เพราะนายร่มปริศนาคนนั้น ผมจึงพกร่มที่ไม่ใช่ของตัวเองออกจากบ้านทุกวัน
ราวกับเป็นกฎสากลที่ไม่มีการตราเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าเป็นที่รับรู้ทั่วกัน เกือบร้อยทั้งร้อยเวลาที่คุณพกร่มหรือเสื้อกันฝนติดตัวมา ท้องฟ้าก็พลันแจ่มใสไปทั้งวัน ได้ผลชะงัดยิ่งกว่าตุ๊กตาไล่ฝนเสียอีก
ส่วนผมนั้นรำคาญร่มบ้านี่จะแย่อยู่แล้ว ช่างเกะกะเวลาอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่อาจเอาใส่เป้สะพายหลังเพราะเสี่ยงจะไปฟาดหน้าใครเอา พอวางไว้ที่ร้านอาหารข้างทางก็พาลจะลืมจนต้องเดินกลับไปหยิบอีกรอบ ผมเดินกลับบ้านทางเดิมเวลาเดิมทุกวัน แต่ไร้เงานายร่มที่เดินสวนกันเมื่อวันก่อน มาก่อนเวลาก็แล้ว อยู่รอจนเวลาล่วงเลยก็แล้ว เขาหายหน้าไป ขณะที่พื้นถนนแห้งเขรอะเลอะฝุ่นเพราะสายฝนยังมาไม่ถึง
เขาอาจเป็นคนแปลกหน้าประเภทที่พบพานได้ครั้งเดียวในชีวิต เป็นประเภทที่คุณไม่ควรเก็บมาคิดให้วุ่นวายใจ แต่สุดท้ายก็ดันใช้เวลาค่อนชีวิตนึกถึง ด้วยกลัวว่าสวรรค์จะส่งสัญญาณมาให้และคุณพลาดไปเพราะขบคิดไม่ออก
ผ่านไปได้ราวสัปดาห์ ผมทิ้งร่มสีดำใหม่เอี่ยมคันนั้นไว้ที่ข้างประตู
แล้วฝนก็ตก
และเขาก็มา
_______________________________
ฝนตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในเย็นวันศุกร์ เสียงคนก่นด่าดังขึ้นเป็นสองเท่า ถนนกลายเป็นทะเลระยิบระยับ สถานีรถไฟใต้ดินท่วมท้นด้วยคลื่นคนชุ่มโชกหนาวสั่น ผมหลีกเลี่ยงไม่จมดิ่งลงไปในวังวนคนหัวร้อนเหล่านั้น เสื้อแจ็กเก็ตตัวเดียวของผมทำหน้าที่กำบังแก้ขัดขณะเดินข้ามถนนไปยังร้านกาแฟเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักในตรอกบนเส้นทางกลับบ้าน ปกติมันเป็นมิติที่ห้าสำหรับคนเลิกงานดึกและนอนไม่หลับอย่างผม สถานที่ซึ่งคุณสามารถสั่งอเมริกาโนร้อนๆ ตอนเที่ยงคืนได้โดยไม่มีใครตัดสิน เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมาเหมือนแมวซึมเซา ไม่ถือสาสุนัขพเนจรตัวเปียกปอนที่หลงมา
ผมนั่งลงตรงเคาน์เตอร์ยาวที่ติดกับหน้าต่าง ตรวจดูเอกสารในกระเป๋าเป้ว่าไม่มีอะไรเสียหาย ก่อนจะหยิบต้นฉบับมาตรวจทานต่อ แต่หยดน้ำจากปลายผมกลับทำหมึกพิมพ์ราคาถูกบนกระดาษเปื้อนเป็นด่างดวง เจ้าของร้านวัยสี่สิบปลายเหมือนเวทนา หยิบยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้พร้อมกับกาแฟร้อน ทั้งร้านมักจะมีแค่ผมกับเขา เราเหมือนพี่น้องจากดาวคนละดวง
แต่ก็ไม่นานนักหรอก
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งโดนเสียงธรรมชาติกลบหมด ผมจึงไม่ใคร่ใส่ใจว่ามีลูกค้ามาใหม่อีกคน จนกระทั่งสายตาพาลไปหาคนที่กล้าบุกมานั่งข้างๆ ในร้านแสนโล่ง ถึงตรงนี้คุณคงรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ผมรู้ หรือจริงๆ คือจำได้ เมื่อได้เห็นทั้งผมเผ้า สีผิว ริมฝีปาก เสื้อโค้ตหลวมโคร่งสีดำที่มีอวลไอฝนข้างนอกติดตัวเข้ามาด้วย เขาต่างหากที่ดูไม่สนใจใครหรืออะไรรอบข้าง นอกจากออกปากสั่งเมนูท้าทายสามัญสำนึกอย่าง “ช็อกโกแลตมิลค์เชค” เขาก็ดูจะลืมเลือนอย่างอื่นไปสิ้น ผมเอี้ยวตัวไปมองข้างๆ ตัวชายลึกลับจากเมื่อวันก่อน วันนี้เขามีร่มสีครีมนวลตา
“ขอโทษนะครับ” ผมอดรนทนไม่ไหวจนต้องทัก ขณะที่เขาหันหน้ามองเม็ดฝนไหลลงมาเหมือนเด็กเล็กในวันว่าง ส่งเสียงตอบรับแค่ “หือ” อย่างใจลอย
“คือว่าวันนี้ผมไม่ได้เอาร่มมาคืนคุณ”
“อือ”
นัยน์ตาที่วันนี้ผมรู้ว่าเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านออก คนอะไรรูปร่างหน้าตาอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน แต่ทำตาใสซื่อไม่รู้ประสาเหมือนเด็กวัยเพิ่งเข้าเรียน ในขณะเดียวกันก็ดูเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าเหมือนคนชราก็ไม่ปาน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามาคืนดีไหมครับ”
พอมิลค์เชคมาเสิร์ฟ เขาไม่ตอบคำถามผม แต่ก้มหน้าดูดเอาจากหลอดด้วยอาการเซื่องๆ ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นกิริยาปกติหรือว่าเขาเมายากันแน่
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะเอามาฝากที่นี่ไว้นะครับ”
“อือ”
พิลึกพิลั่น ผมลงความเห็นชี้ชัดว่าหมอนี่ไม่น่าเสียเวลาเซ้าซี้ด้วย ขณะที่ผมเก็บข้าวของจรลีออกจากร้าน ชายชุดดำก็นั่งอมหลอดพลางมองฝนตกนอกหน้าต่างอยู่นั่น เมื่อหันหลังกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย ภาพของเขาหลังบานกระจกเหมือนเมฆดำทะมึน ผมสาวเท้ากลับบ้านบนทางสายเดียวกับที่พบนายร่ม สายฝนตกลงมาเงียบงันเมื่อถึงพื้นคอนกรีต
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in