Note : ฟิคง้อเนเน่
กระดิ่งที่แขวนอยู่บนประตูกระจกของร้านกาแฟเล็กๆส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งตามแรงผลักของใครบางคน
ใครบางคนที่แนนซี่นั่งรอมาทั้งวัน
คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาล
เธอมักจะเข้ามาสั่งเมนูนี้แล้วก็เลือกนั่งที่โต๊ะตรงริมหน้าต่างที่เยื้องเคาน์เตอร์ไปนิดหน่อย
อืม นับว่าเลือกที่นั่งได้ดีมากเลย เพราะมองจากมุมของแนนซี่แล้วเห็นอีกคนได้ชัดเจนเลยล่ะ
ทันทีที่เธอนั่งลงแมคบุ๊คสีเงินก็ถูกกางออก
พวกเข้ามานั่งทำงานในร้านนานๆแต่สั่งแค่กาแฟแก้วเดียวน่ะแนนซี่ไม่ชอบเอาซะเลย
แต่คนนี้เป็นข้อยกเว้นจริงๆ
ต่อให้เข้ามานั่งทำงานแล้วไม่สั่งอะไรเลยเธอก็ไม่โกรธอยู่ดี เพราะภาพที่อีกคนนั่งทำงานอย่างจริงจังมันมีเสน่ห์มากจนเผลอมองตามทุกที
งั้นก็จ่ายค่ามองเป็นการปล่อยให้อีกคนนั่งทำงานในร้านได้ทั้งวันเลยก็แล้วกัน
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่อีกคนนั่งทำงานอยู่ในร้าน(โดยมีแนนซี่นั่งมองอยู่ตลอด) แต่สุดท้ายเธอก็ต้องลุกออกจากร้านไปเพราะเสียงเรียกเข้าจากใครบางคน
และแน่นอนว่าก่อนออกจากร้านก็ต้องจ่ายเงิน
แนนซี่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ลูกค้าตัวสูงเดินมาหยุดที่ตรงหน้าเคาน์เตอร์
ให้ตายเถอะ ถึงจะคิดเงินให้อีกคนมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ชินอยู่ดี จะใจสั่นแบบนี้ไปอีกกี่รอบกันนะ
กว่าคำว่า ‘ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ’ จะหลุดออกไปอีกคนก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากร้านไปซะแล้ว
/
เสียงเพลงรักหวานๆที่ถูกเปิดเพื่อเพิ่มบรรยากาศในร้านไม่ได้ซึมซับเข้ามาในโสตประสาทของแนนซี่เลยสักนิด
ก็วันนี้คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลของเธอมาช้ากว่าปกตินี่นา ทั้งที่ความจริงตอนนี้เธอควรจะได้เห็นหน้าสวยๆนั่นตอนทำงานแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีวี่แววของอีกคนเลย
ใบหน้าน่ารักของแนนซี่แนบลงกับเคาน์เตอร์อย่างเบื่อหน่าย
พอไม่มีคนคนนั้นให้นั่งมองแล้วทุกอย่างก็ดูน่าเบื่อไปหมด
แบบนี้เรียกว่าคิดถึงได้หรือเปล่า ถ้าได้ล่ะก็ ตอนนี้แนนซี่คงคิดถึงคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลมากๆเลยล่ะ
อยากจะส่งเอาความคิดถึงที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศส่งไปให้อีกคนรู้
แต่ดูเหมือนว่าอีกคนคงไม่รู้
เพราะวันนี้ไม่มีคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลให้เธอนั่งมอง
/
โต๊ะริมหน้าต่างที่เนื่องจากเคาน์เตอร์ไปยังคงว่างเปล่า ไม่มีใครมานั่งทำงานตรงนั้นเหมือนทุกวัน
เป็นเวลาสามวันถ้วนที่คุณลูกค้าคนพิเศษหายตัวไปและไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไร สิ่งที่แนนซี่ทำได้ก็คงมีแต่นั่งรออยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ รอให้ใครบางคนที่เธอรอเข้ามาแล้วสั่งเมนูเดิมๆแล้วไปนั่งทำงานที่โต๊ะตัวเดิม
แต่ใครคนนั้นก็ไม่มา
วันนี้เป็นวันที่4แล้วที่แนนซี่ไม่ได้เจอกับคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาล แต่เป็นวันแรกที่เธอเลิกที่จะรอ
บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลา หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว เพราะฉะนั้นเธอจึงเลือกที่จะเลิกรอ
แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะเง้อมองทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าประตูร้าน และบางทีก็เผลอภาวนาอยู่ในใจว่าให้ได้เจอคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลอีก
ดูเหมือนว่าเธอคงจะไม่ใช่ลูกชังของพระเจ้ามากนัก
เสียงกระดิ่งหน้าประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่เธอเฝ้าคิดถึงตลอดสามวันที่ไม่ได้เจอ
“คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาล!”
คงเป็นเพราะความคิดถึงที่มีอยู่มันมากเกินไปเลยเผลอหลุดปากออกมาอย่างนั้น
แนนซี่เผลอตะครุบปากตัวเองทันทีที่รู้ตัว
“จำเมนูฉันได้ด้วยหรอคะ นึกว่าจะลืมแล้วซะอีกเพราะไม่ได้มาตั้งหลายวัน”
“จำได้สิคะ”
ก็คุณน่ะพิเศษนี่นา
“แหม เก่งจังเลยนะคะ”
แนนซี่อยากจะวิ่งไปขอโทษเด็กข้างบ้านที่เธอเคยไปพูดใส่ว่าทิงเกอร์เบลล์น่ะไม่มีจริง
ตอนนี้เธอเชื่อหมดใจแล้วว่าทิงเกอร์เบลล์น่ะมีอยู่จริง
แค่รอยยิ้มของคนคนนึงก็ทำเอาเธอแทบลอยอย่างกับตกอยู่ในอำนาจของผงพิกซี่ไม่มีผิด
ถ้าอีกคนยังยิ้มให้อยู่แบบนี้มีหวังใจเธอได้หลุดลอยไปอยู่ที่เจ้าของรอยยิ้มเป็นแน่
ฟังดูอันตรายจังเลยแฮะ
ในที่สุดโต๊ะริมหน้าต่างที่เยื้องเคาน์เตอร์ไปก็ไม่ว่างอีก เพราะเจ้าของเขามานั่งทำงานอยู่เหมือนเดิมแล้ว
บรรยากาศในร้านก็ดูจะเปลี่ยนจากเมื่อสามวันที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง คุณเจ้าของร้านที่เคยนั่งซึม ชงกาแฟแบบเอื่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่ชงกาแฟไปฮัมเพลงไป
ดูจะอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง
แต่คุณตัวต้นเหตุของอารมณ์ที่แปรปรวนของเจ้าของร้านก็ดูไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกลับคิดว่าเป็นเรื่องปกติเสียอย่างนั้น
เพื่อที่จะให้คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลของเธอรู้ตัวแนนซี่จึงเอาเจ้าอมยิ้มรสสตอเบอร์รี่วางไว้ข้างแก้วกาแฟของอีกคนตอนไปเสิร์ฟ
ข้ออ้างที่ดูยังไงก็ไม่เนียนถูกยกมาบังหน้า
‘ต้อนรับการกลับมาของลูกค้าประจำ’
ถ้าไม่นับอาการร้อนวูบวาบตรงข้างแก้มหรือรอยยิ้มที่เก้กังๆของเธอแล้วล่ะก็ แนนซี่คิดว่ามันคงเนียนมากพอที่จะกลบความคิดถึงตอนเธอได้หมดเลยล่ะ
“หน้าแดงจังเลยนะคะ”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าเธอคงแดงยิ่งกว่าสีเปลือกอมยิ้มนั่นอีก แต่พออีกคนพูดแบบนี้แล้วก็เหมือนว่าหน้าเธอจะยิ่งแดงยิ่งกว่าเดิมแถมยังมีผลข้างเคียงคืออาการใจสั่นทั้งที่ไม่ได้เป็นคนกินกาแฟอีกต่างหาก
ไม่ได้การ แบบนี้ต้องถอยทัพก่อน
ดูเหมือนว่าสามวันที่หายไปคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลของเธอจะร้ายกาจมากขึ้น จากที่เธอเป็นฝ่ายลอบมองอยู่ฝ่ายเดียวจากหลังเคาน์เตอร์ก็กลับกลายเป็นว่าอีกคนก็มองเธอจากโต๊ะตัวเองเหมือนกัน
พอสบตากันทีไรก็เป็นเธอทุกทีที่เป็นฝ่ายหลบตาก่อน
แพ้ราบคาบเลยแนนซี่เอ๋ย
สงครามจ้องตาดำเนินมาเรื่อยๆและเป็นเธอเองที่แพ้ทุกครั้งที่ลงสนาม จนจวนจะปิดร้านอยู่แล้วมันถึงได้หยุดลง
คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลออกจากร้านไปแล้วและเธอเองก็ต้องเก็บร้านแล้วกลับบ้านไปนอนแล้ว
ถ้าสายตาของเธอไม่เหลือบไปเห็นสมุดสีฟ้าเล็กๆที่อีกคนลืมไว้เสียก่อน
หวังว่าอีกคนคงจะยังไปไหนไม่ไกลนะ
สองเท้าของเธอรีบก้าวออกจากร้านทันที ในใจก็ภาวนาไปด้วยว่าขอให้เจอคุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลเร็วๆเพราะอากาศตอนนี้เริ่มหนาวเต็มทีแล้ว
อาจเป็นเพราะตอนเด็กเธอเข้าโบสถ์กับคุณแม่บ่อยๆพระเจ้าถึงยอมฟังคำขอของเธออยู่ร่ำไป
เธอมั่นใจว่าตรงนั้นคือคนที่เธอกำลังตามหา
“คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลคะ คุณลืมของค่ะ”
/
คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาล
เธอเรียกฉันแบบนั้นและฉันก็ชอบมันมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรกซะอีก
ฉันชอบเวลาที่สายตาของคุณเจ้าของร้านตัวเล็กคอยจ้องมองฉันจากหลังเคาน์เตอร์ ฉันชอบกาแฟที่เธอชงให้ ชอบบรรยากาศและการตกแต่งของร้านทุกครั้งที่เดินเข้าไปสั่งเมนูเดิมๆ ชอบสไตล์การแต่งตัวที่น่ารักของคุณเจ้าของร้าน
ให้ตายเถอะ ยอนอูคนขี้ขลาด แค่จะบอกว่าจริงๆแล้วฉันชอบคุณเจ้าของร้านกาแฟก็ยังไม่กล้าเลย
เพราะไม่กล้าเข้าหาตรงๆฉันถึงได้เข้าไปสั่งกาแฟทุกวันแทน แต่ถ้าสั่งแบบธรรมดามันก็ไม่พิเศษน่ะสิเพราะงั้นถึงได้ต้องมีข้อแม้เล็กๆอย่างไม่ใส่น้ำตาลเข้ามา
การเลือกนั่งที่โต๊ะตัวเดิมนั่นก็ไม่ได้มาจากความสะดวกอะไรหรอก เพียงแค่ฉันคำนวณมาแล้วว่าคุณเจ้าของร้านจะต้องมองเห็นและฉันก็เห็นคุณเจ้าของร้านเหมือนกัน
ฉันทำแบบนี้เป็นเดือนจนมั่นใจว่าคุณเจ้าของร้านจะต้องจำฉันได้อย่างแน่นอน
แผนการต่อมาจึงเริ่มขึ้น
ฉันลองหายตัวไปสักสองสามวันเพราะอยากรู้ว่าคุณเจ้าของร้านจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือเปล่า และมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้
คุณเจ้าของร้านดูซึมลงไปจากปกติพอตัวเลย
รู้ไหมว่าฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการห้ามใจตัวเองไม่ให้เผลอพุ่งเข้าร้านกาแฟของเธอก่อนครบสามวันทั้งที่อยากกินมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลของคุณเจ้าของร้านใจจะขาด
วันนี้ก็เป็นวันที่สี่แล้วหลังจากที่ฉันลองหายไป
วันที่ฉันรอคอยและฉันเชื่อว่าคุณเจ้าของร้านก็รอคอยมันเหมือนกัน
ฉันกลับมาที่ร้านอีกครั้ง ไม่อยากจะบอกว่าฉันดีใจแค่ไหนตอนที่อีกคนนึงพูดออกมาว่า 'คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาล’
ดีใจจนเกือบจะหลุดยิ้มออกมา แต่โชคดีที่ฉันค่อนข้างจะเก็บอารมณ์ได้ดีถึงได้มีหน้าไปหยอดใส่อีกคนนิดหน่อย
แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวความน่ารักของคุณเจ้าของร้านไม่ไหวจนต้องเผลอยิ้มออกมาจนได้
และเผอิญว่าฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจในความสวยของตัวเองที่ได้รับการการันตีด้วยดีกรีดาวคณะสมัยเรียนมหาลัย เพราะฉะนั้นฉันจะขอคิดว่าคุณเจ้าของร้านคงจะหลงรอยยิ้มของตัวเองก็แล้วกัน
แผนการหายตัวไปสามวันทำงานดีกว่าที่คาดการไว้ ฉันได้อมยิ้มรสสตรอเบอร์รี่หนึ่งอันจากคุณเจ้าของร้าน
แก้มคุณเจ้าของร้านน่ะแดงพอๆกับสีเปลือกอมยิ้มเลย แต่น่ากินกว่าเยอะเลยล่ะ
พอเห็นแบบนั้นแล้วก็อดที่จะแกล้งไม่ได้
“หน้าแดงจังเลยนะคะ”
การหายไปสามวันทำให้ฉันปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นจนสามารถแกล้งแซวอีกคนได้หน้าตาย
เธอดูตกใจนิดหน่อยก่อนจะรีบหนีไปแอบหลังที่กำบังหนึ่งเดียวในร้านหรือเรียกอีกอย่างว่าหลังเคาน์เตอร์
อย่างกับลูกแมวเลยนะ น่ารักจัง
วันนี้ฉันนั่งอยู่ในร้านนานกว่าปกติเพราะว่าไม่ได้เข้ามาตั้งสามวันเลยต้องนั่งให้นานกว่าเดิม
เมื่อกี้ฉันโกหกน่ะ
จริงๆแล้วคือรอเวลาปิดร้านเพื่อเริ่มแผนต่อไปต่างหาก
ฉันเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังในร้านก็พบว่าอีกประมาณสิบห้านาทีจะถึงเวลาปิดร้านแล้วเลยลุกออกไป
เมื่อเดินออกมาจากร้านได้ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าที่พยายามจะก้าวให้ทันฉันดังตามมา
“คุณมอคค่าไม่ใส่น้ำตาลคะ คุณลืมของค่ะ”
ฉันยกยิ้มก่อนจะค่อยๆหันไปหาอีกคนช้าๆ
ฉันไม่ใช่คนขี้ลืมและนี่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
มันเป็นความตั้งใจของฉันทั้งหมด
ทุกอย่างมันถูกวางแผนไว้หมดแล้วต่างหาก
“อ่า ขอบคุณค่ะ จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันจะตอบแทนคุณด้วยการเลี้ยงมื้อดึกสักมื้อ”
และแผนของฉันก็ทำงานได้ดีพอที่ฉันมั่นใจได้ว่าคำตอบของอีกคนจะต้องเป็นการตกลงอย่างแน่นอน
“ตกลงค่ะ”
___________________________________________________
เพิ่งจะเห็นว่าเนื้อหามันไม่ครบทั้งที่ลงไปนานแล้ว555555
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in