานี่คงจะแบบ ขายกูเพื่อให้พี่ชายได้มีเมียเนี่ยนะ ฮัลโหลลล๊ 

    ส่วนตัวแล้วเมื่อตอนไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลี (ขอยาดขาย : My Italian memories) ที่คลาสเรียนภาษาก็เจอผู้หญิงตัวเล็กๆที่น่าจะอายุน้อยกว่าเรา ซึ่งตอนนั้นเราอายุ 17 เขาก็คงจะแบบเด็กกว่าเราอะ แล้วคลาสนั้นก็จะมีเพื่อนๆที่ลี้ภัยมา แล้วต้องมาปูภาษาใหม่ทีโรงเรียนเหมือนเรา บังเอิญว่าวันนั้นเดินกลับบ้านด้วยกัน เลยถามว่า เออ คุณมาอยู่อิตาลีกับใคร พ่อแม่เหรอ ยังอายุน้อยอยู่เลยนะ นางก็ตอบด้วยหน้าตาเฉยว่า ไม่อ่ะ เราอยู่นี่กับสามีเรา ทีแรกนึกว่า หูฝาด เอ๊ะ Marito.. แปลว่าไรวะ สามี..ผัว!! อึ้งอยู่ แต่แบบ (..............) พูดไรไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของวัฒนธรรมเขา 

    แต่สำหรับเรามันแบบหดหู่มากอ่ะ เรานึกภาพไม่ออกเลยว่าเราอายุน้อยๆแบบโซนิต้าแล้วต้องถูกขายแบบสินค้าให้กับผู้ชายแก่รุ่นอารุ่นพ่ออ่ะ แล้วเรื่องที่เด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่นั่นคุยกันคือเรื่องถูกสามีซ้อม สามีแก่กว่า แล้วก็แบบ สามีเธออายุเท่าเธอเลยเหรอ ดีจัง อะไรแบบนี้ คุยกันเป็นเรื่องปกติ คือเราดูแล้วแบบ เฮ้ยยยยย 

    แต่ก็เข้าใจว่าบริบททางสังคมบ้านเขากับบ้านเราไม่ค่อยเหมือนกันอะเนอะ ถ้าผู้หญิงลุกออกมาทำอะไรบางอย่างก็เสี่ยงกว่าบ้านเรามาก แต่โซนิต้าเลือกที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ นี่เรานับถือใจเธอเลยจริงๆนะ

    โซนิต้าก็เลยต้องการจะแก้ไขปัญหาเรื่องการขายลูกสาวนี่ นางก็เลยแต่งเพลง แล้วก็ทำ MV โดยเธอคิดเรื่องราว คิดสตอรี่เอง แล้วผกก.ก็มีส่วนช่วยในการถ่ายทำค่ะ แล้วโซนิต้าก็แรปเพลงนี้ปล่อยออกมา ใน Youtube ประมาณว่าเพลงนี้จะเปลี่ยนสังคมได้ เทียบให้เห็นภาพก็เพลง ประเทศกูมีนั่นแหละ

    "Brides for sale"
    มีซับไตเติ้ลค่ะ เนื้อเพลงเจ็บปวดมากอ่ะ เราอ่านแล้วแบบ โอย หดหู่มากๆ
    แต่พอเพลงปล่อยออกไป คนก็เริ่มพูดถึงแล้วก็เริ่มเกิดกระแสในประเทศค่ะ

    แล้วที่บ้านของโซนิต้าก็มุ่งจะหาเงินอย่างเดียว จะเอาเงินอย่างเดียว หน้าเงินมาก มีประโยคนึงที่โซนิต้าบอก ซื้ออะไรแพงๆไปให้แม่ก็ได้ แม่ชอบเงินจะตาย ถ้าทำแบบนี้แม่ไม่ว่าอะไรหรอก 

    เราแบบ....โห ฟังแล้วเจ็บลึกๆนะ ไม่เห็นค่าลูกสาวเลยอะ ไม่เห็นค่าในความเป็นมนุษย์ เห็นแต่ความเป็นเงินเป็นทองอ่ะ 

    อย่างซีนนึงในเรื่องที่แม่ของโซนิต้ามาตามที่อิหร่านแล้วมาคุยที่โรงเรียนผู้ลี้ภัย ครูก็พยายามเจรจาช่วยโซนิต้าว่าถ้าเรจ่ายเงินให้คุณแล้วให้โซนิต้าอยู่ได้ไหม นางบอกได้ แต่ก็เรียกเงินแพงมาก แต่ครูก็ลองถามเฉยๆ ความจริงศูนย์ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น แต่ครูก็เจรจาทุกอย่าง 

    แล้วก็มีประโยคนึงที่แม่ของโซนิต้าแย้งว่าตอนตัวเองอายุเท่าโซนิต้า น้อยกว่าโซนิต้าอีก ก็ยังต้องแต่งงาน ครูถามแม่ของโซนิต้าก็แย้งกลับไปว่า ตอนที่คุณแต่งงานน่ะ แล้วคุณมีความสุขเหรอ

    แล้วแม่ก็ตอบว่า "จะมีหรือไม่มีก็ช่าง แต่นี่เป็นประเพณี ก็ต้องทำ"

    เราฟังจบแล้วก็อึ้ง..........................ตกลงเห็นลูกเป็นอะไรวะ รักประเพณีตัวเองมากกว่าลูกเหรอเนี่ย..

    แต่บทสรุปของเรื่องนี้ก็มีความสุขนะคะ หลังจากที่วิดิโอออกไปแล้ว ตัวผกก.ก็พยายามช่วย และก็ได้รับการติดต่อจากโรงเรียนที่อเมริกาว่า อยากให้ทุนการศึกษาโรงเรียนดนตรีกับโซนิต้า เพราะเธอเก่งและกล้าหาญมากที่ทำอะไรแบบนี้ได้ 

    โซนิต้าก็ได้ไปทำพาสปอร์ตแล้วก็ทำวีซ่า ซึ่งต้องบินไปเอาใบแจ้งเกิดกับแม่ที่อัฟกัน ซึ่งถ้าวีซ่าไม่ผ่าน เธออาจจะต้องอยู่อัฟกันแล้วก็แต่งงานแล้วหนีไปไม่ได้อีกต่อไป เราลุ้นมากแบบ โอยยยยยยยยย ผ่านเหอะ แต่ในใจก็รู้แหละว่าต้องได้ หนังสารคดีชอบทำให้เราเครียด 55555555555 

    ท้ายที่สุดเธอก็ได้พาสปอร์ตและวีซ่าไปอเมริกาค่ะ หน้าโซนิต้าดีใจมากเพราะเธอมีพาสปอร์ตจริงๆ เธอมีตัวตนจริงๆ มีเอกสารยืนยันแบบจริงๆแล้ว เราแบบจะร้องไห้ตาม เพราะช่วงต้นเรื่อง ศูนย์กับโรงเรียนผู้ลี้ภัยที่อิหร่านพาเด็กๆทำพาสปอร์ตจากกระดาษเอสี่ จะได้เรียนรู้ว่าต้องมีอะไรบ้าง โซนิต้าก็วาดฝันไว้ว่าเธออยากมีชื่อแบบนี้ มีพ่อแม่เป็นคนประเทศนี้ อะไรงี้ โคตรทัชอ่ะ

    แล้วโซนิต้าก็ไม่ได้บอกแม่ด้วยว่าจะไปอยู่เมกาถาวร พอไปถึงค่อยบอก แล้วแม่นางก็โกรธมากค่ะ แต่จุดนั้นโซนิต้าก็แบบ ถ้าฉันกลับไปฉันคงทำอะไรกับชีวิตไม่ได้แล้ว แต่อยู่ที่นี่ฉันทำตามความฝันตัวเองได้แล้ว ไว้จะกลับไปเยี่ยม (555555555555555) 

    แล้วก็ในหนังเนี่ย เราได้เห็นโซนิต้าเปิดเผยตัวตนของเธอทีละเล็กทีละน้อยด้วยค่ะ ช่วงแรกๆเธอบอกผกก.ว่า ออกไปจากห้องได้แล้ว หยุดถ่าย จะถอดผ้าคลุมผม จะนอนแล้ว ผกก.ก็ไม่ออก นางก็เดินไปปิดไฟใส่กล้องเลยค่ะ 555555 แต่ท้ายเรื่องที่ได้ไปอเมริกา เธอก็ถอดผ้าคลุมผมออก เราก็ได้เห็นตัวตนจริงๆและทุกอย่างที่เป็นตัวของโซนิต้า เราว่าตรงนี้ผกก.ก็ถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ดีค่ะ

    เรื่องราวก็ประมาณนี้ เล่าแทบจะทั้งเรื่องละ แต่มันยังมีหลายร้อยแปดพันประการในเรื่องค่ะ 
    มาต่อกันเรื่องที่ 2 ก็คือ Mr.Gay Syria


    เราสนใจตรงที่ว่าผู้ลี้ภัยหลายๆคนต้องการที่จะประกวด Mr.Gay Syria เพื่อที่จะไปแข่งกับ Mr.Gay World ประเทศอื่นๆ เหมือนมิสยูนิเวิร์สเลยค่ะ 

    ไทม์ไลน์เรื่องออกจะอิหยังวะนิดหน่อย เหมือนเค้าเล่าเรื่องถอยหลังไปแบบ จุดจบ-เริ่ม-จบ 
    ต้องโฟกัสมากๆค่ะ ตัวละครช่วงแรกๆจะเยอะด้วย แต่ดูไปเรื่อยๆเริ่มจับทางได้ค่ะว่าจะเล่าถึงใคร (อันที่จริงก็ไม่ยาก เราแค่แยกหน้าคนได้ช้า...)

    พ้อยต์ก็ไม่มีอะไร อย่างที่บอกว่าแข่งหาตัวแทนไป ซึ่งคนเข้าร่วมก็เป็นผู้ลี้ภัยจากซีเรีย มาอาศัยที่ตุรกี จัดงานกันไม่กี่คนเองค่ะ คนเข้าแข่งไม่ถึง 10 กรรมการอีกสองคน คนดูก็น้อยๆ แต่มันมีประเด็นเรื่องทางศาสนาและการไม่ยอมรับเพศที่สามในประเทศนี่แหละ 

    โดยเล่าเรื่องจากเกย์สองคนค่ะ เราก็จำชื่อที่ถูกต้องได้ไม่ชัดเจน น่าจะ Husein ฮุสเซน? 
    เค้าเป็นช่างตัดผมในร้านบาร์เบอร์เล็กๆ ส่วนอีกคนเป็นกรรมการที่เป็นคนสนับสนุนหลักในการประกวดหามิสเตอร์เกย์ซีเรียแล้วก็เป็นผู้จัดทำศูนย์ลี้ภัย LGBTQ ในเยอรมันด้วย
    ก็จะเห็นเบื้องหลังการเตรียมตัว การแสดง การประกวด การถ่ายภาพคนชนะทำทีเซอร์อะไรต่างๆ เห็นขบวนพาเหรดของ LGBTQ ที่มีตำรวจมาสลายกลุ่มคนในพาเหรด หลายอย่างมากมาย ชีวิตส่วนตัวของ Mr.Gay Syria เรื่องเล่าและชีวิต ตามแบบหนังสารคดีทั่วไป

    การประกวดก็ไม่มีอะไรเราดูแล้วก็เนือยๆหน่อย แต่มันมาพีคตรงที่...ฮุสเซนเขาแต่งงานและมีลูกแล้ว 
    ด้วยความศาสนาของเขาทำให้เขาต้องปกปิดตัวตนไว้ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นเกย์ ครอบครัวก็ไม่รู้ ภรรยาก็ไม่รู้ แต่เขาต้องทำไปตามธรรมเนียม แต่เขาก็รักลูกสาวของเขามากๆค่ะ เขาอยากชนะการประกวด ได้ไปแข่ง ได้พาลูกสาวไปยังที่ที่ดีกว่านี้และยอมรับทุกอย่าง เข้าใจโลกให้ได้มากกว่าที่ที่เขาเคยอยู่ อะไรแบบนี้ 

    ตอนแบบเฉลยว่าเขามีเมียนี่นั่งอึ้งไปแป๊บ เดี๋ยวๆ อะไรนะ นี่เข้าข่ายสปอยไหมอะ เอาเถอะ หนังสารคดี ตื่นเต้นไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว 5555555555555555

    แต่ทั้งสองเรื่องที่เราไปดูมาจะมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ เช่น เรื่องความรัก ไม่ว่าจะรักในฝันของตัวเอง หรือรักใครสักใคร รักลูก รักผู้ชาย รักครอบครัว และเรื่องศาสนา ข้อห้าม ประเพณีต่างๆ เกี่ยวข้องกันอยู่

    ทั้งโซนิต้าและฮุสเซน ไม่อาจทำอะไรๆที่พวกเขาต้องการได้เพราะเรื่องศาสนาและประเพณีในประเทศของพวกเขา แต่พวกเขาต่างก็เลือกที่จะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน โดยที่หวังว่าคลื่นเล็กๆที่พวกเขาสร้างขึ้นจะแผ่ขยายไกลออกไปและส่งพลังออกไปได้ (อืม ดิชั้นพยายามคมแล้วแต่มันได้เท่านี้ค่ะ)

    แต่น่าเสียดายที่ฮุสเซนไม่เหมือนกับโซนิต้า เพราะประเทศมอลต้าไม่ให้วีซ่าผ่านให้เขาเข้าประเทศเพื่อไปแข่ง และท้ายที่สุดครอบครัวของเขาก็รู้ว่าเขาเป็นเกย์ ในท้ายเรื่องเขาต้องเดินทางส่งภรรยากลับไปที่ซีเรีย เราก็ไม่ได้เห็นหน้าภรรยาของฮุสเซนแต่ก็รู้ได้ว่าเธอน่าจะเสียใจมาก และพอรับไม่ได้เลยตัดสินใจจะกลับบ้านเกิดพร้อมลูก หมายความว่าฮุสเซนเสียทั้งลูกและภรรยาไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันเมื่อไหร่อีกค่ะ แล้วเรื่องก็ตัดจบไปเลย .............

    เราค่อนข้างคาใจมากเพราะเดาได้ว่าโซนิต้าเธอก็คงจะมีชีวิตที่ดีต่อไป แต่ในกรณีฮุสเซนนี่มันอึมครึมแล้วก็หักมุมในใจมาก เพราะหนังสารคดีที่เราดูมาส่วนมากชอบแสดงให้เราเห็นความหวังเล็กๆริบหรี่แต่สุดท้ายก็สำเร็จ แต่ฮุสเซนนี่ชีวิตมืดหม่นไปหมดเลย ขนาดช่วงที่ชนะการประกวดมิสเตอร์เกรย์ซีเรีย สภาพจิตใจเขาก็ยังไม่พร้อมรับอะไรหลายๆอย่างมาก

    แต่ในเรื่องก็เล่าถึงเพื่อนอีกคนของฮุสเซนที่สุดท้ายเขาก็ขอลี้ภัยไปอยู่อีกประเทศกับแฟนของเขาได้ค่ะ อันนี้ก็เป็นโมเม้นเล็กๆที่ทำให้อบอุ่นใจมาก เพราะในเรื่องเขาติดต่อกันผ่านสไกป์ เป่าเค้กวันเกิดอะไรต่างๆมากมายแต่ไม่ค่อยได้เจอกันตัวจริงๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ในเรื่องหลังจากที่เรื่องมันเครียดเหลือเกิน 55555555555555555

    รู้สึกเหมือนว่าน่าจะมีให้ดูใน Netflix อยู่นะคะ เราก็ไม่แน่ใจ ลองค้นดู โซนิต้าน่าจะมี

    เรารู้สึกว่านานๆทีจะได้ดูหนังจากประเทศอื่นๆก็ดีเหมือนกัน หาดูได้ยากจริงๆ ขอบคุณ UNHCR ด้วยที่นำมาฉายให้ดูกันฟรีๆมีซับด้วย คนไทยแอบน้อยหน่อยค่ะ วันนั้นที่เราดูมีแต่คนต่างชาติ ปีหน้าถ้ามีอีกก็ไปดูกันเยอะๆนะคะ  

    ก็ได้ความรู้และเปิดโลกดีนะคะ แบบถ้าเราไม่ได้ดูหนังสารคดีเราก็คงจะไม่ได้สนใจค้นหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเหล่านี้แบบจริงจัง แต่ในหนังนี่จะเห็นสภาพบ้านเมือง วัฒนธรรม ประเพณี ผู้คน เยอะเลย แล้วก็เห็นปัญหาสังคมที่ควรจะได้แก้ไขด้วย อาจจะฟังดูไกลตัวไปหน่อยแต่ว่า เราว่าดูหนังพวกนี้แล้วเราคิดถึงปัญหาเหล่านี้มากขึ้นอะ รู้สึกอยากช่วยแต่ควรทำไงดีวะ 55555555555 
    หลายๆฉาก มันเป็นเรื่องธรรมดาของเรา แต่เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญของเขา เรื่องการต่อสู้เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความเลวร้ายและความไม่เท่าเทียมนี่ก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่า เออ พวกเขากล้าหาญมาก และมันมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกจริงๆอ่ะ เราเห็นสภาพความเป็นอยู่ของอีกฟากหนึ่งของโลก ความเป็นไป ชีวิตของคนแปลกหน้าที่เค้าลำบากอะไรกว่าเรามากมายอะไรงี้ มันทำให้เออ เราเข้าใจโลกมากขึ้นนิดหน่อยก็ยังดี 

    ลองเปิดใจดูหนังสารคดีกันดูนะคะ ไม่น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก อันที่จริงเราก็อยากเล่าอะไรหลายอย่าง แต่มันนานแล้วก็ลืมบ้าง จำได้แค่นี้......... แต่ก็หวังว่าทุกคนจะลองเปิดใจชมภาพยนตร์สารคดีกันนะคะ

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันด้วยค่ะ ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าค่า :D

    ปล.จะเขียนเรื่องงานเทศกาลภาพยนตร์ของสหภาพยุโรปด้วย เร็วๆนี้ ฝากติดตามและสนับสนุนบล็อกเราด้วยนะคะ ไหว้ค่า แง T_T ไปไลค์เพจบนเฟซก็ได้ ถึงจะไม่ค่อยได้อัพงานเขียนก็เถอะ ฮ่าาา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in