เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Where Our Hearts BelongTippuri~ii*
Chapter 7 — 1/2
  • Chapter 7 — 1/2
          

     

     

    ชาร์ลส์พบว่ามันน่าแปลกใจมากที่เมื่อรู้ตัวอีกที…เขาก็อยู่กับครอบครัวสุดพิลึกนี่มาได้เกือบจะสองเดือนแล้ว

                  

     

     

     

     

    หลังจากการยื้อให้ตัวปัญหาอย่างอีริคอยู่ติดบ้านได้ ทุกอย่างก็ดูดีขึ้นเยอะในฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว…เด็กๆ ดูสดใสกว่าเดิมและชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ดูจะไม่ทำตัวเย็นชากับทุกคนเหมือนเก่า อีริคยอมนั่งพิมพ์งานที่บ้าน…คุยกับเด็กๆ…และไม่ทำตัวเป็นคนนอกอย่างที่เคย

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์รู้สึกดีใจที่เห็นว่าบ้านเริ่มสงบสุข…แต่ในฐานะความเป็นอยู่ของเขานั้น ชายหนุ่มบอกได้คำเดียวว่าตัวเองเหมือนจะหัวใจวายได้ทุกวัน…ไม่ว่าจะเป็นการที่อีริคให้เขาช่วยตัดสินใจเรื่องที่คนนอกไม่น่าจะได้ยุ่งด้วย การง้อตลกๆ แต่น่ารักเวลาที่เขาไม่พอใจ หรือการที่เขาพบว่าตัวเองตื่นมาในอ้อมกอดของอีกฝ่ายทุกวัน

               

     

     ให้ตาย…เมื่อไหร่หมอนี่จะเรียกช่างมาซ่อมฮีตเตอร์สักทีนะ?

                  

     

     

     

     

    วันแรกสุดที่พวกเขานอนห้องเดียวกันนั้น…ชาร์ลส์ตื่นมาตอนเช้าด้วยสภาวะช็อคสุดขีดเมื่อพบว่าตนนอนซบอยู่กับแผงอกของอีริค สิ่งที่ทำให้เขาจะบ้าตายไม่ใช่ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบร่างเขาเอาไว้…แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่นอนกอดอีกฝ่ายไว้เสียดิบดี วงหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังหลับอยู่ดูดีกว่าเดิมเพราะมันอยู่ใกล้แสนใกล้…ใกล้จนชาร์ลส์เผลอคิดเรื่องงี่เง่า

               

     

     

     

     

    นี่แค่เขาเงยหน้าอีกนิด…แล้วให้อีริคก้มลงมาอีกสักหน่อย…

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์รีบดันตัวออกทันที…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องรีบออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่นั่นก็ทำให้อีริคครางฮื่ออย่างงุ่นง่าน เสียงทุ้มพูดอย่างหงุดหงิดปนงัวเงีย

                  

     

     

     

     

    “อยู่เฉยๆ ได้ไหม…?”

                 

     

     

     

     

    “เอ่อ…ฉัน…” ชาร์ลส์พยายามรวมสติตอบ “โทษที…ฉัน…เอ่อ…ต้องทำอาหารเช้า…”

                  

     

     

     

     

    เขาพูดไปพร้อมดิ้นยุกยิกไปด้วย แต่อีริคกลับดึงข้อมือไว้…รั้งให้เขากลับมาอยู่ในอ้อมแขนเจ้าตัวเหมือนเดิม ร่างสูงพลิกมากักเขาไว้ให้ดิ้นไม่ได้ วงหน้าคมสันซบลง…พึมพำข้างหู

                  

     

     

     

     

    “ช่างมันเถอะน่า…”

                  

     

     

     

     

    “อึก…”

                  

     

     

     

     

    ความเขินที่เกินพิกัดทำให้ชาร์ลส์คิดอะไรไม่ออกนอกจากนอนกระพริบตานิ่งๆ…หลับไม่ลงอีกแล้ว ได้แต่ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในการห้ามตัวเองไม่ให้ร้องว้ากๆ ออกมาดังๆ

                  

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีเทาลืมขึ้นอีกครั้งในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา…ถึงชาร์ลส์จะคิดว่าตอนนี้สมองของตนเบลอจนเหมือนว่างเปล่าไปแล้ว เขาก็ต้องประหลาดใจว่าสายตาที่จ้องนิ่งๆ ของอีกฝ่ายยังสามารถทำให้ความเขินที่ไม่น่าจะมีเหลือแล้วพุ่งพรวดขึ้นมาอีกระลอก

               

     

     

     

     

    อันที่จริง…มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเลยนะ…

                  

     

     

     

     

    “เอ่อ…อยากตื่นรึยัง?”

                  

     

     

     

     

    ขนาดเป็นคนพูดเอง…ชาร์ลส์ก็ยังบอกได้ว่ามันเป็นการทักทายที่ฟังดูไร้สติจนน่าอาย เขาโทษสมองเบลอๆ ของตน…และไพล่ต่อไปถึงตัวปัญหาตัวจริงที่นอนกอดเขาอยู่ตอนนี้

                  

     

     

     

     

    แต่แน่นอนว่าถ้าจะมีใครสักคนเกิดมาเพื่อปั่นหัวเขา…คนคนนั้นก็คงเป็นอีริค เลนเชอร์อย่างไม่ต้องสงสัย

                  

     

     

     

     

    “ไม่อยาก…” คนตัวโตส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่…ผมสีน้ำตาลจึงขยับมาระแก้มเขา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บางเบาแตะที่มุมปากตอนพูดประโยคหลัง “ถ้าอยากตื่นแล้วจะต้องลุก…งั้นฉันก็ไม่อยาก”

                  

     

     

     

     

    “ตะ แต่ฉันจะตื่นแล้ว…” ชาร์ลส์พยายามตอบกลับไปให้เสียงปกติที่สุด แม้จะรู้ดีว่าความร้อนบนหน้าต้องกำลังทรยศตัวเองอยู่แน่ๆ “ละ ลุกเลย…ไม่นอนแล้ว”

                  

     

     

     

     

    รอยยิ้มหล่อร้ายกว้างขึ้นอีกนิด เสียงทุ้มกล่าวเรื่องอื่นขึ้นมาหน้าตาเฉยราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา นัยน์ตาสีเทายังมองประสาน

                  

     

     

     

     

    “นายดูดีตอนเพิ่งตื่นนะ…ชาร์ลส์”

                  

     

     

     

     

    ถึงอีริคจะยอมปล่อยเขาโดยดี แต่ประโยคเสียงล้อเลียนและมือที่เอื้อมมายีผมเขาเล่นก็ย้ำให้ชาร์ลส์รู้ชัดๆ ว่าตัวเองโดนแกล้ง

               

     

     

     

     

    ให้ตายเถอะ…ในชีวิตเขาตอนนี้ คงหาใครที่นิสัยแย่กว่าอีริค เลนเชอร์ไม่ได้แน่ๆ

                  

     

     

     

     

    การกลั่นแกล้งที่แสนอันตรายกับหัวใจนี้ทำให้ชาร์ลส์แทบจะหาทางไปรับช่างมาซ่อมฮีตเตอร์เอง…หากอีริคก็ยื่นคำขาดว่าตนเท่านั้นที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอด…ชาร์ลส์ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครมาซ่อมฮีตเตอร์สักที

                  

     

     

     

     

    “นายโทรตามช่างรึยังเนี่ย?” ชายหนุ่มผมดำถามหลังจากที่สองสามวันผ่านไป สองสามวันที่เขาตื่นมาผจญกับสภาวะเดียวกันกับวันแรกตลอด…ตนจะสามารถลุกจากเตียงได้ก็ต่อเมื่อตอนที่จอมเอาแต่ใจรู้สึกอยากตื่นแล้วยอมปล่อยเขาเท่านั้น

                  

     

     

     

     

    ซึ่งถ้าให้สารภาพตามตรง…ชาร์ลส์ไม่คิดว่าใจเขาจะทนวันที่สี่ได้

                  

     

     

     

     

    “ช่างอะไร?”

                  

     

     

     

     

    น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้คนฟังเริ่มขมวดคิ้ว

                  

     

     

     

     

    “ช่างซ่อมฮีตเตอร์ไง…นายคงไม่คิดจะแชร์ห้องกับฉันแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรอกนะ?”

                  

     

     

     

     

    “อืม…ก็ไม่เคยบอกสักคำนะว่ามันไม่โอเคน่ะ” มองก็รู้ว่าอีริคกำลังกลั้นหัวเราะหึๆ เอาไว้ “ฉันว่ามันก็…สนุกดี”

                  

     

     

     

     

    “อีริค…” ชาร์ลส์เรียกอีกฝ่าย…พยายามจะปกปิดว่าตัวเองกำลังเขินด้วยเสียงต่ำๆ แบบคาดโทษ นั่นจึงทำให้ร่างสูงยักไหล่

                  

     

     

     

     

    “ครับๆ…จะโทรตามให้ครับ กรุณาอย่าโมโหนะครับ” เสียงทุ้มพูดนิ่งๆ ที่ฟังแล้วกวนประสาทอย่างที่สุด นิ้วเรียวจิ้มๆ หน้าผากเขา ก่อนจะเดินลอยชายจากไป…ทิ้งให้ชาร์ลส์ยืนนิ่งอย่างพูดอะไรต่อไม่ถูก รู้อย่างเดียวว่าเขาอยากจะบ้าตายกับการโต้ตอบแบบนี้ของอีริคที่สุด

               

     

     

     

     

    ชนะได้ง่ายๆ แบบนี้มันขี้โกงชะมัด…

                  

     

     

     

     

    แต่สิ่งเดียวที่อีริคทำคือยอมปล่อยตัวเขาโดยดีเพื่อให้เด็กๆ ได้มีอาหารเช้าทาน และทุกครั้งที่เขาถามถึงเรื่องนี้ การตอบรับจากอีกฝ่ายก็จะมีแค่สองอย่าง…อาการอัลไซเมอร์เฉียบพลันหรือคำชี้แจงว่าตอนนี้ช่างซ่อมฮีตเตอร์ทุกคนในเวสต์เชสเตอร์ดูจะเป็นบุคคลสาบสูญไปหมดเสียแล้ว

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ถามจนเลิกถาม…บอกตัวเองว่าเพราะเหนื่อยใจ แต่ไม่อยากจะยอมรับเหตุผลจริงๆก็คือ…ช่วงหลังมานี้ การตื่นมาโดยมีอ้อมแขนของอีริคโอบตนอยู่ทำให้เขารู้สึกดีจนชวนให้หัวเราะ ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่มีทางบอกให้ใครรู้ว่าที่เขามักรีบเข้ามานอนก่อนเสมอนั้นก็เพื่อที่จะสามารถแกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว…เพิ่มความสะดวกในการทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสภาพของแขนตัวเองที่เอื้อมไปกอดอีริคตอบ

                  

     

     

     

     

    แต่ชาร์ลส์คงไม่มีวันจะได้รู้ว่าตนไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่กำลังมีความลับ

                  

     

     

     

     

    ตอนแรก อีริคก็สงสัยที่อยู่ดีๆ ฮีตเตอร์ในห้องที่ไม่เคยมีคนนอนก็เสียลงในเวลาไม่กี่วัน แต่ก็โยนคำถามนั้นทิ้งไปทันทีตอนที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วมีร่างอุ่นๆ ของชาร์ลส์อยู่ในอ้อมแขน…นึกอยากให้ตัวเองมีสติมากกว่านี้ เพราะวินาทีที่มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นความจริง…หัวใจก็เต้นแรงชนิดไม่น่าเชื่อ

               

     

     

     

     

    ให้ตายสิ…อีริค เลนเชอร์…นายไม่ได้กำลังอยู่ในนิยายรักของเด็กไฮสคูลนะ

               

     

     

     

     

    ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น…แต่เขาก็ห้ามตัวเองในการเพิ่มแรงกอดไม่ได้เลย และถึงกับทำอะไรบ้าๆ อย่างการรั้งอีกฝ่ายไว้ให้ไม่ลุกออกจากเตียงไปด้วย…หน้าของชาร์ลส์ที่มองก็รู้ว่าเขินจะตายอยู่แล้วนั้นทำให้เขารู้สึกทั้งหมั่นเขี้ยวและมีความสุขแบบแปลกๆ ไปพร้อมๆ กัน

                  

     

     

     

     

    แก้มแดงๆ…ผมยุ่งๆ…คำสั่งที่เจ้าตัวพยายามจะให้มันฟังดูจริงจังแม้จะไม่มีประโยชน์ตอนบอกให้เขาลุกขึ้น…ทุกอย่างดูจะทำให้เขายิ้มออกมาได้เสมอแค่เพียงคิดถึง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่อีริคไม่คิดแม้แต่จะจำว่าต้องหาช่างมาซ่อมฮีตเตอร์…และไม่รู้สึกผิดสักนิดด้วยเวลาบอกชาร์ลส์ว่าเขาจะจัดการให้แล้วก็ไม่ทำเสียดื้อๆ

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ตามทวงถามตลอดในช่วงแรกๆ…แต่เมื่อเวลาผ่านไป เสียงบ่นก็หายไป และก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะจำไปแล้วว่าห้องนี้คือห้องนอนของตัวเอง…ชายหนุ่มผมดำเริ่มเอาของจุกจิกของตนมาวางไว้ในห้อง บ่นเวลาที่เขาเอาหนังสือหรือกองกระดาษมาวางไว้เกะกะ แถมเข้ามานอนก่อนเสมอด้วย

               

     

     

     

     

    ให้ตายสิ…นี่มันห้องนอนใครกันแน่แล้วล่ะเนี่ย…?

                  

     

     

     

     

    อีริคอมยิ้ม…อาการที่เกิดขึ้นเสมอเวลาคิดถึงวีรกรรมของชาร์ลส์ ตั้งใจว่าชายหนุ่มผมดำจะไม่มีวันได้รู้ว่าที่เขาปั่นงานจนดึกทุกวันหลังจากที่อีกฝ่ายย้ายมานอนด้วยก็เพราะว่าจะรอให้เจ้าตัวหลับไปก่อน…แล้วขยับมาเข้าซุกเขาเองอย่างไม่รู้ตัว

                  

     

     

     

     

    เรื่องวุ่นวายของฮีตเตอร์ที่เสียดูจะมีแต่ปริศนา…แต่สุดท้าย ทั้งอีริคและชาร์ลส์ก็ดูจะเต็มใจไม่ไขปริศนาโดยดี

     

     

     

     

     

     

     

    *****

     

                  

     

    “ดูนี่สิฮะ!!”

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ชะงักมือจากการตักน้ำเกรวี่ราดบนมันบดให้ทุกคนชั่วครู่เพื่อมองแผ่นกระดาษในมือของเด็กชายผมแดง…มันคือใบปลิวสีสดใสของร้านเช่าดีวีดีในตึกบล็อคถัดไป เขารู้ว่ามันไม่ไกลเพราะเดินผ่านอยู่บ่อยๆ

                  

     

     

     

     

    “อะไรน่ะฌอน?” อเล็กซ์ถามพลางเดินเข้ามาเพื่อช่วยยกจานออกไปเตรียมวางบนโต๊ะอาหาร คนถูกถามจึงหันไปโชว์ใบปลิวให้พี่ชายดูพร้อมอธิบายเสียงตื่นเต้น

                  

     

     

     

     

    “มันเป็นโปรโมชั่นของสัปดาห์นี้น่ะสิ…ถ้าเช่าสี่แผ่นจะได้เพิ่มฟรีอีกแผ่นนึง” นิ้วป้อมๆ จิ้มตัวอักษรเด่นหราบนแผ่นกระดาษให้อีกฝ่ายได้เห็นชัด “กินข้าวเย็นเสร็จแล้วไปกันเลยเถอะ ได้มีหนังดูไง!”

                  

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีน้ำเงินของเด็กชายคนโตวิบวับขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าใบปลิวบอกตามนั้นจริงๆ…ก่อนจะรีบหันไปหาชายหนุ่มผมดำ “ถ้ากินเสร็จแล้ว…พวกเราไปร้านเช่าหนังกันได้มั้ยครับ?”

                  

     

     

     

     

    เพราะบ้านนี้นั้นเล็กแสนเล็ก…การเก็บสะสมของที่รังแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแผ่นดีวีดีจึงไม่เป็นสิ่งพึงกระทำ แต่เด็กๆ ก็ดูจะไม่ว่าอะไรในเมื่อมีร้านให้เช่าอยู่ใกล้บ้าน…และตัดสินจากที่ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ชาร์ลส์จึงไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร

                  

     

     

     

     

    ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่ลืมจะเตือน “แต่การบ้านต้องเสร็จก่อนจะดูนะ”

                  

     

     

     

     

    สองหนุ่มยิ้มเริงร่าก่อนจะวิ่งออกไปเรียกน้องอีกสองคนให้มาทานอาหารเย็น ชาร์ลส์ส่ายหัวอย่างระอาปนเอ็นดูกับเสียงพูดคุยสุขสันต์จากโต๊ะอาหาร…ร้องบอกให้เด็กๆ เริ่มต้นทานได้เลยโดยไม่ต้องรอ เพราะเขาต้องจัดการกับบรรดาภาชนะจากการเตรียมอาหารที่กองเต็มอ่างล้างเสียก่อน

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ตั้งใจล้างจานจนไม่ได้สังเกตถึงเสียงพูดคุยที่เบาลงไปกับเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินเข้ามา…เขาจึงสะดุ้งจนฟองน้ำแทบหลุดมือเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้น

                  

     

     

     

     

    “มีอะไรให้กินน่ะ?”

                  

     

     

     

     

    “อะ อ้าว…กลับมาแล้วเหรออีริค” ชาร์ลส์ทัก ความตกใจชั่ววูบโดนแทนที่ด้วยรอยยิ้มตามนิสัย “มีมันบดกับไก่ทอด…ฉันวางไว้ตรงเคาท์เตอร์น่ะ นายตักเอาได้เลย”

                  

     

     

     

     

    แต่แน่นอน…ผู้ใหญ่จอมเอาแต่ใจอย่างอีริค เลนเชอร์มักจะอาละวาดเวลาเพิ่งกลับมาถึงบ้านแบบนี้เสมอ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่กรณียกเว้น

                  

     

     

     

     

    “ไม่เอา…ฉันไม่อยากกินมันบดกับไก่ทอด” หน้าหล่อๆ ขมวดคิ้วใส่ เสียงทุ้มฟังดูกล่าวหาราวกับว่าเขาเป็นฝ่ายผิดที่ทำอาหารที่ไม่ถูกใจรอไว้ “ฉันอยากกินแพนเค้ก”

                  

     

     

     

     

    “หา??!! นายจะบ้ารึไง?! ฉันทำอะไรไว้ก็กินไปสิ!” ชาร์ลส์อุทานเสียงหลงออกมา…นึกปวดหัวกับคนที่ชอบเรียกร้องอะไรแปลกๆ ในเวลาแปลกๆ แบบนี้ยิ่งนัก “แล้วใครเขาจะมากินแพนเค้กกันตอนนี้…มันเป็นอาหารเช้านะถ้านายไม่รู้!”

                  

     

     

     

     

    “แล้วไง? มันผิดกฎหมายข้อไหนเหรอถ้าฉันจะกินแพนเค้กเป็นมื้อเย็น?” จอมเอาแต่ใจยังไม่ยอมเลิก เสียงทุ้มฟังแล้วหาเรื่องเข้ากับหน้าบูดๆ ของเจ้าตัวเป็นอย่างยิ่ง “ฉันอยากกินแพนเค้ก…และฉันจะกินแพนเค้ก”

                  

     

     

     

     

    ชาร์ลส์นึกอยากโวยกลับไปว่างั้นก็จงแขวนท้องหิวไปซะเถอะ…แต่ก็ถอนหายใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีริคทำตัวแบบนี้…และเขาก็พอจะสังเกตได้ว่าอาการเด็กเอาแต่ใจจะรุนแรงเสมอตามความเหนื่อยจากงานของเจ้าตัว

               

     

     

     

     

    กลับมาก็โวยวายจะเอาแต่แพนเค้กแบบนี้…ท่าทางวันนี้คงปั่นงานมาขนาดหนักแน่ๆ

                  

     

     

     

     

    เพราะรู้แบบนี้…ชาร์ลส์จึงไม่อาจทำตัวใจร้ายไม่ฟังอีกฝ่ายได้ลง เขาพยายามหาทางประนีประนอมเสียงอ่อน

                  

     

     

     

     

    “ตอนนี้ยังไม่เย็นนะ…ลองไปหน้าโรงเรียนดูมั้ย ฉันว่าร้านแพนเค้กยังเปิดอยู่นะ”

                  

     

     

     

     

    โรงเรียนที่เขาพูดถึงก็คือโรงเรียนเวสต์เชสเตอร์มาร์เวลที่เด็กๆ เรียนอยู่…และหน้าโรงเรียนก็มีร้านแพนเค้กที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยสุดขีดและคนขายก็หล่อโฮกราวกับเป็นเทพสายฟ้าลงมาเกิด ว่ากันว่าสูตรแพนเค้กของร้านเป็นตำรับดั้งเดิมจากแอสการ์ดเลยทีเดียว

                  

     

     

     

     

    แต่แน่นอน…ว่าถ้าจะมีคนสักคนที่บอกว่าแพนเค้กเทพนอร์สไม่ดีพอสำหรับตัวเอง คนคนนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอีริค เลนเชอร์

                  

     

     

     

     

    “ไม่เอา” เสียงทุ้มยืนยันคำเดิม และคราวนี้…ฟองน้ำในมือชาร์ลส์ก็ร่วงตุบลงไปในอ่างล้างจานจริงๆ เมื่อร่างสูงโน้มตัวลงมาเพื่อเกยคางบนไหล่เขา “ฉันจะกินแพนเค้กที่นายทำ”

                  

     

     

     

     

    ถึงท่อนแขนแข็งแรงนั้นจะไม่ได้มาโอบรอบตัวเขา…แต่ร่างที่ยืนชิดกับการที่อีกฝ่ายเกยคางบนไหล่เขาแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการโดนกอดจากด้านหลังเลย ชาร์ลส์พยายามรวมสติพร้อมกับบังคับไม่ให้มือสั่นตอนหยิบฟองน้ำขึ้นมาใหม่ “นะ นี่มันไม่ตลกเลยนะอีริค…ลุกออกไปเลย แล้วถ้าอยากกินก็ออกไปซื้อเอง”

                  

     

     

     

     

    “ไม่” คุณเจ้าบ้านยังคงไม่เลิกพูดคำปฏิเสธนี้ซ้ำๆ “ถ้านายไม่ทำแพนเค้ก…ฉันก็จะอยู่อย่างนี้แหละ”

                  

     

     

     

     

    “ให้ตายสิ…นายไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะอีริค” ชาร์ลส์พยายามชี้แจงด้วยเสียงมีเหตุผล หวังสุดชีวิตว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าจังหวะเพลงร็อคของเขา “ลุกซะแล้วก็ไปกินมื้อเย็นได้แล้ว…ไม่อย่างนั้นก็ออกไปซื้อ ร้านก็อยู่แค่ตรงนี้เอง”

                  

     

     

     

     

    อีริคนิ่งเงียบแต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้น ชาร์ลส์สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายแนบแก้มลงมาชิดกว่าเก่า…ซึ่งบอกได้คำเดียวว่ามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเลย

                  

     

     

     

     

    …แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ส่งผลทำลายล้างสาหัสที่สุด

                  

     

     

     

     

    “แต่ฉันอยากกินแพนเค้กที่นายทำนี่” เสียงทุ้มพูด…แผ่วเบาอยู่ตรงข้างหู “ถ้าไม่ใช่นาย…ฉันก็ไม่สนหรอก”

                  

     

     

     

     

    คราวนี้ไม่ใช่แค่ฟองน้ำ…กระทะที่ชาร์ลส์ล้างอยู่หล่นกลับลงไปในอ่างดังโครมใหญ่ ความเงียบตามมาชั่วครู่…ก่อนที่เสียงนุ่มนวลของคุณพี่เลี้ยงประจำบ้านจะพูดขึ้น

                  

     

     

     

     

    “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”

                  

     

     

     

     

    น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งจนแทบจะดูเหมือนเฉยเมย อีริคจึงเลิกพูดจาล้อเล่น…เขาหยัดตัวกลับมายืนเต็มความสูง แต่จับต้นแขนอีกฝ่ายไว้แน่น “ชาร์ลส์…ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันกินของที่มีก็ดะ…”

                  

     

     

     

     

    “ฉันบอกว่าให้ปล่อยฉันไง” ชายหนุ่มผมดำกล่าวแทรก ยังคงไม่ยอมมองหน้า

                  

     

     

     

     

    “ไม่…จนกว่านายจะฟังฉัน” อีริคไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องจบแบบนี้ “ฉันล้อนายเล่นเยอะไป…ฉันขอโท…”

                  

     

     

     

     

    “ฉันบอกให้นายปล่อยฉัน…” ชาร์ลส์กล่าวแทรกอีกครั้ง คราวนี้ไม่ยอมเว้นช่วงให้เขาได้มีจังหวะพูด “…เพราะฉันจะได้ล้างกระทะนี่ให้เสร็จ เพราะมันเป็นกระทะใบเดียวของบ้าน…และถ้าไม่ล้าง ฉันก็จะทอดแพนเค้กให้นายไม่ได้”

                  

     

     

     

     

    ร่างบางขยับให้ต้นแขนตนเป็นอิสระจากมืออีกฝ่าย ก่อนจะตวัดเสียงสำทับ

                  

     

     

     

     

    “ละ แล้วก็ทีหลัง…แค่บอกดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องมาทำแบบนี้แล้วนะ!”

                  

     

     

     

     

    อีริคได้มีโอกาสมองหน้าสบตากับอีกฝ่ายดีๆ ก็ตอนนี้เอง…และพบว่าที่เจ้าตัวพยายามจะไม่หันมานักหนาไม่ใช่เพราะโกรธเคืองอะไร แต่เพราะแก้มขาวๆ ตอนนี้แดงก่ำไปหมดแล้ว…ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามขมวดคิ้วแล้วทำเสียงดุๆ ใส่เขาเพื่อปกปิดเลย

                  

     

     

     

     

    “มะ มองอะไรอีก?” ประโยคหาเรื่องที่เสียงสั่นระริกนั้นทำให้อีริคอมยิ้มแบบห้ามไม่อยู่ “ก็บอกว่าจะทำให้กินไง…ละ เลิกมองได้แล้ว!”

                  

     

     

     

     

    อีริคไม่คิดแม้แต่ละสายตา…เขายักคิ้วให้อีกฝ่ายพร้อมรับคำเสียงเนิบช้าแบบล้อเลียน “ครับ…ครับ…ไม่มองแล้วครับ”

                  

     

     

     

     

    สีกุหลาบบนแก้มของชาร์ลส์ดูจะเข้มขึ้นอีกเฉด…อีริคหัวเราะหึๆ แผ่วเบาในลำคอกับสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งของอีกฝ่ายก่อนจะล่าถอยออกมาโดยดี

               

     

     

     

     

    ให้ตายสิ…จะมีใครที่เหมาะจะเป็นตัวอย่างของวลี ‘น่ารักน่าแกล้ง’ มากไปกว่าชาร์ลส์อีกไหมเนี่ย?

                  

                 

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in