Chapter 6
เพราะนอนหลับไม่สนิทจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...ชาร์ลส์จึงตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดใสเท่าไหร่นัก
มือเรียวเอื้อมไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือครางอย่างไม่เต็มใจกับความคิดที่ว่าตนต้องลุกจากเตียงนอนแสนสบายนี้...แต่ก็รู้ดีว่าต้องทำอาหารเช้าให้เด็กๆทานก่อนไปโรงเรียน ร่างเพรียวจึงฝืนให้ตัวเองลุกขึ้น เกลี่ยผมยุ่งๆของตนให้เรียบลงมาขณะเปิดประตูเดินโผเผไปทางห้องน้ำ
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องน้ำ...ชาร์ลส์ก็ยืนพิงมันสักครู่นึกสงสัยในใจว่าเขาขอซบมันเพื่องีบต่ออีกสักนาทีสองนาทีจะได้ไหมก่อนที่จะฝืนตัดใจแล้วเปิดประตู...เขาต้องได้น้ำเย็นๆ มาล้างหน้าให้เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นคงได้หลวมตัวยอมแพ้ความคิดงี่เง่านี้แน่นอน
...หากสิ่งที่รอเขาอยู่ในห้องน้ำนั้นมีอานุภาพยิ่งกว่าน้ำเย็นจากโยธันไฮม์สักร้อยลิตรเสียอีก
อีริคยืนอยู่ตรงอ่างล้างหน้า...กางเกงสีเข้มที่ร่างสูงสวมอยู่เกาะเอวได้ต่ำในระดับที่พอเหมาะพอดีในการจะทำให้คนมองสำลักหน้าแดงได้ในวินาทีเดียวแต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่าท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเจ้าตัว...ชาร์ลส์เผลอมองแผงอกและหน้าท้องสีแทนนิดๆนั้นแล้วห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในการร้องว้ากๆ ในใจ
ให้ตายสิ...เมื่อวานเขาได้มีโอกาสซบลงไปบนหุ่นแสนเพอร์เฟคตรงหน้านี่เชียวนะ!
“อ้าวชาร์ลส์?” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปพลางบอกต่อ “รอแป็บนึงนะ...ฉันจะเสร็จแล้ว”
นัยน์ตาสีน้ำเงินมองภาพตรงหน้าแบบเบลอๆ...ต้องใช้เวลาสักห้าวินาทีได้กว่าคำพูดจะซึมเข้าการรับรู้ชายหนุ่มผมดำรีบสะบัดหัวนิดๆเพื่อเรียกสติ...เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเอาแต่จ้องอีกฝ่ายจนไม่ได้ตอบรับอะไร
“เอ่อ...ดะได้สิ...!” เสียงของเขาตะกุกตะกักเหมือนระบบความคิดร่างเพรียวเริ่มต้นล่าถอยไปที่ประตูเพราะรู้ตัวว่าสมองตนจะต้องรวนชนิดกู่ไม่กลับแน่ถ้ายังยืนต่อ“ฉะ ฉัน...เอ่อ...จะรอข้างนอกละกัน...”
แต่เหมือนฟ้าจะไม่ยอมรามือจากการขัดขวางความสงบในชีวิตเขา...เพราะแทนที่อีริคจะพยักหน้ารับเจ้าตัวกลับพูดหน้าตานิ่งเฉยออกมา สายตายังไม่ละจากกระจก
“นายแปรงฟันรอก็ได้...จะได้ไม่เสียเวลา ฉันแค่จะหวีผมเอง”
มันไม่ใช่การพูดตามมารยาทเพราะร่างสูงขยับให้มีที่ยืนตรงหน้าอ่างล้างหน้าด้วยตามคำชวนชาร์ลส์ห้ามตัวเองสุดชีวิตในการจะไม่ทำปากพะงาบๆ และรวมสติให้มั่นคง(แม้ว่าจะยากมาก)...แล้วจึงก้าวไปที่อ่างล้างหน้าพยายามให้ตัวเองจดจ่อแค่กับแปรงสีฟัน หลุดตาต่ำเพื่อมองแค่อ่างกระเบื้องสีขาวตรงหน้าเท่านั้น
อย่าตื่นเต้น...ชาร์ลส์เซเวียร์...อย่า-ตื่น-เต้น...มันไม่มีอะไรทั้งนั้น...ไม่มีความจำเป็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลย...
เสียงในหัวพยายามสะกดจิตตัวเองแต่แน่นอนว่าก็จะต้องมีอีกเสียงโผล่มาขัดเสมอ
แน่ล่ะ...ไม่มีอะไรเลยนอกจากอีริคเลนเชอร์ยืนเปลือยท่อนบนอยู่ห่างไปไม่ถึงนิ้วนึงเท่านั้นเอง...!
“ให้ตายสิ...”
เสียงสบถอย่างหมดความอดทนทำให้เขาลืมความคิดน่าอายของตนแล้วเผลอมอง...อีริคที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ปอยผมด้านหน้าที่ไม่ยอมเรียบลงไปเป็นภาพที่ตลกพอๆกับที่ทำให้ชาร์ลส์นึกอยากถามสวรรค์อีกสักรอบว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้มนุษย์หน้าตาดีขนาดนี้ลงมาเดินบนโลก
โอย...ช่วยหยุดทำลายชีวิตเขาสักทีจะได้ไหม...?
เมื่อได้สติ...ชาร์ลส์ก็รีบสะบัดหน้าไปมองทางอื่นแทนเพิ่มความตั้งใจในการแปรงฟันราวกับว่านี่จะเป็นการแปรงฟันครั้งสุดท้ายในชีวิต...จึงไม่รู้ตัวว่าอีริคที่ตอนนี้จัดการกับผมของตนสำเร็จแล้วกำลังแอบมองตนบ้างแล้วชายหนุ่มผมน้ำตาลแอบอมยิ้มกับท่าทางตลกๆของคนข้างตัวที่เอาแต่มองเพดานเหมือนกับมันน่าสนใจนักหนา ก่อนที่เขาจะเผลอตัวปล่อยให้การแอบมองกลายเป็นมองสำรวจอีกฝ่ายเต็มตา...ร่างเพรียวข้างตัวอยู่ในชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอล์มขายาวสีเทาผมสีดำยุ่งๆ ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิม
เมื่อนัยน์ตาสีเทาตวัดปราดไปที่ตรงต้นคอสีน้ำนม...อีริคก็เพิ่งตระหนักได้เมื่อสายไปเสียแล้วว่าตนไม่น่าเผลอตัวมองอีกฝ่ายเลยผ้าเนื้อนิ่มทิ้งตัวร่นนิดๆ เผยให้เห็นผิวตรงบ่ารำไร...ผิวของชาร์ลส์ขาวยิ่งกว่าเสื้อที่เจ้าตัวสวมอยู่เสียอีกมันขาวละมุนเสียจนจุดประกายความคิดบ้าๆ ในหัวของเขา...ความคิดที่อีริคต้องรีบย้ำบอกตัวเองให้ลืมมันไปเสียเพราะกลัวใจตัวเอง
ไม่...อีริคเลนเชอร์...นายไม่ได้เพิ่งคิดไปว่าอยากจะทิ้งรอยอะไรไว้บนผิวหมอนี่...หยุดคิดอะไรบ้าๆแบบนั้นเดี๋ยวนี้...
เสียงน้ำดังซ่าทำให้เขาได้สติ...ชาร์ลส์แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ยังยืนเอียงๆ คอมองตัวเองในกระจกอยู่จนอีริคนึกสงสัย
“นายทำอะไรน่ะ?”
“ฉันปวดคอนิดๆแฮะ” ชายหนุ่มผมดำพูดกึ่งบอกกึ่งรำพึง “เมื่อคืนฉันตกหมอนรึไงเนี่ย...?”
“แต่มันไม่ได้ช้ำอะไรนะ...”
อีริคถือวิสาสะก้าวเข้าไปใกล้เพื่อดูให้...แต่ก็ได้พบว่ามันเป็นสิ่งผิดมหันต์วินาทีที่เขาก้มลงไปเป็นวินาทีเดียวกับที่ชาร์ลส์หันหน้ามาพอดี...ทั้งคู่จึงได้แต่ยืนนิ่งขึงอยู่ในตำแหน่งที่ใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่นิ้ว
ลมหายใจถูกลืมในวินาทีนี้...ชาร์ลส์เผลอตัวเม้มริมฝีปากนิดๆเมื่ออีริคเรียกเขาด้วยเสียงทุ้มแผ่วเบา
“ชาร์ลส์...”
ต่างฝ่ายต่างรู้ได้ในวินาทีที่ตนทำมันลงไปแล้วว่ากริยาตอบรับนี้มันไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นสักนิด...อีริคละสายตาจากเรียวปากสีเรื่อของอีกฝ่ายไม่ได้พอๆกับที่ชาร์ลส์รู้สึกว่าหัวใจเขาสามารถหยุดเต้นลงแค่เพียงเพราะได้ยินเสียงทุ้มนั้นกระซิบชื่อของตน
ให้ตายเถอะ...ให้ตายเถอะ...หยุดซะ...ต้องหยุดตัวเอง...
ทุกอย่างไหวระริกเหมือนภาพเบลอ...หากชัดเจนในความเงียบงันมีเพียงเสียงในหัวที่ร้องเตือนตัวเอง...คำเตือนที่ทั้งคู่พบว่าไม่อยากทำตามสักนิด
นี่มันบ้าชัดๆ...แล้วก็ไม่ถูกต้องด้วย...หากตอนนี้สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือ...
แต่แล้ววินาทีระทึกสุดขีดนี้ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงโหวกเหวกจากด้านนอก...เด็กๆคงตื่นและเริ่มเตรียมตัวไปโรงเรียนกันแล้ว ชาร์ลส์รวมสติพอให้ตัวเองสามารถพูดออกไปได้รู้เรื่องแม้จะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบก็ตาม
“เอ่อ...เดี๋ยวฉันต้องลงไปทำข้าวเช้าแล้วล่ะ”
อีริคเองก็เหมือนจะเพิ่งได้สติเหมือนกันเสียงทุ้มตอบรับสั้นๆในลำคอก่อนจะคว้าเสื้อที่แขวนอยู่ตรงราวบนผนังแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกไปร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านหน้าห้องเด็ก เสียงพูดคุยสุขสันต์ในห้องทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆ...กำปั้้หงิดขึ้นมาซะเฉยๆ...กำปั้ผ่านหน้าห้องเด็กๆ...เสียงพูดคุยในห้องทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆจนสูงชะงักเล็กน้อยเมือนจึงทุบโครมลงบนบานประตูพร้อมเสียงว้ากอำมหิต
“เสียงดังอะไรกันแต่เช้าหา??!!”
ถึงจะยังอยู่ในห้องน้ำ แต่ชาร์ลส์ก็ได้ยินเสียงตวาดนั้นชัดเจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองเต้นแรงกว่าเก่าตอนที่คิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายเองก็กำลังหงุดหงิดจางๆเหมือนกันกับเขา...หงุดหงิดเหมือนกับถูกขัดจังหวะอะไรบางอย่างและไม่รู้ทำไมถึงได้มั่นใจนักว่าไอ้เจ้าอะไรบางอย่างนี่จะต้องเป็นสิ่งสำคัญแน่ๆ
ชาร์ลส์หน้าร้อนวาบเมื่อคิดถึงตรงนี้...เพิ่งตระหนักได้ว่าเขากำลังหวั่นไหวกับคนที่ไม่ควรหวั่นไหวด้วยที่สุดในตอนนี้
ใจเต้นขนาดนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงเดือนแถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก...ชาร์ลส์เซเวียร์...นายบ้าไปแล้วหรือไง?
ระหว่างที่ชายหนุ่มผมดำกำลังสครีมแบบไม่มีเสียงอยู่ในห้องน้ำเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เลยว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคนก็กำลังถามคำถามเดียวกันนี้กับตัวเอง...นิยามเรื่องทั้งหมดได้ในประโยคเดียว
นี่มันบ้า...บ้ามากๆด้วย
แต่แน่นอนว่าอย่างไร...คำแย้งของใจจริงก็ตามแทรกมาอยู่ดี
แต่ถึงจะบ้าแค่ไหน...พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันทำให้รู้สึกดีชะมัด
*****
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายออกจากบ้านและเขาไปส่งเรเวนที่โรงเรียนแล้ว...ชาร์ลส์ก็กลับบ้านมาจัดการกับงานที่มีตามปกติ
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มผมดำก็เอาแลปทอปของตนมาเปิดหาที่ที่ตนอาจจะได้ใช้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาเพื่อทำงาน...แต่ไม่ต้องพูดถึงการเล่นเปียโนประกอบวงอะไรเลยแค่โรงเรียนดนตรีในละแวกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่ไปรับเรเวนกลับจากโรงเรียนตอนบ่ายกว่าๆ...ชาร์ลส์ยังคงไม่ยอมแพ้ในการหาที่ทำงานต่อแต่ความพยายามของเขาดูจะไม่มีประโยชน์และรังแต่จะทำให้ปวดตาจากการจ้องหน้าจอแลปทอปนานๆ...เขารู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังมานัยน์ตาสีน้ำเงินตวัดมองนาฬิกา...สามโมงกว่าแล้ว
เสียงเคาะประตูดังซ้ำชาร์ลส์จึงเร่งฝีเท้าไปเปิดให้...เด็กชายคนเล็กของบ้านยืนยิ้มอายๆ มาให้
“กลับมาแล้วครับ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบถอยหลังเพื่อให้หนุ่มน้อยเดินเข้ามาในบ้านได้ “แล้วอเล็กซ์กับฌอนล่ะ?”
“ขอบคุณฮะ”แฮงค์พูดเมื่ออีกฝ่ายปิดประตูตามหลังให้ ร่างเล็กถอยรองเท้าแล้ววางเข้าชั้นอย่างเรียบร้อยตามนิสัย“อเล็กซ์กับฌอนมีซ้อมบอลฮะ...คงกลับซักห้าโมงได้”
“โอเค”ชาร์ลส์พยักหน้ารับรู้ “เธอหิวหรือเปล่า? จะทานอะไรไหม?”
“ไม่เป็นไรฮะ...เดี๋ยวผมจะทำการบ้านเลย”แฮงค์พูด ก่อนจะหันไปอ้าแขนรับร่างน้องสาวที่วิ่งพุ่งเข้ามาหา “ว่าไงเรเวน”
ชาร์ลส์ยิ้มตามเมื่อเห็นเด็กชายพูดคุยหยอกล้อกับน้องสาวแล้วอุ้มร่างเล็กๆเดินขึ้นชั้นสองไป...ก่อนจะหันกลับมาจดจ่อกับหน้าจอแลปทอปอีกครั้งกะในใจว่าคงมีเวลาอีกสักพักก่อนที่จะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น
หลังจากที่มาถึงห้องที่เขาอยู่รวมกับพี่น้อง...แฮงค์ก็เริ่มต้นกางสมุดการบ้านแล้วลงมือทำแบบฝึกหัดชวนปวดหัวของเด็กประถมวัยเดียวกันไม่ได้ทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด...ทุกอย่างเสร็จในเวลาไม่นานแล้วเด็กชายก็หยิบเอาหนังสือฟิสิกส์ระดับมัธยมที่ยืมมาจากห้องสมุดออกมาอ่านเล่น
“พี่แฮงค์...อะไร...?”สาวน้อยเบียดเข้ามาดูบ้าง แฮงค์จึงขยับให้น้องสาวดูได้ถนัดๆ...หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมการทดลองที่มีรูปประกอบเรเวนเอานิ้วจิ้มบรรดาสายไฟหลากสีในหน้าหนังสือแล้วทำเสียงตื่นเต้นฮึมฮัม“พี่แฮงค์เรียนเรื่องสายรุ้งเหรอ?”
“เปล่า...มันคือสายไฟ”หนุ่มแว่นอธิบายพร้อมชี้ประกอบ “นี่ไง...เขาอธิบายว่าถ้าเรารู้วิธี เราถอดเอาสายไฟออกมาโดยที่เครื่องพวกนี้ไม่เสียได้ด้วย”
เมื่อได้ยินศัพท์ยากๆ...สาวน้อยก็เริ่มทำหน้ามุ่ยเพราะไม่เข้าใจแล้วกลับไประบายสีสมุดเจ้าหญิงราพันเซลตามเดิมแฮงค์หัวเราะเบาๆก่อนจะอ่านหนังสือในมือตนต่อ...เขากำลังสนใจเรื่องวงจรไฟฟ้าอยู่เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวการทดลองเดิมที่เขาอ่านให้น้องฟังอธิบายต่อถึงวิธีแก้วงจรและสายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ใช้ได้เป็นปกติโดยยกฮีตเตอร์มาเป็นตัวอย่าง
งั้น...ถ้าเขาทำทุกอย่างตรงกันข้ามผลที่ออกมาก็ย่อมเป็นผลตรงกันข้าม...ถูกไหม?
หนุ่มเนิร์ดเริ่มสงสัย...แต่ในบ้านนี้ไม่มีฮีตเตอร์ที่ทดลองด้วยได้เพราะแต่ละเครื่องล้วนอยู่ในห้องนอนถ้าผิดพลาดขึ้นมา...นั่นหมายความว่าตัวเขาเองกับทุกคนและชาร์ลส์จะต้องนอนหนาว(แฮงค์ไม่เสียสติพอจะทดลองกับฮีตเตอร์ของอีริคแน่นอน)
เฮ้ๆ...เดี๋ยวก่อนสิ...
แฮงค์เริ่มร่างภาพเหตุการณ์ในหัว...ถ้าฮีตเตอร์ในห้องชาร์ลส์ใช้งานไม่ได้ชายหนุ่มก็จะนอนในห้องตัวเองไม่ได้ และห้องของพวกเขาก็ไม่มีที่เหลือแล้ว เพราะงั้นที่ๆเดียวที่ชาร์ลส์จะนอนได้ก็คือ...
“พวกเราจะเชียร์ให้แด็ดกับชาร์ลส์ชอบกันให้ได้...อารมณ์แบบคอยสร้างโอกาสหรือบรรยากาศอย่างงั้นน่ะ”
หนุ่มน้อยสูดลมหายใจลึกๆเมื่อตระหนักได้ว่าความรู้ของตนสามารถใช้ประโยชน์อื่นได้นอกเหนือจากเป็นแค่การทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมดา...แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ขาดเพราะเสียงเล็กๆที่ย้ำเตือนพร้อมมีภาพชายหนุ่มผมดำยิ้มนุ่มนวลประกอบ
ขืนจับชาร์ลส์ผู้แสนอ่อนโยนบอบบางนอนห้องเดียวกับแด็ด...รับรองชาร์ลส์ไม่รอดแน่...
แฮงค์หน้าแดงแปร๊ดกับความคิดของตัวเอง(เพราะคำว่า‘ไม่รอด’ แปลได้หลายนัยยะเกินไป) แต่ผลที่เขาคาดเดาว่าจะได้ตามมามันก็ยั่วใจจนไม่อาจปล่อยความคิดนี้ผ่านไปได้
“เรามีของอร่อยๆกิน...แด็ดก็อยู่ติดบ้านแถมยอมคุยกับพวกเรา...พวกนายไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดรึไง?”
เสียงของพี่ชายอีกคนดังขึ้นมายุอีก...แฮงค์สะบัดหัวพึ่บพับสำนึกสองด้านยื้อกันอยู่ในหัว ถ้าทำ...เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแกล้งชาร์ลส์แต่ถ้าไม่ทำ...เขาก็รู้ดีว่าบรรดาพี่น้องของเขาไม่มีทางจะทำเรื่องนี้ได้เพราะไม่มีใครสนใจจะอ่านหนังสือทำนองนี้อยู่แล้ว
ถ้าไม่ใช่เขา...ก็จะไม่มีใครเลย
“พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่...”ในที่สุด หนุ่มแว่นก็กำหมัดอย่างตัดสินใจได้...พึมพำคำคมจากหนังโปรดของตน“...มากับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เสมอ”
เขาไม่ได้ทำอะไรผิด...มันเป็นการกระทำเพื่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และประโยชน์สุขส่วนรวมต่างหาก!
*****
“เอ๋...เป็นอะไรล่ะเนี่ย?”
ชาร์ลส์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจร่างเพรียวสั่นนิดๆ เมื่ออากาศเย็นๆในห้องประทะผิว...การยืนในห้องที่ไม่มีฮีตเตอร์หลังเพิ่งอาบน้ำมาไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนิ้วเรียวจิ้มปุ่มเดินเครื่องของฮีตเตอร์ตั้งพื้นในห้องนอนซ้ำไปซ้ำมาแต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม...ไม่มีสัญญาณการทำงานใดๆ เกิดขึ้น
เมื่อลองจนมั่นใจแล้วว่าคงไม่มีประโยชน์...เขาจึงเดินไปที่ห้องเด็กหวังว่าจะมีใครพอรู้สาเหตุบ้าง ชาร์ลส์ไม่อยากรบกวนอีริคเพราะเห็นว่าเจ้าตัวติดหนึบอยู่กับการพิมพ์อะไรสักอย่างมาตั้งแต่ที่กลับถึงบ้านแล้ว
ชายหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดแง้มเข้าไปเด็กๆ ที่อยู่ในห้องหันมาตามเสียงเรียกของเขา
“คือว่า...ฮีตเตอร์ในห้องฉันมันอยู่ดีๆก็ใช้ไม่ได้น่ะ” ชาร์ลส์อธิบาย “มีใครพอจะรู้มั้ยว่าทำไม?”
“หา?”อเล็กซ์อุทานเสียงงงๆ “ตั้งแต่อยู่มามันไม่เคยเสียเลยนะครับ”
“เมื่อคืนมันยังโอเคนะแต่ตอนนี้เปิดไม่ติดแล้ว” ชายหนุ่มอธิบาย
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ตามคนมาซ่อมดีมั้ยฮะ?”ฌอนช่วยคิด “คืนนี้คุณนอนกับพวกเราก็ได้ฮะ...”
“เอาๆๆๆ...เรเวนอยากให้นอนด้วย!” สาวน้อยพูดแทรกเสียงสูง ยิ้มร่าพร้อมขย่มตัวอย่างถูกอกถูกใจ
“นายจะบ้าเหรอฌอน?ห้องเรามีที่เหลือที่ไหน...นายจะให้ชาร์ลส์นอนบนพื้นรึไง?”เด็กชายคนเล็กพูดสวนขึ้นอย่างผิดนิสัยทุกคนหันขวับมามองทันทีอย่างประหลาดใจ...เพราะแฮงค์แมคคอยไม่เคยพูดจาตัดบทไร้เยื่อใยแบบนี้มาก่อน
“แฮงค์...นายพูดอะไรของนาย...?”อเล็กซ์เริ่มต้นจะดุน้องกับคำพูดไม่มีน้ำใจนี้ แต่อีกฝ่ายก็เดินหน้าต่อโดยไม่ฟัง
“ผมว่าคุณให้แด็ดดูให้ดีกว่านะฮะไม่แน่แด็ดอาจจะซ่อมเป็น” แฮงค์พูดรัวเร็ว“ถ้ามันแก้ไม่ได้จริงๆ...ก็ให้แด็ดช่วยคิดช่วยจัดการละกันฮะ พวกผมทำไม่เป็นหรอก”
“อะ...อื้อ”ชาร์ลส์กระพริบตาแบบตั้งตัวไม่ทัน แอบสงสัยกับท่าทีดื้อดึงของเด็กชายแต่ก็คิดได้ว่าอะไรแบบนี้มันก็สมควรจะถามเจ้าของบ้านมากกว่าเด็กๆ จริงๆ อย่างที่แฮงค์กล่าว...เขาจึงกล่าวขอบคุณบอกให้ทุกคนหลับฝันดี แล้วจึงเดินออกไป
บรรดาคนในห้องรอจนประตูปิดสนิทและเสียงฝีเท้าเดินลงบันไดไปแล้วจึงพร้อมใจหันหน้ามาหาหนุ่มแว่น...สายตาสามคู่แทบลุกเป็นไฟแล้ว
“แฮงค์แมคคอย!! พูดแบบนั้นกับชาร์ลส์ได้ยังไง?!! นายละอายใจบ้างมั้ยที่ทำตัวแบบนี้??!!”
“นายมันไม่มีน้ำใจแฮงค์!!พี่ชายไม่อยากเชื่อว่านายจะเป็นเด็กไม่มีน้ำใจแบบนี้!!”
“พี่แฮงค์แย่!! เรเวนไม่อยากให้มี๊ชาร์ลส์หนาวนะ!!”
หนุ่มแว่นยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมจำนนหน้าตาของเจ้าตัวบอกชัดว่ารู้สึกผิดจนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ฉะฉันขอโทษ...แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ สิ่งที่ฉันทำไปมันก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ”
คำอธิบายทำให้พี่น้องของเด็กชายลืมโมโหช่วยครู่อเล็กซ์ถามเสียงงงๆ “นายทำอะไร?”
“ฮีตเตอร์ไม่ได้เสียเองหรอก...และแด็ดก็จะซ่อมไม่ได้ด้วย”แฮงค์พูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด“...เพราะฉันเป็นคนถอดสายไฟแล้วก็แก้ให้วงจรมันพังเอง”
“หา???”ฌอนอุทานเสียงหลง เอามือชี้หน้าน้องอย่างไม่อยากเชื่อ “นาย...ทำเองเหรอ?”
แฮงค์พยักหน้า
ระดับความประหลาดใจของอเล็กซ์เองก็เทียบเท่าได้กับฌอนเพียงแต่เจ้าตัวอึ้งจนพูดไม่ออก...ได้แต่ถามย้ำเบาๆ
“นาย...ทำฮีตเตอร์ให้เจ๊งเอง?”
แฮงค์พยักหน้าอีกครั้งเพื่อยืนยันคำเดิม
“นายทำ...นายเนี่ยนะ?” ฌอนพูดซ้ำอย่างยังเชื่อไม่ลง “โอยยยยยย...ฉันไม่อยากจะเชื่อ!!!น้องชายขี้แหยของฉันเองเนี่ยนะ??!! พระเจ้า...!!”
หนุ่มแว่นอธิบายเหตุการณ์ที่เขาตั้งใจจะให้เกิดขึ้นระหว่างอีริคกับชาร์ลส์ให้ทุกคนฟัง...และหลังจากที่เล่าจบพี่ชายคนรองกับน้องสาวก็พุ่งเข้ากอดเขาจนหงายหลังลงบนเตียง แม้แต่อเล็กซ์ที่ไม่ค่อยจะยอมชมใครเท่าไหร่ยังเอ่ยปากพร้อมเอามือตีศีรษะเขาแปะๆ
“...แจ่มมากไอ้น้อง”
แฮงค์ยิ้มออกเมื่อได้ฟังว่าทุกคนชื่นชมการกระทำของเขา...แต่ก็ยังแอบรู้สึกผิดกับชาร์ลส์ไม่ได้เด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจลึกๆ พลางปลอบตัวเองว่าถ้าดูท่าไม่ดี...เขาก็แค่ซ่อมวงจรให้มันเหมือนเดิมย้ำกับตัวเองด้วยประโยคจากหุ่นยนต์ที่เป็นหนึ่งในฮีโร่ในดวงใจของตน
ออพติมัสยังบอกเลยนี่ว่าถ้าไม่มีการเสียสละย่อมไม่มีชัยชนะ...เขาต้องเสียสละที่จะรู้สึกแบบนี้เพื่อความสุขของทุกคน!
*****
ชาร์ลส์ค่อยๆเดินอย่างเบาเสียงที่สุดลงมาที่ชั้นล่าง...ไม่ผิดจากเดิมที่เห็นครั้งสุดท้ายอีริคยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์แลปทอปมีบ้างที่หยุดเพื่ออ่านสิ่งที่ตนพิมพ์ลงไปออกมาเป็นเสียงพึมพำแล้วจึงแก้หรือพิมพ์ต่อชาร์ลส์ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจขัดจังหวะด้วยการเรียกเบาๆ
“เอ่อ...อีริคฉันคุยด้วยแป็บนึงได้มั้ย?”
เจ้าของชื่อครางรับในลำคอก่อนจะหันมาสบตากับเขา เสียงทุ้มถามเข้าประเด็น “ว่าไง?”
“ฮีตเตอร์ในห้องฉันน่ะ...อยู่ดีๆมันก็ใช้ไม่ได้” ชาร์ลส์เพิ่งสังเกตว่าอีริคสวมแว่นตาอยู่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมขอบดำธรรมดาทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มดูเคร่งขรึมขึ้นมาเหมือนคนในวงการธุรกิจ...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวจะดูหล่อน้อยลงแต่อย่างใด“นายช่วยมาดูหน่อยได้มั้ย?”
“อืม”ชายหนุ่มผมน้ำตาลตอบสั้นๆ พลางลุกขึ้นก่อนจะก้าวไปที่บันไดโดยมีคนตัวเล็กกว่าจ้ำตามมาด้วยหลังจากที่มองอีริคสำรวจฮีตเตอร์ในห้อง...ชาร์ลส์ก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ได้จดจ่อกับมันสักเท่าไหร่เดาได้ว่าคงเป็นเพราะจิตใจยังไม่ละจากงานในแลปทอป เขาจึงรีบพูดบอกอย่างเกรงใจ
“เอ่อ...ถ้ามันซ่อมวันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนายยุ่งอยู่นี่นา...ไปทำงานต่อดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ?ขอบใจนะ” อีริคตอบรับราวกับว่านี่เป็นประโยคที่รอฟัง...ชาร์ลส์ไม่ถือสากริยาตรงๆนี้เพราะชินแล้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นมา
“งั้นคืนนี้นายจะนอนได้ไงล่ะ?”
“เอ่อ...”ชายหนุ่มผมดำเพิ่งตระหนักได้ว่าตนไม่มีที่นอนทั้งในห้องตัวเองและห้องเด็กเขาจึงยักไหล่อย่างจำยอม “โซฟาในห้องทีวีก็น่าจะโอเคแหละ...คืนเดียวเองนี่”
“ให้ตาย...นายคิดว่าฉันเป็นคนที่แย่ขนาดนั้นเลยรึไง?”ผิดความคาดหมายของเขา...เพราะอีริคขมวดคิ้วอย่างฉุนๆ“ให้นายนอนบนโซฟาเนี่ยนะ...ฉันบอกสักคำรึยังว่านายนอนห้องฉันไม่ได้?”
“กะก็...” ชาร์ลส์อึกอักเพราะรู้ว่านั่นเป็นทางเลือกที่น่ากลัวที่สุด...จึงทำให้เขาแย้งไม่ทัน
“นายคิดจริงๆเหรอเนี่ยว่าฉันจะปล่อยให้นายนอนโซฟา?” อีริคทวนคำอย่างไม่เชื่อก่อนจะก้มหน้าลงมาสบตากับเขาชัดๆ “ฟังนะชาร์ลส์...เลิกทำตัวเกรงใจแบบนี้ซะที ชอบอะไรไม่ชอบอะไรหรือคิดเห็นยังไง...มีอะไรก็พูดตรงๆเลย อย่าฝืนแล้วไม่ยอมบอกฉัน...เข้าใจมั้ย?”
“โอเค...”ชายหนุ่มผมดำพยักหน้า...พยายามสั่งให้ตัวเองทำสีหน้าเป็นปกติ อีริคยิ้มบางๆกับคำตอบรับนั้น
“งั้นก็ตามนั้น...นายนอนไปก่อนเลยก็ได้ ฉันยังเหลืองานต้องปั่นอีกเยอะ”
เสียงทุ้มจัดการสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินลงบันไดไปแบบไม่รอฟังเขาชาร์ลส์จึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมครางฮือๆ ในใจ
เมื่อเช้าแค่ไม่กี่นาทีสั้นๆยังเผลอใจไปซะขนาดนั้น...แล้วนี่มันทั้งคืนแถมในห้องนอนด้วยนะ...
ทางเลือกที่ถูกเลือกให้แล้วเป็นทางเลือกที่น่ากลัวที่สุด...และสิ่งที่น่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่อะไรนอกจากใจของตัวเขาเองนี่แหละ
*****
กว่าอีริคจะปั่นงานเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
ชายหนุ่มเดินหาวขึ้นบันไดในหัวคิดต้องการเพียงการนอนยาวๆ...ปกติเขาไม่ใช่คนที่นอนเร็วอะไรนักหนาเพียงแต่วันนี้สมองที่ระดมปั่นต้นฉบับมาราธอนมาตั้งแต่เย็นของเขามันหมดแรงแล้วร่างสูงเปิดประตูห้องนอนเข้าไป...และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาเพิ่งนึกออกว่าคืนนี้ตนจะไม่ได้ครองเตียงแสนสบายคนเดียว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาบอกให้เลิกเกรงใจหรือไม่...แต่ชาร์ลส์ที่ตอนนี้หลับสนิทแล้วก็ทำตามคำบอกของเขาแบบเต็มที่ร่างสมส่วนนอนโดยเว้นที่ไว้ให้เขาก็จริง แต่ก็ดึงผ้าห่มทั้งผืนไปคลุมรอบตัวเองจนมองแทบไม่เห็นตัวคนนอน...อีริคมองภาพชายหนุ่มผมดำที่มีผ้าห่มม้วนรอบจนดูเหมือนรังไหมกลมๆแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ชาร์ลส์ไม่เคยพลาดในการจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขแบบแปลกๆ เสมอ
ชายหนุ่มผมน้ำตาลเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงนอน เอื้อมแขนข้ามร่างที่กำลังหลับอยู่เพื่อวางแว่นตาลงบนโต๊ะหัวเตียง...สัมผัสที่เผลอโดนเบาๆโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาก่อนที่ใบหน้าสีน้ำนมจะหันมาเผชิญกับเขา...เสียงครางอือเบาๆ ในลำคอยิ่งทำให้ชาร์ลส์ดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิมและอีริคก็พบว่ามันยากมากในการจะถอนสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วนอนให้หลับ
ให้ตาย...หมอนี่มันตัวอันตรายชัดๆ...
ชายหนุ่มสบถในใจ...ชาร์ลส์ดูจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาคุมตัวเองไม่ได้เสมอรีบตัดใจปิดโคมไฟดวงเล็กที่หัวเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน...แม้จะรู้ดีว่าคงข่มตาให้หลับได้ยากแน่แท้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสของฟูกที่ยวบลงไปหรือความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นข้างตัว...แต่คนข้างตัวของเขาก็เริ่มดิ้นยุกยิกจนหลุดออกมาจากรังไหมผ้าห่มจนได้ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเจ้าตัวไม่ได้พลิกตัวมาเบียดกระแซะแนบชิดกับเขา...กลิ่นสบู่อ่อนๆและลมหายใจแผ่วเบาทำให้อีริครู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้าได้จริงๆ
“ให้ตาย...ชาร์ลส์...”
เสียงทุ้มสบถออกมาชัดๆแล้ว...เพียงแต่เล็ดรอดออกมาให้ได้ยินแผ่วเบาเท่านั้นแต่แน่นอนว่าเหมือนสวรรค์ยังไม่สาแก่ใจในการทดสอบความอดทนของเขา...แขนเรียวบางของอีกฝ่ายเลื่อนมาแปะบนตัวเขาพร้อมกับศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มสีดำซบลงมาตรงไหล่สภาพตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับชาร์ลส์พยายามจะกอดอีริคเลยสักนิด
อีริคถอนหายใจหนักๆ...ก่อนจะยอมให้ตัวเองทำสิ่งที่อยากทำบ้างแขนแข็งแรงเอื้อมออกไปโอบร่างเพรียวเข้ามากอดไว้...จัดให้อีกฝ่ายนอนได้สบายๆในอ้อมแขนของตน ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเสียงฮึมฮัมแผ่วเบา...แล้วจึงค่อยๆหลับตาลงบ้าง
ถ้ามันจะเป็นแบบนี้ไปทุกคืน...เขาก็คงยังตัดสินใจไม่ได้ล่ะนะสว่าควรจะนัดช่างมาซ่อมฮีตเตอร์ตอนอีกกี่ปีข้างหน้าดี
���S�� M
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in