Pic : https://thestandard.co/polycat
"จอห์นคะ อีกครั้งแล้วสินะ ที่ฉันต้องโยกย้าย"—ดูเหมือนว่าโควิดจะทำให้ฉันเข้าใจประโยคสุดคลาสสิคนี้ลึกซึ้งมากขึ้นจริง ๆ
เทอมนี้เป็นเทอมที่สามแล้วที่เป็นนิสิตออนไลน์ ตลกดีเมื่อลองนึกย้อนกลับไปตอนไม่ทันจะได้สอบกลางภาคปีสองเทอมสองและมีข่าวลือหนาหูในหมู่นิสิตอักษรศาสตร์ว่าคลาสทั้งหมดจะต้องโยกไปสอนออนไลน์
"จะบ้าหรอ"
"เอกเราจะเรียนออนไลน์กันยังไงอะอีเหี้ย ดิสคัสผ่านจองี้เรอะ"
"มึง แล้วคาบคอนเวอ..."
"เออแต่อย่างคอมโปเรียนออนไลน์ก็คงไม่มีปัญหา เพราะในห้องกุก้ไม่เรียนอยุดี"
เอาเป็นว่านิสิตบางส่วนก็ฟันธงว่าไม่น่าจะเรียนออนไลน์หรอก อะ ก็คิดภาพไม่ออกจริง ๆ นะ จะให้นักเรียนทั้งคลาสวิดิโอคอล (ตอนนั้นยังไม่รู้จักZoom) กันเนี่ยนะ??? ไหนจะสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไหนจะตอนสั่งงาน ไม่ต้องคิดไปถึงตอนสอบเลย สอบออนไลน์มันวัดผลกันได้ที่ไหนเล่า
อืม อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น จริง ๆ ด้วย
.
ย้ายมาเรียนออนไลน์
หนังตาหนักอึ้งพร้อมจะปิดอยู่เสมอหลังจากจ้องหน้าจอคอมตั้งแต่คาบเช้าจนถึงบ่ายสี่โมง สมาธิวอกแวกจะเปิดทวิตเตอร์ทุกทีตอนอาจารย์แปลสารคดีอิ๊งไทยให้ฟัง ไหนจะมือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้าตอนรีบกด submit ข้อสอบลิทแข่งกับสัญญาณวายฟายที่บ้านที่ช้ายังกะเต่าคลาน
ยังไม่นับความอึดอัดตันใจที่ไม่สามารถหันไปพูดกับเพื่อนข้าง ๆ ว่า "ไม่รุเรื่องเลยอีสัส" เหมือนอย่างตอนสถานการณ์ปกติในห้องเรียนได้
แต่ในมหันตภัยการเรียนออนไลน์กายออนเบ้ดนั้นก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างสำหรับเด็กหอที่เกลียดการตื่นก่อนแปดโมงยิ่งกว่าอะไรอย่างฉัน
...พอกันทีกับการกุลีกุจอตื่นเจ็ดโมงสิบห้ามาล้างหน้าแปรงฟัน พยายามตบตีกับตัวเองไม่ให้ล้มตัวกลับไปนอนบนเตียง ติดกระดุมเสื้อนิสิตจนเจ็บนิ้ว (ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ติดตั้งแต่กลางคืน) กินโจ๊กคัพรสชาติสุนัขไม่รับประทานแล้วรีบวิ่งไปรอรถปอพหน้าหอใน
ฉันทนมาได้ยังไงสองปีนะ...
นี่ยังไม่รวมตารางเรียนที่เห็นแล้วอยากไปพุ่งไปกระชากคอเสื้อคนจัดตารางแล้วถามว่า คุณเธอคิดอะไรอยู่คะ?!?!? เรียนแปดโมงแทบทุกวัน พักครึ่งชั่วโมงสองสามวัน บางวันเรียนวิชาเอกสามตัวติดกันคาบเช้า กะจะเอาให้จุกไปเลย สาแก่ใจคุณพี่หรือยังคะ
และพอเริ่มจะชินกับตารางชีวิตนรกนี้ กลายเป็นว่าอยู่ดี ๆ ก็ได้เรียนออนไลน์ซะงั้น
.
ย้ายกลับมาบ้าน
ตอนที่ได้ยินข่าวนิสิตคณะหนึ่งติดโควิด มหาลัยออกประกาศว่าจะปิดยาวไม่มีกำหนด เด็กต่างจังหวัดคนนี้จะรออะไรล่ะ รีบแพ็คของแล้วบึ่งกลับบ้านอย่างไว เพื่อที่จะค้นพบว่าเรียนออนไลน์ที่บ้านไม่ได้น่าพิศมัยสบายใจอย่างที่คิด
สภาพแวดล้อมที่บ้านฉันยังโชคดีที่มีห้องส่วนตัว ไม่มีใครเข้าออก ยกเว้นแม่จะมาเคาะประตูเอาผลไม้เอาน้ำมาเสิร์ฟ
แต่ด้วยความที่ลูกสาวอยู่บ้าน คุณแม่ก็อดไม่ได้จะมอบหมายงานบ้านสิบร้อยพันหมื่นล้านอย่างให้ฉันทำ ไอจะไม่ทำก็กระไรอยู่ กลายเป็นว่าสมาธิก็วอกแวกมากขึ้น ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เหมือนตอนอยู่หอก็น้อยลง ไม่นับทุกวันอาทิตย์ที่ที่บ้านไม่พลาดจะชวนออกไปซื้อของตามห้าง เดินเล่นเตร็ดเตร่ ฉันก็เพลินแหละ ลืมนึกถึงเปเปอร์หลายวิชาที่รอให้ฉันกลับไปปั่น ตีสองตีสามก็กลายมาเป็นเวลานอนปกติทันที
และถึงจะสะดวกสบายที่มีคนสแตนด์บายให้บ่น ให้อ้อนขอกินนู่นนี่ตลอดเวลา เหนื่อย ๆ ก็เล่นกับน้องหมา แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกกับการที่ฉันไม่สามารถ "ตื่นหลังเก้าโมง" ได้ นั่นคือเวลาที่ทุกคนต้องพร้อมกินข้าวเช้าร่วมโต๊ะ ตอนเย็นลงมาช่วยแม่เตรียมกับข้าว ตอนกลางคืนหลังสองทุ่มพ่อก็ล็อกบ้านซะและ
นั่นมันเวลาเพิ่งเริ่มใช้ชีวิตของฉันเลยนะเห้ย!
ในหัวก็ยังคิดอยู่ตลอดว่าเอ หรือควรกลับไปเรียนออนไลน์ที่หอนะ กลับไปสั่งแกรปมากินตอนห้าทุ่ม นอนตีสองตีสาม ตื่นอีกทีก็เที่ยง ข้าวชงข้าวเช้าก็รวบเป็นข้าวเที่ยง ตอนสอบก็นั่งสอบบนเตียง ชุดนงชุดนอนอะไม่ได้เปลี่ยนหรอก คิดไปคิดมาชีวิตที่นู่นกับที่นี่ก็ต่างกันคนละขั้วเลย
.
ย้ายมาไกลเพื่อน
ก็ว่าไป นับจากวันแรกที่โควิดถือกำเนิดในชีวิตจนถึงวันนี้ เสียงโวยวายเสียงบ่นของนิสิตก็ดูจะน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามันมาจากความชิน อย่างที่บอกว่าอะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น
ถ้าย้อนเวลาไปบอกเพื่อนตอนปี 1 ว่า"นี่ ๆ รู้มั้ยว่าอีก 2 ปี พวกเราต้องเรียนทุกวิชาออนไลน์ พรีเซ้นท์ออนไลน์ สอบออนไลน์ ดิสคัส ทำกิจกรรม คุยงานกลุ่ม talk to your partners ออนไลน์ทั้งหมดนะ"
เพื่อนก็คงขำฟันร่วงแล้วย้อนกลับมาว่า "มึงเพ้ออะไรเนี่ย"
ตัดภาพมาปัจจุบัน ทุกคนก็ดูจะชินกับการเรียนแบบนี้ ทั้งเบรคเอ๊ารูมแล้วก็การดิสคัสเปิดไมค์ที่ก็ไม่เช้าใจเหมือนกันว่าทำไม๊ทำไม ต้องบังเอิญจะพูดพร้อมเพื่อนทุกที ๕๕๕๕
นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามมากในการดำรงรักษาให้เท่าเดิม แทบจะไม่ต้องพูดเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่เลย เทอมก่อนที่ยังออนไลน์ที่หอก็เจอเพื่อนสนิทอย่างมากเดือนละไม่เกินสิบวัน บ้างก็เจอในคลาส บ้างก็นัดกันมาเรียนออนไลน์ที่สตาร์บัค แถมยังเจอทีละคนสองคน ไม่เคยจะได้ครบกลุ่ม ลืมเรื่องการนัดไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนไปได้เลย
มาเทอมนี้ ตั้งแต่เปิดเทอมมายังไม่ได้เจอเพื่อนสักคน และก็คงไม่ได้เจอถ้าไม่ได้ขึ้นไปกรุงเทพ และก็ไม่ได้เจออีกนั่นแหละ ถ้าไม่ได้นัดเพื่อนให้ออกมาเจอกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่ทุกคนจะว่างพร้อมกันท่ามกลางมรสุมการบ้านและงานล้านอย่าง
ก็เลยปฏิเสธไม่ได้ว่าวงความสัมพันธ์มันแคบลงจริง ๆ ที่มีอยู่ก็ยังต้องพยายามรักษาไว้ให้สนิทเท่าเดิมหรือน้อยลงให้น้อยที่สุด
.
จักรวาลคู่ขนานที่ไม่มีโควิด ป่านนี้ก็คงนัดติวกับเพื่อนตามคาเฟ่ ต้นเดือนที่ผ่านมาก็ต้องมีไปต่างจังหวัดกันบ้างแหละ ทริปเชียงใหม่ที่ตั้งใจไว้... ไม่นับเพื่อนอีกหลายคนที่เพิ่งมาคุยกันบ่อยขึ้นเทอมที่ผ่านมา ถ้าไม่มีโควิดก็คงได้สนิทกันมากกว่านี้แน่นอน
โควิด หล่อนทำอะไรลงไป!
ยิ่งคิดภาพตอนปีหนึ่งที่เด็กอักษรเต็มโรงอาหาร พักเที่ยงก็ลงมาจองโต๊ะกินข้าว เดินผ่านคนโน้นคนนี้ ทุกมื้อต้องมีโกโก้เย็นหวานน้อยจากร้านน้ำร้านแรก กินเสร็จก็แยกย้ายกันไปตามเซคแล้วกลับมาเจอกันหลังเลิกเรียน เดินสยามบ้าง สวนหลวงบ้าง uh... what a time
เอาเถอะ อย่างไรเสียก็อยู่กับมันมาสามเทอมแล้ว (และมีแววต้องอยู่ไปอีกเทอม) ในใจก็ยังภาวนาให้ทุกอย่างเป็นปกติก่อนจะเรียนจบ ถ้าได้กลับไปเรียนในห้อง ดิสคัสกันแบบเห็นหน้าเห็นอาจารย์ตัวเป็น ๆ ก็คงดีไม่น้อย
Pic : https://www.thaipost.net/main/detail/70313
จอห์นคะ อีกครั้งแล้วสินะ ที่ฉันต้องโยกย้าย—ถ้าจะมีอะไรที่ฉันได้เข้าใจประโยคนี้ ก็คงเรื่องที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จากหน้ามือเป็นหลังมือก็เกิดขึ้นมาแล้ว ชีวิตมหาลัยออนไลน์ได้เกิดขึ้นมาสามเทอมเต็ม ๆ อย่างที่เห็น
แต่ทว่า ถ้าทุกอย่างมีการโยกย้ายอยู่เสมอ ความหวังที่จะได้โยกย้ายกลับไปชีวิตแบบเดิมก็คงไม่ใช่เรื่องเกินฝันนัก (มั้ง)
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in