ep.3 (the end) / (ตอนที่ 3 too little) จบ
เธอตื่นมาเห็นผมยังไม่ได้นอน แต่ก็ไม่ได้ทักอะไรเหมือนเข้าใจดี เราต่างแยกย้ายทำธุระส่วนตัว วันนี้เธอใส่กางเกงยีนส์สีดำรัดรูปแบบเดิมแต่มีรอยขาดเล็กน้อยที่หัวเข่า เสื้อยืดรัดรูปแขนยาว-มันมีสีเทาเข้ม เธอสวมถุงเท้าสีขาวและใส่รองเท้าผ้าใบสีเทามีลายรูนส์ที่เธอเขียนเอง เธอมัดผมหางม้า รวบขึ้นสูงและปล่อยลงมา วันนี้เธอดูทะมัดทะแมงอย่างเห็นได้ชัด
เราทานอาหารเช้าง่ายๆกันอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรกันมาก ไม่นานเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง เราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้ามืด และเธอบอกว่าแปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มเพื่อนที่นัดหมายไว้ หนึ่งในนั้นมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม เธอดูกังวลใจอย่างเห็นได้ชัดและความกังวลนั้นส่งต่อมาที่ผมด้วย ผมไม่กลัวอะไรอยู่แล้วแต่ผมกลัวแทนเธอ เมื่อกลุ่มคนที่พาเราเดินทางวันนี้ไม่มีสักคนที่เธอรู้จัก เราเดินทางด้วยรถยนต์อย่างเคย เธอนั่งพลางเล่นมือถือ ดูผ่านๆเหมือนเธอกำลังพิมข้อความหาใครสักคน เธอเห็นผมมอง เลยบอกผมว่ากำลังส่งอีเมลหาเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนนั้น ผมถามว่าสิ่งนี้มันแปลกมากเหรอ เธอพยักหน้ารับก่อนบอกว่าเมื่อคืนนี้ เธอและคนอื่นที่จะทำงานในส่วนเรื่องของผมได้วางแพลนกันอย่างดีว่าใครจะทำหน้าที่อะไรกันบ้าง และทำในเวลาไหนบ้าง แต่วันนี้กลับไม่มีสักคนที่อยู่ในทีมที่วางไว้เมื่อคืนเลย เธอสงสัยมาก แต่แล้วก็บอกผมว่าคงไม่แปลก ไม่มีอะไรง่ายเพียงแต่ครั้งนี้ผมอยู่รับรู้เรื่องไม่ง่ายสำหรับเธอด้วย.
และมันก็จริง เพราะจากนั้นไม่นานรถที่เราเดินทางก็ไม่ได้มุ่งหน้าสู่ที่หมาย เธอเป็นคนสังเกตุเห็นเพราะผมไม่รู้จักอยู่แล้วว่าที่ไหนคือที่ไหน เธอไม่สามารถถามคนขับรถได้เพราะมันถูกกั้นกลางด้วยกระจกสีดำระหว่างคนขับและคนนั่งหลัง เธอหันมามองหน้าผมด้วยความห่วงใยแต่ผมกลับห่วงเธอแทน ผมยิ้มให้จากใจก่อนบอกว่าไม่เป็นอะไร ก็อย่างที่ผมบอกเธอว่ามันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดจากนี้ผมยินดีรับมันเสมอ เพราะผมคิดว่าจริงๆแล้วผมได้ตายไปนานแล้ว เพียงแต่บางส่วนของผมไม่ได้ย่อยสลายแค่นั้นเอง และเมื่อได้พบเธอ มันก็เหมือนช่วยตอกย้ำว่าอะไรก็สายไปหมดแล้ว และเธอก็มาเพื่อย่อยสลายผม มาเพื่อปลดปล่อยผมต่างหาก ใช่แล้วเธอบอกอย่างนั้นและเธอก็ทำหน้าที่นั้นอยู่ตั้งแต่ที่เราเจอกัน เธอกำลังปลดปล่อยผมเหมือนที่เธอเคยพูดเอาไว้
"ใช่ ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ แต่การจะปลดปล่อยใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร และจะปลดปล่อยเขาจากอะไร และอะไรที่มันผูกมัดเขาไว้"
เธอก็ทำอย่างนั้นกับผมเรื่อยมา... จากนั้นเราต่างให้กำลังใจกันถึงสิ่งที่ต้องเจอ
เป็นเวลานานจากนั้น รถหยุดเคลื่อนที่ มันจอดที่ใดที่หนึ่ง ประตูถูกเปิดออกและเธอเป็นคนก้าวออกจากรถเป็นคนแรกแต่ยังไม่ทันที่เท้าของเธอจะถึงพื้น ชายสองคนก็เข้ามาจับเธอแน่น เธอไม่ได้ตกใจเหมือนคุ้นเคยกับการถูกทำแบบนั้น แต่เธอดิ้นและพยายามหนีออกจากตรงนั้น ผมพุ่งพรวดลงไปและถูกกันไว้ด้วยการข่มขู่ว่าจะทำให้เธอเจ็บ เธอบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร แต่ครั้งนี้ผมไม่อาจเชื่อเธอจากใจ แต่ก็ยอมทำตาม เธอถูกพาเดินไปข้างหน้า และผมถูกกันตัวไว้ด้วยปืนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันให้ผมเดินตามเธอ
มันเหมือนโกดังเก็บของ ของโรงงานแต่ก็ไม่เชิงด้วยความเร่งรีบจึงไม่อาจสังเกตุอะไรได้ในทันที ผมมองแต่หลังของเธอเพราะกลัวว่าจะคาดกัน ไม่นานเราก็เข้ามาในโกดัง เธอถูกปล่อย แต่ผมยังถูกกันล้อมด้วยชายสามสี่คน พวกนี้ตัวสูงกว่าผมทั้งที่ผมก็สูงมากอยู่แล้ว. และมันคนนั้นก็เดินมาพร้อมกับเด็กเหลือขอห้าหกคนตามเคย ทั้งท่าทาง การตีสีหน้า ทุกอย่างของมันคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ครั้งนี้ตัวผมเองที่เปลี่ยนไป ความห่วงใยที่มีต่อเธอมันกลบความเดือดดาลของผม มันมองผมแต่กลับเดินไปหาเธอ ทันทีที่ถึงตัวเธอมันก็ตบหน้าเธออย่างแรง เธอไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลา แต่ไม่ยอมล้มลงทั้งที่คนทั่วไปต้องล้มฟุบแน่ แต่เธอมึนงงและมองหาผม ผมวิ่งเข้าไปหาเธอและถูกซ้อมเล็กน้อยพร้อมกับเสียงของเธอที่พูดออกมาซ้ำๆว่าไม่เป็นอะไร-ไม่เป็นอะไร เธอบอกให้ผมอย่าเคลื่อนไหว ทั้งที่ตอนเธอพูดเธอยังมองไม่เห็นอะไรเพราะแรงจากการโดนฟาดด้วยฝ่ามือของคนชั่วนั่น ผมกัดฟันเม้มปากด้วยความโมโห แต่ครั้งนี้มันคือความเจ็บปวด เธอตั้งสติได้และยืนตรง เธอบอกมันคนนั้นว่าทำอย่างนี้ทำไม ไหนบอกว่าจะทำตามสัญญา มันคนนั้นเชิดคางใส่เธอและบอกว่ามันทำอยู่นี่ไง แต่เธอทำผิดและทำเกินที่สั่งเอาไว้ เธอเถียงมันทันทีด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวว่าทุกอย่างที่ทำนั้น มันก็รู้เห็นมาตลอดและตกลงกันก่อนหน้านี้แล้ว และบอกมันอีกว่าวันนี้ผมต้องได้ไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนบอกเธอว่าแน่นอน น้ำเสียงเย้ยหยันที่ผมได้ยินจนชิน มันหันหน้ามาทางผมและบอกว่าผมจะได้ไปจากที่นี่อย่างแน่นอน เธอรีบบอกมันว่าเธอจะไปส่งผมให้ถึงที่จนกว่าจะมั่นใจแต่มันส่ายหน้าช้าๆให้เธอ เธอเอียงคอพูดโวยวาย เหมือนลูกสาวกำลังไม่พอใจพ่อที่กำลังไม่ยอมทำตามใจเธอ มันคนนั้นก็ไม่สนใจอะไรที่เธอพูด และในตอนนั้นผมเองที่พูดขึ้น
ผมเรียกชื่อเธอ เธอหันมา
"ไม่เป็นอะไร เหมือนที่เราคุยกันก่อนหน้า ว่ามันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ.." เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มันคนนั้นยกมือสั่ง ไม่มีคำพูดใดจากมัน จากนั้นชายสองคนก็เข้ามาจับเธอ แขนสองข้างเธอถูกจับแน่น
"อยากให้ฉันตายใช่มั้ย?" ผมถามมัน มันหันมามองหน้าผม มองเหมือนผมคือสิ่งที่ไม่มีความหมาย
"ฉันเป็นคนที่ทำตามสัญญานะ แต่มันก็น่าลองถ้านายเต็มใจ นายทำให้ฉันเสียเวลาอยู่เหมือนกัน" มันเดินมาไกล้ พร้อมกับปืนที่จ่อหัวผม ลำตัวผม ขาผม "ดูสิ แค่ไม่กี่ชั่วโมงนายก็หลงเธอซะแล้ว ต้องยอมรับว่าฉันไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เธอไม่ได้เป็นคนดีมากมายอะไรนักหรอกนะ" มันบอกผม
ผมแยกเขี้ยวให้มัน
"พวกแม่มดมันไม่ได้มีเอาไว้คลั่งไคล้หรอกนะ" ครั้งนี้ผมไม่ได้ยิ้ม แต่มีคำถามที่ต้องการคำตอบ
"เธอเป็นแค่เด็กสาวที่เจ็บป่วย" ผมบอกมัน มันหัวเราะใส่หน้าผม
"ก็อาจจะ" มันพูด "แต่ก็มีบางอย่างที่นายเองก็อธิบายไม่ได้.. ใช่มั้ย?" ผมฟังเฉย แล้วหันไปมองดูเธอ เธอร้องไห้ มันทำให้เธอร้องไห้ ผมอยากบอกว่า อย่าร้องเลย แต่ก็ไม่มีเสียงใดออกมา
"อย่าทำอะไรเธอเลย" ผมบอกมัน "ได้โปรด" ผมอ้อนวอน และมันทำหน้าเหลือเชื่อต่อสิ่งที่ผมพูดออกมา ก่อนจะเงยหน้าหัวเราะ
"ดูสิ ดู.. อะไรทำให้นายเปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืน ปกตินายต้องกระหายอยากฆ่าฟันฉันไม่ใช่เหรอ?" มันมองผม เอียงคอถามผม และผมกัดฟันแน่น
"ฉันยอมแพ้ ถ้ามันทำให้เธอไม่ต้องเดือดร้อน" มันเลิกคิ้วให้ผม
"อย่างนั้นเหรอ?" มันพูด "งั้น.. คุกเข่าอ้อนวอนหน่อยสิ" มันบอกผม
"ไม่ต้องทำนะ" เธอตะโกนมา "มันก็แค่เกมส์กวนประสาท เขาก็แค่กดดันคุณ" เธอบอกผม "ถ้าเขาอยากทำให้ฉันเจ็บ ต่อให้คุณตายเขาก็ทำ ดังนั้นอย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า" เธอทำหน้าไม่พอใจใส่มันและมองมาที่ผมด้วยความเศร้าหมอง มันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
"เอาล่ะ ได้เวลากลับบ้านของนายแล้ว" มันพูดแค่นั้นและถอยหลังไปหาเธอ ชายสองคนปล่อยเธอให้มัน และมันจับแขนเธอแน่น แน่นมากและเหวี่ยงตามที่มันเดิน เธอหันมามองผมและตะโกนก้อง
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น! คุณต้องกลับบ้านนะ คุณต้องไป! จะต้องไปในที่ที่คุณควรไป ไปให้ได้! คุณ-จะ-ต้อง-ไป-จาก-ที่นี่! อย่าเชื่อใคร อย่าฟังใคร จงเชื่อใจฉัน! ได้โปรด... ฉันขอให้คุณโชคดี" และเธอยิ้มให้ผม ก่อนที่มันจะกระชากและเหวี่ยงเธอลงที่พื้น เธอพยายามลุกขึ้นช้าๆ เธอทำหน้าเจ็บปวดและผมเจ็บปวดมากที่เห็น ผมตะโกนและวิ่งไปแต่ถูกล็อคคอไว้ เธอยังพูดคำเดิมๆ และบอกว่านี่เป็นเกมส์ให้ผมโอนเอน กดดัน สุดท้ายเธอบอกว่า "อย่าทำให้ฉันผิดหวังเลยนะ" ผมหลับตา น้ำตาของผมไหล และมันไหลบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้ เธอถูกมันดึงขึ้น มันล็อคตัวเธอด้วยแขนข้างเดียว เธอเดินเซเพราะความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ ผู้หญิงตัวเล็กแค่นั้นเอง ทำไม....
ผมจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง ผมยอมทำตามมัน ผมจะกลับไปและหาทางติดต่อกลับมาหาเธอ. ผมยอมเดินถอยหลังกลับ โดยที่ยังมีคนคุมพร้อมกับปืนที่จ่อมา รถคันเดิมรอผมอยู่ แต่ไม่มีเธอที่รออยู่แล้ว ผมเดินคอตกขึ้นรถอย่างว่าง่ายคล้ายไม่ใช่ตัวผม เมื่อขึ้นรถผมก็เจอเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั่งนิ่งอยู่ในรถ ประตูถูกปิดและรถก็เคลื่อนที่ออกเดินทาง.
"เธอจะเป็นอะไรมั้ย?" ผมถามเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม และไม่มีคำตอบใด
"ทำไมนายไม่มาหาเธอ" ทั้งที่ผมรู้ว่าเด็กพวกนี้ทำทุกอย่างตามคำสั่งของมันคนนั้นอยู่แล้วแต่ก็อดที่จะถามไม่ได้ เด็กหนุ่มเม้มปากและคิ้วขมวด เขาหันไปทางอื่น ไม่มองมาที่ผม
"นายเป็นเพื่อนเธอหรือเปล่า?" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหันกลับมา และยังคงเม้มปาก
"เพื่อนจะไม่ทำอย่างนั้นต่อกัน" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคงหมายถึงตัวเองที่ไม่ยอมทำตามนัดหมาย และสิ่งที่ตกลงกับเธอไว้
"นายมีคนที่ต้องคอยทำตามคำสั่งนี่" ผมพูดออกไปอย่างไม่มีความหมายใด ไม่สนใจด้วยว่าจะมีการตอบกลับหรือไม่
"เธอ.. ไม่เคยคิดว่าฉันเป็นเพื่อนหรอก" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดขึ้นมา ผมฟังและไม่ได้ตอบสิ่งใด
"เธอ.. ยอมรับแต่พวกเพื่อนมหัศจรรย์ของเธอ พวกเพื่อนที่แสนดีพวกนั้น แค่นั้น" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยอย่างน้อยใจหรือไม่พอใจ ครั้งนี้ผมสงสัยและต้องการคำตอบ
"ใครคือพวกเพื่อนมหัศจรรย์ของเธอ" ผมถาม เด็กหนุ่มมองมา และยิ้มมุมปาก
"ก็พวกเด็กประเภทเดียวกันกับที่ช่วยนายไว้จากการดิ่งลงสู่พื้น.. เมื่อนานมาแล้วไง" เท่านั้นเอง ความทรงจำในวันนั้นของผมก็กลับมา ใช่..ตอนนั้นมีคนช่วยผมไว้ กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ดูทันสมัย มีน้ำใจ ผมจึงได้รู้ว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับเด็กกลุ่มนี้
"อ้อ-แต่ก็ไม่ใช่พวกนั้นที่ช่วยนายหรอกนะ พวกเด็กมหัศจรรย์มีอยู่ทุกที่ทั่วโลก ที่นายเจอนั่นก็คงเป็นพวกที่ประจำอยู่ประเทศนั้นๆ ก็แค่นั้น.." ผมรู้ได้จากน้ำเสียงที่เด็กหนุ่มพูด มันคือการประชด คำว่าพวกเพื่อนมหัศจรรย์ ไม่ได้มาจากใจจริงหรือคำชม มันเป็นแค่ความไม่พอใจระคนอิจฉา
"เธอชอบคนมีน้ำใจ" ผมพูด และผมคิดถึงเธอ.. มากเหลือเกิน ผมเป็นห่วงเธอ
"ฉัน.. อยากให้เธอมาอยู่กับพวกเรา" เขาพูดขึ้น ผมจึงหันไปจ้องหน้าเด็กหนุ่มทันที
"อยู่กับพวกนาย อยู่กับมันน่ะเหรอ?" ผมขึ้นเสียง แต่เด็กหนุ่มยังคงเฉยเมยต่ออารมณ์ของผม
"ใช่ ถ้าเธอไม่ดื้อรั้นเธอก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เธอไม่เชื่อฟังใคร และไม่ทำเรื่องร้ายๆกับใคร มันจึงไม่ตรงกับเส้นทางของเรา แต่ถ้าเธอมาอยู่กับเรา เธอจะดีขึ้นทั้งเรื่องการอยู่อาศัยและอื่นๆ เชื่อเถอะว่ามันจะดีต่อเธอ" ผมฟังเฉย และไม่พอใจค่อนข้างมาก
"นายไม่สงสารเธอเลยเหรอ? ที่มันคนนั้นของนายทำร้ายเธอ รุนแรงกับเธอน่ะ" ผมขึ้นเสียง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหันมามองผมอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจ เขาเม้มปากและคราวนี้กัดฟัน กรามของเขาเกร็งอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่หันไปทางอื่น
"เคยทำอะไรด้วยความคิดของตัวเองบ้างมั้ย?" ผมถามเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม และเขาไม่ตอบคำถามนั้นของผม
"เธอไม่ได้มีเวลามากมายเหมือนอย่างเรา" เด็กหนุ่มพูดขึ้น น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาหันมามองผมด้วยแววตาที่เสียใจ เด็กพวกนี้เสียใจเป็นด้วยเหรอผมคิด
"และนั่นมันหมายถึง เธอควรได้อยู่อย่างที่หัวใจของเธอต้องการ ในเมื่อร่างกายเธออ่อนแอเจ็บป่วยขนาดนั้น มันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกทำร้าย" ผมย้ำเตือนเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล เขานิ่ง.
ไม่นานจากนั้นผมก็ถึงที่หมายสำหรับการเดินทาง ผมลงจากรถพร้อมเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม เขาเดินนำผม พาผมไปจัดการนั่นนี่ และก่อนจะกลับ เด็กหนุ่มยื่นโทรศัพท์มือถือให้ผม บอกว่าเธอลืมให้ผมเมื่อคืนนี้ งั้นเหรอผมคิด. โทรศัพท์มือถือถูกเปิดเครื่องเอาไว้แล้ว
จากนั้นเด็กหนุ่มก็จากไป ตอนนี้ผมเหลือตัวคนเดียวแล้ว ความอ้างว้างเข้าปกคลุมใจของผม ในหัวสมองผมมีแต่เธอ. เมื่อมีเวลาเหลือผมลองเรียกหาพระเจ้า ทั้งที่ไม่เคยมีพระเจ้าในใจผมมานานจนจำวันสุดท้ายที่ระลึกถึงไม่ได้ ผมขอให้เธอปลอดภัย ผมสวดภาวนาในใจเงียบๆ จากนั้นผมหยิบสมุดที่เธอให้เป็นของขวัญออกมาจากกระเป๋าพร้อมดินสอ ผมอ่านข้อความหน้าสุดท้ายที่เธอเขียน ผมทุกข์ใจเหลือเกินและน้ำตาผมไหลอีกครั้ง จากนั้นผมเขียนบางอย่างต่อ... ผมเขียนด้วยภาษาที่พวกเราเข้าใจ หากสมุดเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนทั่วไปก็จะไม่มีใครอ่านมันได้ ผมหวังอย่างนั้น ผมเขียนมันเกี่ยวกับเธอ...
โทรศัพท์มือถือสั่น ผมหยิบมันมาดูและมีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา ใจหนึ่งผมไม่อยากรับ อีกใจผมก็อยากรู้ จึงกดรับสายและฟัง...
เสียงเธอร้องไห้คร่ำครวญ ผมเรียกชื่อเธอ เสียงเธอโดนทำร้าย และผมทุรนทุราย
เสียงเธอเรียกชื่อผม และพูดซ้ำๆไปมาให้ผมกลับบ้าน ไปในที่ที่ควรไป เธอเหมือนเสียสติ เธอพูดกับตัวเอง ใครทำร้ายเธออยู่ผมคิดกระวนกระวายใจ ต้องเป็นมันแน่ๆ มันต้องการให้ผมได้ยินเสียงเธอถูกทรมาน ผมเรียกชื่อเธออีกครั้ง จากนั้นผมได้ยินเสียงมันพูดกับเธอ "ฉันทำตามสัญญา แน่นอนเธอพูดถูก ฉันต้องยอมให้กับอาวุธลับที่เธอใช้กับฉัน และฉันก็คิดนะว่ามันก็ไร้ค่าพอๆกับเธอที่ไร้ค่าลงไปทุกที แม้เธอจะช่วยให้ฉันไม่เสียเวลากับมัน แต่ก็ทำให้ฉันต้องปล่อยมันคนที่ทำให้ฉันเสียเวลา และฉันจะปล่อยมันแน่ แต่ตอนนี้" เสียงมันทำบางอย่างให้เธอเจ็บ "ฉันต้องปลดปล่อยเธอก่อนสาวน้อย ฉันไม่ชอบให้ใครหยามฉัน โดยเฉพาะเธอ มันคาใจฉันมานานเกินไป.." เธอร้องไห้ และเสียงลั่นไกที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งและโทรศัพท์มือถือหล่นจากมือ ผมตัวสั่นและมือสั่นขณะก้มเก็บมัน ผมหยิบมันมาแนบหูเพื่อฟัง มันคุยกับผม "ฉันก็ไม่ได้อยากทำนะถ้านายฟังอยู่ แต่เธอตกลงแล้วว่าต่อให้ช่วยนายได้ จะฆ่าเธอทิ้งซะก็ได้ คิดเสียว่ามันคือการแลกเปลี่ยน มันยังไม่คุ้มด้วยซ้ำนะถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันเสียเวลาไป เอาล่ะ กลับบ้านซะสิ"
จากนั้นสายก็ถูกตัด
ผมทรุดตัวลงกับพื้น มีคนแตะตัวผม มีคนถามผมว่าไม่สบายหรือเปล่า ผมพยายามลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าและออกเดิน ผมเดินโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนอกจากเสียงลั่นไกนั่น เธอจากไปแล้ว ผมไม่ได้ยินเสียงเธออีกแล้ว น้ำตาผมไหลอีกครั้ง มีเสียงทักผม และผมไม่รู้จักคำเหล่านั้น มันเหมือนคำที่ก้องอยู่ในน้ำ ร่างกายผมเหมือนล่องลอย การเดินให้ความรู้สึกเบา เธออยู่ที่ไหนกันนะผมคิด เธอจะร้องไห้เหมือนผมอยู่หรือเปล่า ผมเดินไปโดยไม่รู้จุดหมาย ผมรู้เพียงอยากอยู่บนที่-ที่สูง อยากสัมผัสอากาศและมองท้องฟ้า ไม่นานผมก็ได้อยู่บนที่-ที่สูงพอ แม้ไม่มีท้องฟ้าให้มอง มีแต่ผู้คนเดินสวนกันไปมา ผมมองคนพวกนี้เป็นเพียงเส้นสีดำทื่อๆที่ลอยไปมา และผมก็ออกเดินไปมาเช่นกัน ผมเดินและคิดเกี่ยวกับเธอ เธอมาเพื่อปลดปล่อยผม แต่แล้วเธอกลับจากผมไป ในตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่า ผมถูกเธอปลดปล่อยแล้วหรือยัง... ผมหยุดนิ่งและนั่งลง
จากนั้นผมลุกขึ้นและเดินต่อ ยังต้องสูงกว่านี้อีกนิดสินะผมคิด และเมื่อถึงที่หมายผมก็เดินล่องลอย ให้ความรู้สึกเหมือนเดินทวนน้ำ ตอนนั้นคำพูดเธอที่บอกว่า อย่าเดินสวนทางกับเวลาที่เหลือ แล้วนี่ผมกำลังเดินสวนทางกับมันอยู่หรือเปล่านะ ผมหยุดเดิน ใช่แล้ว เพราะว่าผมเดินสวนกับเวลาที่เหลือของตัวเองมานาน เรื่องร้ายๆจึงมีไม่จบสิ้น เวลาของผมอาจหมดลงไปนานแล้ว แต่ผมเดินสวนทางกับเวลาเพื่อยื้อมัน...
และในตอนนั้น ผมได้ยินเสียงเธอ ผมขานรับ และหันไปมองตามเสียงทันที เธออยู่ตรงนั้น ผมลูบหน้าตนเองและเปล่องเสียงออกมาด้วยความโล่งและทุกข์ใจ มันเหมือนเธอในความฝัน และมันใช่เธอ จากนั้นความมืดที่แปลกแยกก็ได้เข้ามาปกคลุมที่ตรงนี้ที่ผมอยู่ ผู้คนหายไปแล้ว และผมออกวิ่งไปหาเธอ เธอยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยว่า "ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ" ผมกอดเธอและร่วงหล่นอย่างตั้งใจ ผมร่วงลงและดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ผมกำลังถูกปลดปล่อยและครั้งนี้ผมไม่เดินสวนกับเวลาที่เหลืออีกแล้ว.... ผมถูกปลดปล่อยแล้ว
.
.
ในที่ที่ไกลจากแสง ผมเห็นเธอ
ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยความมืดที่แปลกแยก แต่มันกลับชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ มีบ้านที่อยู่ห่างไกล และท่องดอกไม้ตรงที่เธอยืน ผมเห็นแม่น้ำและมีหมอกสีขาวตัดกับความมืด
ผมเดินตรงไปหาเธอ เธอยิ้มให้ผมและยื่นมือออกมา ผมจับมือเธอสัมผัสมือเธออีกครั้ง ได้เห็นเธออีกครั้ง เราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง เธอพาผมไปเดินเล่น และเธอออกวิ่งนำไป เธอค่อยๆเดินห่างจากผมไปทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะหยุดรอผม ผมเดินตามเธอ เมื่อถึงตัวเธอผมจึงกอดเธอเอาไว้แน่น ผมขอโทษเธอซ้ำๆและเธอบอกแค่ไม่เป็นอะไร ผมมองเธอ เธอยิ้มและบอกว่า
"ฉันพาคุณมาส่งบ้าน" จากนั้นผมจึงมองรอบตัวใหม่อีกครั้ง ที่นี่.. บ้านของผม?
"มันจะดูมืดมิดแค่ตอนที่ฉันยังอยู่ แต่ไม่นานมันจะสว่างและสวยดังเดิม" มองเธออีกครั้ง
"เธอจะจากฉันไปเหรอ?" เธอยิ้มให้กับคำถามของผม
"ไม่มีการพรากจากในที่แห่งนี้ มีแต่การพบเจอ และจะจาก-ก็เพื่อการพบเจอกันใหม่อีกครั้ง" เธอจับมือผมไปสัมผัสใบหน้าเธอ
"ฉันมีบางอย่างจะบอกคุณ"
และในตอนนั้นมันเหมือนความฝันซ้อนความฝันอีกที
อีกที่หนึ่ง
เด็กสาวคนหนึ่งกำลังร้องไห้ เธอถูกทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ได้ตาย เธอถูกยิงแต่ไม่ได้โดนตัวเธอ มันแค่เป็นการข่มขู่และจากนั้นไม่รู้ว่าความทรมานมีมากแค่ไหนที่เธอได้รับ ด้วยร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว มันทำให้เธอช็อคและหมดสติไป เธอถูกประคองและอุ้มขึ้นจากพื้น เธอแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ทำร้ายเธอ เขาอุ้มเธอที่ร่างกายเหมือนไร้กระดูก และเดินออกจากที่นั่น เพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง ไม่มีเสียงใดคัดค้าน ไม่มีคำโต้แย้ง และไม่มีคำถามใด เธอถูกรักษาหลังจากนั้น เขาพูดว่าต้องให้เธอรอด...
.....................
"เธอรอด.." ผมพูดได้แค่นั้น
"ฉันเสียใจ.. ฉัน"
"ไม่ ไม่ ไม่หรอก.." ผมจับไหล่เธอ "ฟังนะ"
"เธอทำหน้าที่ของเธอและมันเสร็จสมบูรณ์แล้ว.. เธอปลดปล่อยฉันแล้ว และครั้งนี้ฉันรู้สึกดีกว่าครั้งไหน.. มันไม่มีอีกแล้วความเจ็บปวดและทรมาน ไม่มีอีกแล้ว.. อะไรก็ตาม ซึ่งมันก็ดี.."
"คุณยังมี.." เธอยิ้ม ผมยิ้มตอบกลับแม้จะไม่รู้ความหมายของเธอ
"ฉันจูบเธอได้มั้ย?" เธอหัวเราะ ผมจึงเขินอายแม้จะไม่ได้อยู่ในวัยนั้นแล้ว
"ฉันเหมือนหลานสาวของคุณนะ แค่หอมแก้มก็พอแล้วล่ะ" แล้วเธอก็เขย่งตัวมาหอมแก้มผม
"อายุเราห่างกันแค่สิบกว่าปีเอง" ผมพูด และเธอหัวเราะชอบใจ แต่ผมพอใจแล้ว แค่นั้นก็พอ มันดีกว่าอะไรทั้งหมด เธอพยักหน้าให้กับผม และจับมือผม เธอพาผมออกเดินอีกครั้ง ข้ามทุ่งดอกไม้ จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
"ฉันส่งคุณได้แค่นี้ คุณจะมีความสุขอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาที่คุณต้องออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อถึงวันนั้น คุณจะรู้" เธอก้มหัวให้ผมเหมือนเคารพ และผมไม่อยากให้เธอจากไปไหน
"เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว.." ผมพูด
เธอยิ้ม
"ไม่เป็นอะไร ผมพยักหน้าให้เธอ"
เรากอดกันครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น
..
ไม่มีที่ที่สายไปแล้วสำหรับคนที่ยอมรับแล้วซึ่งทุกสิ่ง
วันหนึ่งเราได้พบกัน วันนั้นมันเป็นวันที่ดี
วันนี้เราได้พูดคุยกัน และเราอาจจากลาเพียงเพื่อพบกันใหม่
อย่าร้องไห้เลย
ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว เมื่อคนเราถูกปลดปล่อยแล้ว
ขอให้ความสุขอยู่กับคุณ เส้นทางสายใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว
...
ขอบคุณ ผมบอกเธอ และเธอบอกลาผม บอกผมอีกว่าที่นี่จะสดใสเมื่อเธอจากไป ผมบอกเธอว่าผมคุ้นเคยต่อความมืดนี้แล้ว คุ้นเคยแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เธอพยักหน้ารับคำๆนั้นและโบกมือลาก่อนจะออกวิ่งจากผมไป วิ่งช้าๆคล้ายเด็กสาวกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข เมื่อสุดสายตาจากผมแล้วความมืดที่แปลกแยกก็พลันจางหายไป มันจากไปพร้อมกับเธอ ที่นี่กลับมามีสีสันอีกครั้ง ทุกอย่างมันคือความจริง ความทรงจำมากมายจากสิ่งต่างๆรอบตัวกำลังไหลเข้าสู่หัวใจของผม ผมรู้สึกดีต่อสิ่งที่ได้เห็น สิ่งนั้น สิ่งนี้ ผมมองรอบตัวราวกับเด็กที่ตื่นเต้น จากนั้นมีคนเรียกชื่อของผม..
ภรรยาของผม เธอเรียกชื่อของผม
และในตอนนั้นเอง ผมได้ลืมเด็กสาวอีกคน เด็กสาวที่มีความมืดแปลกแยกปกคลุม บางอย่างได้ลบเธอออกไปจากความทรงจำของผม... ผมออกวิ่งไปหาภรรยาและจากนั้นทุกๆคนก็กลับมา ลูกชายของผมวิ่งมากอดผม และผมกอดทุกๆคุน เราพูดคุยกันเหมือนวันปกติ ผมเดินกลับบ้าน และในตอนนั้นที่ผมหันกลับไปมองทุ่งดอกไม้สีขาว บางอย่างทำให้ผมอยากมองมัน จากนั้นผมหันกลับมาและออกเดินสู่บ้านของตนเอง...
เธอลืมตาตื่นขึ้นมา และรู้สึกได้ถึงร่างกายนี้ มันช่างทรมานแต่หัวใจของเธอทรมานยิ่งกว่า แต่อย่างน้อยก็ได้บอกลา เธอพยายามขยับแขนและมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ขาพร้อมกับเท้าทั้งสองข้าง มันคือการทดสอบอย่างหนึ่งของเธอเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างยังปกติ แม้ตอนนี้กล้ามเนื้อทุกจุดของเธอจะปวดร้าว หัวใจของเธอเหนื่อยล้าและหายใจค่อนข้างลำบาก เธอนอนนิ่งจ้องมองเพดาน จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหล เธอรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างแม้ว่าจะหลับอยู่ และเธอไม่ได้หยุดพักเหมือนที่ร่างกายนี้แน่นิ่งต่อหน้าคนอื่นๆ เธอยังคงออกเดินทางและทำหน้าที่ของเธออยู่ และเธอทำสำเร็จแล้ว เธอได้ปลดปล่อยใครคนหนึ่งจากหลุมดำที่ฝังเขามานาน เธอดึงเขาขึ้นมาจากหลุมนั่นและพาไปส่งบ้านเรียบร้อยแล้ว
.
.
.
วันต่อมาเธอนั่งอยู่บนเตียงนอนสำหรับรักษาร่างกายของเธอ นั่งนิ่ง. ประตูถูกเปิดออกและใครคนหนึ่งก็เข้ามา เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม คิ้วสีน้ำตาล และนัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่นเอง เขาเรียกชื่อเธอ
"หวัดดี" เขาบอกกับเธอ และเธอพยักหน้าตอบ
"เธอโอเคบ้างแล้วใช่มั้ย?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่กังวล
"นายคิดว่ายังไงล่ะ" เธอถามกลับด้วยเสียงที่แหบพล่า เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยื่นบางอย่างให้เธอ
"ฉันคิดว่าน่าจะเอามาให้เธอ" เด็กหนุ่มพูดสมุดเล่มหนึ่งถูกยื่นมา เธอจ้องมองมันและรับมันมาด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจของเธอทำงานหนักอีกครั้ง
"คนของเราเข้าไปจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเขา"
"เกี่ยวกับ-ศพ-ของเขา" เธอแก้คำให้
ชายหนุ่มพยักหน้า
"ใช่ เราจัดการทุกอย่างให้คนภายนอกไม่ติดใจอะไร ทั้งข้อมูล หลักฐานและอื่นๆ เขาจะเป็นเพียงคนภายนอกทั่วไปที่จบชีวิตตนเอง เขาจะมีบ้านเกิดมี.. ครอบครัว หรืออะไรก็ตามที่คนจัดการเรื่องนี้จะสรรค์สร้างขึ้น" เด็กหนุ่มอธิบายให้เธอฟัง และเธอฟังแต่ตามองแค่สมุดเล่มนั้นที่อยู่ในมือ
"เราจัดการสิ่งของที่เขาพกพา... สิ่งนั้น สมุดนั่น ฉันคิดว่าควรเอามาให้เธอ"
"ใช่ มันควรเอามาให้ฉัน นายเปิดอ่านมันแล้วสินะ ถึงได้รู้ว่าต้องเอามันมาให้ฉัน"
" ใช่ " เด็กหนุ่มยอมรับ
"ขอบคุณ" เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ประชด "ฉันให้เขาเป็นของขวัญ แต่แล้วของขวัญที่ให้ กลับถูกส่งกลับมา" เธอมองสมุดเล่มนั้น และความเศร้ามันทำให้เธอดูตัวเล็กลงกว่าเดิม
"ฉันขอโทษ"
"ไม่เป็นไร" เด็กสาวตอบกลับทันที
"ขอโทษที่.. ที่ทำให้เธอไม่พอใจ" เด็กหนุ่มพยายามพูดจากใจอีกครั้ง
"นาย.. นายเอามือถือให้เขาใช่มั้ย?" เธอมองหน้าเขาพร้อมด้วยสายตาที่ซึมเศร้า
" ใช่ " เขายอมรับอีกครั้ง
"นายก็รู้!" เธอขึ้นเสียง "ว่าไม่ควรให้ไป! ฉันบอกนายคืนนั้นแล้วว่าอย่าให้เขา" เขาก้มหน้ารับฟังเฉยๆ
"สุนัขที่แสนดีมักซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเสมอ" เธอพูดแค่นั้น และมองหน้าเขาตรงๆเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี เขาโกรธ และไม่พอใจ แต่นั่นก็รวมถึงความเสียใจด้วย
" ใช่ " เขาตอบ
"รู้อะไรมั้ย ฉันก็เคยมีสุนัขที่ซื่อสัตว์นะ มันชื่อว่าลัคกี้" เธอบอกเขา
เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มลุกขึ้นทันทีและขอตัวกลับ เธอไม่ได้โต้ตอบอะไร. ก่อนจะเดินออกจากประตูใครคนหนึ่งก็กำลังเดินเข้ามา เขาต้องหงุดชะงักและก้มหัวให้ด้วยความเคารพ คนคนนั้นแค่พยักหน้าให้เล็กน้อย และเขาเดินจากมาก่อนจะหันกลับไปมองอย่างลังเล
ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอหันไปมองแล้วรีบกอดสมุดไว้แน่น"ส่งมันมาให้ฉัน" เขาพูดอย่างเรียบง่าย และมายืนอยู่ข้างเตียงของเธอ
"คุณบอกว่าเขาจะได้กลับบ้าน"
"แล้วฉันทำอะไร"
"ต้องให้ฉันบอกจริงๆเหรอ"เธอนอนกอดสมุดแน่นกว่าเดิม และไม่มองหน้าเขา เพราะมันจะทำให้เธอคลุ้มคลั่ง
"มันทำตัวของมันเอง ไม่มีใครทำอะไรหรือบังคับ มันจะกลับบ้านก็ได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำ มันเลือกเอง"
"หรือว่าคุณบีบให้เขาเลือกล่ะ" ทีนี้เธอหันไปมองเขา เขามองเธอแต่ก็แค่นั้น สีหน้านั้นก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าเธอไม่มีความหมายสำหรับเขา
"ส่งมันมา" เขาบอกเธอ
"มันไม่มีอะไรที่คุณคิดว่ามี" เธอพูด
เขาเอื้อมมือมาจะแย่งไปจากเธอ แต่เธอก็จับมันแน่นและกอดมันไว้ในลำตัวก่อนจะนอนคว่ำ เขาก็ยังคงจับเธอและพลิกมา พยายามแย่งสมุดจากเธอ เธอเริ่มกรีดร้องเพราะความโมโห เขาบีบแขนเธอและกดหัวเธอ เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้เขาอยู่แล้ว ตอนนี้เหลือแค่มือเดียวที่จับสมุดนั่น เขาดึงจากมือเธอ แค่ออกแรงนิดเดียวมันก็ไปอยู่ในมือเขา เมื่อได้มันเขาก็ผละจากเธอ เธอรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งและพยายามไขว่คว้าเอาสมุดคืน เขาถอยห่างจากเตียงของเธอและเธอพยายามลงจากเตียง
"หมอบอกกับฉันว่าเธอยังเดินไม่ได้.. ใช่มั้ย?" เขาพูด
น้ำเสียงเย้ยหยันจากเขามันทำให้เธอลงจากเตียง และลงไปกองกับพื้นทันที ความเจ็บปวดพลุ่งพล่าน หัวใจเธอทำงานหนักอีกครั้ง เธอไม่อาจร้องครวญ ได้แค่หายใจหอบถี่และตัวสั่นเทา เธอเงยหน้าไปจ้องหน้าเขาและพยายามคลานไปหา เขามองดูเธอ ไม่เคลื่อนไหว จากนั้นเขาย่อตัวลงมาก่อนจะชูสมุดให้เธอดู และส่ายสมุดไปมา
"มามะ มาสิ" เขาหยอกล้อเธอ
เธอพยายามคลานไปหาเขา น้ำตาเธอไหลอาบแก้มเพราะความเจ็บปวดหรือเสียใจเธอเองก็ไม่อาจรู้ รู้เพียงความคลุ้มคลั่งที่มีมันสามารถพาเธอให้คลานไปหาเขาได้ เมื่อถึงตัวเขา เขาก็ยืนขึ้น และชายตามองลงมาที่เธอ แต่ไม่ยอมก้มหน้า เธอจับขาเขาและบอกว่า
"สมุดเล่มนั้นฉันให้เขาเป็นของขวัญ เอามันคืนมาให้ฉันเถอะ ที่คุณอยากได้น่ะมันไม่มีในนั้น เขาไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากรู้เลย... เชื่อฉันหน่อยจะได้มั้ย"
เขาผละจากเธอและกำลังจะออกไป เธอพยายามไขว่คว้าอากาศที่ว่างเปล่าเมื่อเขากำลังจะไป
"คุณมันบัดซบ"คำสั้นๆของเธอเรียกให้เขาสนใจ เขาหันกลับมาและตรงมาที่เธอ ย่อตัวลงกระชากผมเธอ
"เธอมันก็ไม่ต่างกัน" เขากระซิบที่หูของเธอ "เราต่างก็บัดซบเหมือนกันสาวน้อย" พูดจบเขาก็กระชากเธอให้ยืนขึ้น เขาพูดแกล้งให้เธอยืน แล้วถามว่าทำไมถึงยืนไม่ได้ ถามหยอกล้อว่าทำไมถึงล้ม เมื่อเขาปล่อยมือจากเธอ เธอก็ล้มลงและร้องไห้ เธอร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ปล่อยโฮร้องไห้ เธอเอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และมองหน้าเขา
"สักวันหนึ่ง.." เธอพูดขึ้น เขามองมา"สักวันหนึ่งคุณจะได้ลิ้มรสความสิ้นหวัง สักวันหนึ่งจะไม่มีใครมองเห็นคุณ สักวันหนึ่ง.."เธอพูดยังไม่ทันจบเขาก็ตรงมาหาเธอ ดึงเธอให้ลุกขึ้นและเหวี่ยงไปที่เตียงของเธอ เขาจับหัวเธอกดลงบนเตียง และก่อนที่เธอจะขาดใจตายในอีกไม่ช้า เสียงหนึ่งก็เรียกเขา เขาหันมอง เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มมองเขา และบอกให้เขาหยุด บอกว่าเธอกำลังจะตาย เขาก้มลงมองเธอและดึงเธอมาไกล้ๆเด็กหนุ่ม ก่อนจะตบหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายให้เด็กหนุ่มเห็น เด็กหนุ่มยืนมองเธอโดนทำร้ายโดยไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อน คนคนนั้นขยับเสื้อคลุมให้เขาที่ก่อนเดินมาหาเด็กหนุ่ม "เธอมันก็แค่คนบ้า" เขาบอกเด็กหนุ่มและเดินออกไป. เด็กหนุ่มเรียกเขา และตามมา
"สมุดนั่น ผมตรวจสอบมันก่อนแล้ว มันไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับเรา.. ผมเลยเอามันมาให้เธอครับ"
"เหรอ.." เขาตอบแค่นั้น และเดินจากไป ทิ้งเด็กหนุ่มไว้ให้ยืนเดียวดาย
เธอถูกอุ้มขึ้นจากพื้น และวางลงบนเตียงโดยเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม หมอกำลังดูแลเธอต่อจากนั้น เด็กหนุ่มถอยออกมา และเห็นเธอชำเลืองตามองเขา ดวงตาเธอริบหรี่เหมือนเปลวเทียนที่กำลังมอดดับ เขาทำภาษามือบอกเธอ เธอจะได้สมุดคืน เธอกระพริบตาหนึ่งครั้งให้เขา..
.
.
ในเวลาต่อมา สมุดถูกเปิดและมันเขียนเกี่ยวกับเธอ.. .
.
วันต่อมา
เธอนอนตะแคงอย่างที่เธอถนัด ตอนนั้นเธอคิดว่าอยากกลับบ้านและอยากอ่านหนังสือสักสามสี่เล่ม. ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาและเธอไม่สนใจจะหันไปดู เธอยังคงคิดเกี่ยวกับหนังสือเหมือนเดิม. เธอจดจำเสียงฝีเท้าของคนที่รู้จักและจดจำกลิ่นตัวของพวกเขาได้ เธอรู้ว่าใครมา เขายืนอยู่ข้างหลังเธอ ไม่นานเขาก็เดินจากไป และเธอจึงพลิกตัวหันมาและเห็นสมุดเล่มนั้นวางอยู่ข้างตัวเธอ เธอหยิบมันขึ้นมา สัมผัสและเปิดอ่านมันอีกครั้ง เมื่ออ่านจบแล้วเธอก็นอนกอดสมุดแน่น
เมื่อถึงเวลาที่เธอจะได้กลับบ้าน จริงๆมันก็แค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่รกและเหม็นอับทุกครั้งยามที่ต้องเปิดประตูเข้าไป แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลิ่นอับก็จะหายไปเพราะความชิน. เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มเป็นคนขับรถไปส่งเธอ ระหว่างทางเธอขอให้เขาแวะไปที่ที่หนึ่ง และเขาทำตาม. เมื่อถึงที่หมายเธอบอกเด็กหนุ่มให้รอในรถ และเธอลงจากรถเดินเข้าซอยเล็กๆที่ดูโทรมๆ เด็กหนุ่มมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้จึงเปิดประตูลงมาและจะเดินเข้าซอยตามหลังเธอแต่....
ทางเดินหายไปแล้ว เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม-ยืนเกาผมสีน้ำตาลเข้มของเขา เธอไปไหนนะ เขาคิดในใจ เขาหันมองรอบตัว ที่นี่มัน.. แปลก
เธอหยุดยืนมองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล จากนั้นออกเดินต่อเธอหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง มันเป็นตึกแถวโทรมๆเรียงติดกัน เธอไม่ค่อยชอบที่สกปรก ทรุดโทรมได้แต่ห้ามสกปรก ที่นี่จัดอยู่ในหมวดทรุดโทรมแต่ยังไม่สกปรกสำหรับเธอ เธอเคาะประตู ไม่มีเสียงตอบรับ เธอเอ่ยบางคำออกไป ประตูจึงเปิดแง้มและเธอก็แง้มหน้าเข้าไปดูเล็กน้อย ก่อนจะค่อยเข้ามาข้างในทั้งตัว ประตูปิดของมันเองซึ่งก็ดีเพราะเธอขี้เกียจจะปิดมันอยู่แล้ว ภายในนี้รกไปด้วยข้าวของทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ แม้กระทั่งทางเดินก็ต้องยกขาสูงเพื่อหลบสิ่งของเหล่านั้น มันรกแต่มันก็สะอาดสะอ้าน ภายในมีกลิ่นหอมฉุนของดอกไม้และสมุนไพรต่างๆและเธอก็ปวดจมูกจนได้เฮ้อ.. มีคนเรียกชื่อเธอ
เธอหันไปตามเสียงเรียกจึงพบหญิงสาวในชุดยิปซีแสนสวย กระโปรงยาวพริ้วไหวเช่นเดียวกับผมของหล่อนที่ยาวมากกว่าผมของเธอ มันเป็นสีแดงเข้มและหยิกเป็นลอนใหญ่สลวย เธอก็คิดว่ามันสวยแหละนะ หล่อนเดินออกมาพร้อมกับอุ้มแมวสีดำที่สวมสร้อยไข่มุกสีขาว เจ้าแมวสีดำตัวอ้วนคู่ปรับของเธอ เธอห้ามใจไม่ให้น้ำลายไหลก่อนจะเสร็จธุระ เธออยากหม่ำมัน
"วันนี้คงเป็นวันหายนะของฉัน" หล่อนบอกอย่างเหนื่อยหน่ายพลางลูบขนแมวอย่างเบื่อหน่าย
"แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ฉันมีเรื่อง..."
"ไม่เอาา.." หล่อนตอบก่อนเธอจะจบประโยคหง่าวววว พร้อมกับเสียงร้องของเจ้าแมวอ้วนสีดำที่ช่วยยืนยันคำพูดของเจ้านายมัน
"..อยากให้ช่วย" เธอต่อประโยคเดิมให้จบ จากนั้นหยิบสมุดเล่มหนึ่งจากกระเป๋าออกมาและยื่นให้หล่อน หล่อนรับมา มองดู ขณะมองดูดวงตาของหล่อนเปลี่ยนสี เธอชอบมองคนประเภทแบบหล่อนที่ดวงตาเปลี่ยนสีได้ยามต้องใช้มันทำบางอย่าง เหมือนใครคนหนึ่งที่เธอเคย..รัก เขาอาจไม่ใช่คนประเภทนี้แต่ดวงตาของเขาสวยงามกว่า ไม่ได้เปลี่ยนสีแต่มีบางอย่างไหลวนไปมา คล้ายลูกไฟกลิ้งอยู่ในดวงตาของเขา เธอชอบมันมากจริงๆ
"สติ.. สติ" หล่อนเรียกเธอ และเธอก็มีสติอีกครั้ง"สมุดเล่นกล ใช่มั้ย?" หล่อนเอียงคอถาม
"คงงั้น"
"อยากให้ฉันทำอะไรกับมัน" หล่อนถาม ดวงตาฉายแววใคร่รู่
"เผามัน"หล่อนนิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
"คราวนี้ไปทำอะไรมาอีกล่ะ" หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ได้สนใจจริงจัง เธอจึงไม่ได้ตอบ.
หล่อนปล่อยแมว จากนั้นเดินหายเข้าไปด้านหลัง แมวสีดำตัวใหญ่ยืนเฝ้ามองเธออยู่ที่พื้น มันมองหน้าเธอ
"ยัยอ้วน" เธอบอกมัน และมันขู่ฟ่อ แยกเขี้ยวใส่เธอ. สักพักหล่อนก็เรียกเธอ กวักมืออย่างหน่ายๆให้เธอเข้าไป เธอเดินไปที่ด้านหลังและเห็นว่าหล่อนกำลังจัดเตรียมบางอย่างเพื่อจุดไฟ
"ไฟสีฟ้านะ" เธอย้ำ หล่อนพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มทำในสิ่งที่เธอรอคอย หล่อนร้องเพลง และท่องคำในภาษาที่เธอไม่เข้าใจ มากมายหลายอย่างจากนั้น หล่อนก็จุดไฟ ดวงไฟสีฟ้าลุกพรึบ
เธอหยิบสมุดเล่มนั้นมา กล่าวบางอย่างกับมัน และโยนมันใส่ดวงไฟ ตอนนั้นเองที่เธอรอ หล่อนก็รอ ยัยแมวอ้วนสีดำก็รอ มันกระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ไกล้ๆเธอและจ้องมองไปที่เปลวไฟ บางอย่างที่รอคอยก็เกิดขึ้น.....
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว สมุดก็ถูกทำลายไปแล้วเธอก็ไม่มีห่วงอะไรในเรื่องของเขา เขาถูกปลดปล่อยแล้วจากทุกสิ่ง มันยากเกินกว่าที่เธอจะเก็บมันไว้ หัวใจเธออ่อนแอเกินกว่าจะเก็บมันเอาไว้ ทันทีที่มันถูกเผาทำลาย เธอก็ใจหายอยู่เหมือนกัน แต่ก็แค่ตอนนั้น
"ฉันไม่ได้อะไรเลยย.." หล่อนลากเสียงยาว
"ได้ความตื่นเต้นไง"
"ชีวิตฉันเคยเจอความตื่นเต้นมามากกว่านั้น" หล่อนบอก
"จ้ะจ้ะ.."
"แล้วคราวนี้มีอะไรแลกเปลี่ยนบ้างมั้ย?" หล่อนเลิกคิ้วสูง เชิงถาม
"ไม่มีอะไรเลย.." เธอทำท่าแบมือบ๋อแบ๋ประกอบเพื่อความสมจริง "มีแต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม อยากได้มั้ย?" เธอถามหล่อนแล้วก็ต้องหัวเราะตัวเอง
"หืมม.." หล่อนทำท่านึก "ออววหล่อจัง ฉันชอบสีน้ำตาลของเขา" หล่อนพูดและทำเป็นเขินอาย
"เธอจะร่ายคาถาพรู้ดๆอะไรสักอย่างใส่เขาก็ได้นะ ให้เขาอยู่กับเธอสักคืน"
"ไม่อาวดีกว่า ฉันไม่ชอบเด็กหนุ่มมนุษย์ ไม่เร่าร้อนพอ" แล้วสองสาวก็หัวเราะ
"ฉันอยากได้สักสองเหรียญเงินหรือหนึ่งเหรียญทองก็ยังดี" หล่อนทำหน้าอ้อนวอน
"ฉันไม่มี เธอก็รู้อยู่แล้ว"
"อ่ะอ่ะก็ได้ ก็ด้าย เฮ้ออ.." หล่อนถอนหายใจยาวและดูเล็บตัวเอง
"ฉันกลับก่อนนะ"
"อืม.. โชคดีละกัน และอย่าวิ่งเข้าหาเรื่องร้ายๆบ่อยนักล่ะ ชีวิตเธอไม่ได้ยืนยาวนักนะ หาความสุขแท้จริงให้ตัวเองบ้าง" หล่อนบอกด้วยความจริงจัง และเธอรับมาด้วยความจริงใจ เธอพยักหน้าลา หล่อนก็เช่นกัน บางครั้งเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเป็นเพื่อนกัน เธอคิด.
เมื่อกลับไปที่รถ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ยืนรออยู่นอกรถ
"ไปไหนมา" เขาถาม
"ธุระ.. ส่วนตัว" เธอบอก
"อืมม.." เขาอืมแค่นั้นแล้วก็เปิดประตูให้ เธอพยักหน้าขอบคุณก่อนจะขึ้นไป.
เราออกเดินทาง ครั้งนี้ฉันกลับบ้าน... หรือห้องแคบๆของฉันจริงๆสักที... เธอคิด....หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นฉันก็เจ็บป่วยทางจิตใจ และมันปราศจากการบำบัดหรือเยียวยาฉันร้องไห้ และร้องไห้ ฉันเห็นภาพหลอนและก็นะ.. ก็เจ็บป่วย หลังจากผ่านเรื่องที่กระทบต่อจิตใจมาก็ต้องพักฟื้น ฉันต้องการหนังสือแต่ก็ไม่มีอยู่ดี จนวันหนึ่งในความว้าเหว่ของฉัน น้าสาวได้ติดต่อมา เธอถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างเพราะเห็นกลับจากภารกิจแล้วน่าจะ.. แย่ลง ฉันก็เล่าแค่ว่า แย่ และเคว้งคว้าง เธอบอกจะมาหาฉันในตอนเย็นหากเสร็จธุระเร็ว ฉันจึงรอ อย่างน้อยก็จะได้มีผู้คนมาให้พูดคุยบ้าง แต่ค่ำแล้วเธอก็ยังไม่มาฉันเลยคิดว่าคงไม่มีใครมาแล้ว แต่แล้วประตูก็ถูกเคาะ ฉันลุกไปเปิดประตูจึงเห็นว่าน้าสาวมาหาและจากนั้นเธอก็พาฉันออกไปภายนอก และวันนั้นฉันก็ได้หนังสือ มันเป็นสองเล่มแรกที่น้าสาวฉันซื้อให้ ซึ่งมันดีต่อใจ ต่ออายุหัวใจของฉันไปได้อีก...
วันเวลาผ่านไป ฉันได้สมุดเล่มใหม่มา ใจยังลังเลที่จะเขียนมัน แต่แล้วฉันก็เขียนมันฉันเขียนมันเกี่ยวกับเขา.....
ชายคนหนึ่งถูกปลดปล่อยจากหลุมดำแล้วโดยเด็กสาว-ผู้มีความมืดที่แปลกแยกปกคลุม..
...........................................................................................
the end
....................
(ตอนที่ 4 ตอนต่อไป จะเป็นเรื่องราวก่อนหน้านั้น
คล้ายๆจะเป็นการบอกเล่าให้เข้าใจ หรืออาจเป็นตอนพิเศษก็ย่อมได้อีกเช่นกัน)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in