ผมไม่มีร่ม
ไม่ใช่การหลงลืมเผลอไผลเหมือนคนละเมอเดินไปทำงานทุกๆ เช้า ผมเห็นร่มคันใหญ่วางพิงผนังข้างประตูเสมอมา เห็นชัดเต็มสองตา อาจกล่าวได้ว่าเสียสละเวลาเล็กน้อยพินิจพิจารณามันด้วยซ้ำ แต่แล้วอย่างไรเล่า ทุกวันเริ่มต้นด้วยข้อสรุปเดียวกัน ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจถือให้เกะกะ ฝนยังไม่ตกสักหน่อย ผมกล้าประกาศเอาโดยไร้สถิติรองรับว่ามีคนอีกหลายล้านคนก้าวออกนอกบ้านไปด้วยตรรกะเดียวกันนี้
ไม่ต้องสงสัย มีบางวันที่คนหลายล้านคนนั้นลงเอยด้วยการเปียกปอน สบถก่นด่าโชคชะตาและลมฟ้าอากาศ รวมไปถึงเป็นไข้หวัดให้อารมณ์ร้ายไปทั้งสัปดาห์ แต่ขอโทษนะครับ คราวนี้ผมไม่ใช่คนหนึ่งในคนจำนวนนั้นเสียแล้ว หากฝนตก ผมก็แค่ทำงานล่วงเวลาไม่ได้ค่าจ้างรอไปพลาง ไม่ก็เดินฝ่าสายฝนบางเบาเหมือนละอองหมอกน้ำค้างตอนใกล้เช้า ใช่ครับ บางครั้งก็เป็นตอนใกล้เช้าจริงๆ คุณคงพอเดาออกว่าคนอย่างผมไม่สนใจเวลา ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือความลำบากที่มากับพวกมันสักนิดเดียว จนกระทั่งวันนั้น —
ชีวิตก็แบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงคนกร้านโลกราวกับอยู่มานานเกินกว่าสามสิบขวบปี ชีวิตธรรมดาสามัญอันก่อเกิดจากกิจวัตรของผมหรือคุณอาจกระเพื่อมไปเพราะอะไรหรือใครบางคน เหมือนมีเด็กน้อยเอามือแตะบ่อน้ำใสนิ่ง หรือบางครั้งก็เหมือนแก้วน้ำที่สั่นไหวเพราะไทแรนโนซอรัสกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้
ส่วนจังหวะชีวิตผมนั้นเปลี่ยนไปเหมือนฝนเม็ดแรกร่วงลงสัมผัสแขนเปลือยเปล่า
เพราะว่าวันนั้นฝนตกและผมไม่มีร่ม แต่เขามี
___________________________
ใต้แสงไฟข้างถนนสลัวๆ เวลาตีสาม ฝนโปรยปรายอย่างอ่อนโยน แผ่วเบาในระดับที่คนรักฝนคงไม่ใคร่อยากพึ่งพิงร่ม ส่วนผมไม่ได้ปีติยินดีหรือทุกข์ร้อนใดๆ เราเดินสวนกันบนถนนสายแคบที่มีบ้านเรือนอยู่สองฝั่ง น่าจะห่างกันครึ่งก้าวตอนเขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ขอโทษนะครับ” เสียงดังเหมือนตกใจ ผมสิควรเป็นฝ่ายตระหนกในเมื่อมือของเขาคว้าแขนของผมไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ผมไม่มีเงินนะ” ผมรีบบอก
คนแปลกหน้ายืนนิ่ง ดูจะงุนงง ก่อนจะยื่นร่มที่คลุมอยู่เหนือศีรษะมาให้ผม
“คุณไม่มีร่มต่างหากครับ”
ถ้อยคำบนหน้ากระดาษไม่มีเสียงจนคุณอาจคิดไปว่าเขากำลังกวนอารมณ์ผม แต่เปล่า วิธีการพูดของเขาฟังคล้ายการแจ้งข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ชายชุดดำตัวสูงคนนี้ขยับข้อมือหมายส่งร่มคันใหญ่ให้ผม ท่าทีไม่มีความห่วงใยหรือเสน่หาใดเป็นพิเศษ ภาษากายเหมือนจะบอกว่า รับไปสิ ไอ้โง่เอ๊ย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จู่ๆ ฝนก็ตกหนักขึ้นอีก ร่างกายอ่อนล้าของผมกุมด้ามร่มแทบจะอัตโนมัติ
ชายลึกลับหันหลังกลับ ลับหายไปตรงหัวมุมถนนและกลืนไปกับความมืดราวกับภูตยามราตรี ผมยืนบื้อใบ้ เมื่อหวนระลึกถึงค่ำคืนนั้นก็ดูจะจำได้แค่ใบหน้าเย็นชาเหมือนรูปปั้น ริมฝีปากสีระเรื่อที่โดดเด่นกว่าอะไร ไม่รู้ว่านัยน์ตาเขาสีเป็นอย่างไร แต่เส้นผมและเสื้อโค้ตตัวโคร่งของเขาเป็นสีดำ และมือที่เผลอสัมผัสกันสั้นๆ นั้นเย็นเฉียบเหมือนฝนหน้าหนาวในคืนกลางฤดูร้อน
___________________________
เปล่าครับ เขาไม่ใช่แวมไพร์
(แต่ถ้าเป็นก็ดีเหมือนกัน, ผมคิดได้ในภายหลัง
อย่างน้อยเราคงได้พบเจอกันง่ายกว่านี้)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in