Chapter 5
ตอนแรกนั้นชาร์ลส์คิดว่าการซักถามอะไรมากเกินไปจะดูเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่อง...แต่หลังจากที่ค้นพบว่ามันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหางี่เง่าในครอบครัวนี้ได้ชายหนุ่มจึงไม่คิดลังเลอีกแล้ว เขาถามทุกอย่างที่อยากรู้จากอีริคแบบละเอียดยิบ...ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานของอีกฝ่ายตารางงาน และวิธีการติดต่อทุกรูปแบบที่จะเข้าถึงเจ้าตัวได้
หลังจบการสอบปากคำรอบสองที่บ้าน...ชาร์ลส์ก็ได้รู้แบบชัดเจนเสียทีว่าอีริคทำงานในฐานะนักเขียนอิสระส่งนิตยสารที่ทำงานห่างจากบ้านไปพอสมควร...แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์แสนแพง(มันคือคันเดียวกับที่เจ้าตัวใช้มาส่งเขาที่เมาไม่รู้เรื่องตอนวันแรกนั่นเอง) และเพราะเป็นงานอิสระที่แค่ส่งให้ทันเส้นตายเป็นพอ...อีริคจึงมีเวลาว่างเหลือเฟือแทบทุกวันหากที่ไม่เคยอยู่กับบ้านก็แค่เพราะว่าไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับเด็กๆ เท่านั้นเอง
“ให้ตายเถอะอีริค...นายนี่มัน...”เมื่อเห็นภาพรวมชัดเจน...ชาร์ลส์ก็นึกอยากจะกุมขมับกับเหตุผลบ้าๆที่ทำให้ครอบครัวนี้ดูเป็นครอบครัวมีปัญหาเสียเหลือเกิน“...นายเป็นพวกต่อต้านสังคมรึไงกัน?”
“ก็แล้วแต่จะคิด”แทนที่จะโมโห...คนโดนว่ากลับยักไหล่หน้าตาเฉย “...ถึงจริงๆ ฉันจะคิดว่า ‘โลกส่วนตัวสูง’ จะฟังดูดีกว่าก็ตามเถอะนะชาร์ลส์”
ชายหนุ่มผมดำเอามือปิดหน้าครู่ใหญ่ก่อนจะเงยขึ้นมาพูดเสียงช้าชัด
“ไปซุปเปอร์มาร์เกตกัน”
คนโดนชวนแกมบังคับขมวดคิ้วอย่างฉงนชาร์ลส์จึงพูดประโยคเดิมซ้ำ
“ฉันบอกว่าไปซุปเปอร์มาร์เกตกัน”
ประโยคที่ว่าดูจะซึมซับเข้าไปในการรับรู้แล้ว...อีริคจึงถามย้อนกลับมา“เพื่ออะไร?”
อีกฝ่ายตีหน้ายักษ์กลับมา...เพียงแต่ความรุนแรงดูจะลดไปเยอะเมื่อเจ้าตัวหล่อน่ารักเสียแบบนี้เสียงนุ่มพูดกระชากในระดับที่อีริคให้คะแนนความรุนแรงเทียบเท่าได้กับหนูแฮมสเตอร์ที่กำลังโกรธจัด
“เพื่อปรับปรุงตัวนายเองน่ะสิ!ไปกันเดี๋ยวนี้เลย!!”
อีริคแอบเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะพยายามซ่อนยิ้มไว้ในหน้าตอนที่คุณพี่เลี้ยงดึงแขนเขาให้เดินตามมาด้วยกันจนถึงตรงราวแขวนเสื้อโค้ทหน้าบ้านหลังจากที่เขาสวมแจ็คเกตหนังของตนเรียบร้อยแล้วร่างเพรียวก็เตรียมจะเดินออกไปนอกประตู...หากก็หันมามองอย่างงงๆเมื่อมือใหญ่ของคนข้างตัวเอื้อมมาจับมือของตนเอาไว้
“มีอะไร?”
“เปล่า...”คุณเจ้าบ้านพูดเสียงทองไม่รู้ร้อน “ก็นายเป็นคนชวน...นายก็ต้องเป็นคนพาฉันไปสิ”
เสียงถอนหายใจแบบใกล้หมดความอดทนของร่างสมส่วนตรงหน้าทำให้อีริคต้องเพิ่มความพยายามในการกลั้นยิ้มมากขึ้น...และก็ล้มเหลวเมื่ออีกฝ่ายยอมออกเดินโดยที่มือยังเกี่ยวกุมกับเขาไว้อยู่
*****
“ดูสิๆ!”
เด็กชายผมแดงกระซิบเรียกพี่น้องของตนพร้อมกวักมือเรียก...ร่างเล็กอยู่บนโซฟาเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมมีเกราะกำบังไปในตัวน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นตัวเร่งให้เด็กชายอีกสองคนวิ่งมากระโดดใส่โซฟาบ้างส่วนเด็กหญิงก็เดินตุ้บตั้บตามมาด้วยขาสั้นๆ
ภาพของชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ยอมเดินตามให้คนตัวเล็กกว่าลากมือนำไปทำให้บรรดาผู้แอบมองทุกคนทำหน้าเหวอ...อเล็กซ์นิ่งเงียบแต่นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างแฮงค์ถึงกับถอดแว่นออกเพื่อขยี้ตา ส่วนเรเวนก็ทำแก้มพองลมฟู่ๆ อย่างตื่นเต้น
จนกระทั่งสองร่างลับหายไปทางหัวมุมถนนนั่นเองที่ทุกคนดูจะพูดออก...เด็กชายทั้งสามไถลลงมานั่งเรียงกันบนโซฟา ความเงียบปกคลุมชั่วครู่ก่อนที่พี่ชายคนโตจะรำพึงออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นเรื่องที่พิลึกที่สุดในโลก...”
ไม่บ่อยครั้งนักที่แฮงค์จะเห็นด้วยกับอเล็กซ์...และคราวนี้ก็เป็นจังหวะที่ไม่บ่อยนั้นเด็กชายผมสีเข้มพยักหน้า น้ำเสียงที่พูดเจือด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นสัตว์สปีชีส์นักล่ายอมทำตามการควบคุมของสัตว์สปีชีส์โมเอะ...”
อเล็กซ์ขมวดคิ้วกับศัพท์เทคนิค “อะไรคือโมเอะหาเจ้าเนิร์ด?”
ก่อนที่หนุ่มแว่นจะได้อธิบายสาวน้อยคนเดียวของบ้านก็ชิงพูดก่อน
“เรเวนเหมือนกัน...เห็น...เรเวนเห็น...แด็ดจับมือเดินกับมี๊”
เด็กชายคนโตกับคนเล็กพยักหน้ากับข้อเท็จจริงที่น้องสาวพูด...มันตรงประเด็นและถูกต้องเพียงแต่สุดแสนจะไม่น่าเชื่อเท่านั้นเอง หากเด็กชายผมแดงไม่ตอบรับกับประโยคใด...เขาทำหน้าปิ๊งปั๊งเหมือนกับได้เห็นอะไรที่สวยงามที่สุดในชีวิตน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาล่องลอยและบอกได้ชัดว่าเจ้าตัวเพ้อไปไกลแล้วแค่ไหน
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นโอทีพี~”
คราวนี้แม้แต่อัจฉริยะอย่างแฮงค์ยังต้องขมวดคิ้ว“อะไรคือโอทีพี? สูตรเคมีรึไง?”
“มันคือ...เฮ้อ~ ช่างเถอะน่าๆ”ฌอนโบกมือพั่บๆ “ประเด็นสำคัญคือว่า...เราจะต้องทำยังไงต่อไปต่างหาก”
“ทำอะไร?”อเล็กซ์ถาม เพราะรู้ดีว่าบอกฌอนในโหมดหลุดโลกแบบให้หยุดพล่ามไปก็ไม่มีประโยชน์
“ปัดโธ่เอ๊ย...ก็ช่วยเชียร์ไงเล่า!!” หนุ่มน้อยผมแดงจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดที่ไม่มีใครคิดตามตนทันร่างเพรียวกระโดดลงมาจากโซฟา อุ้มร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงให้ขึ้นไปนั่งบนที่เดิมของตนเพื่อประจันหน้ากับทุกคนได้ถนัดๆ“ฟังนะ...พวกนายไม่ได้สังเกตเลยรึไงว่าตั้งแต่ชาร์ลส์มาอยู่ อะไรๆมันก็ดีขึ้นน่ะ?”
เด็กชายเว้นช่วงเพื่อให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับตนก่อนจะกล่าวต่อ
“เรามีของอร่อยๆกิน...แด็ดก็อยู่ติดบ้านแถมยอมคุยกับพวกเรา...” น้ำเสียงเกลี้ยกล่อมสาธยาย“พวกนายไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดรึไง?”
“ก็จริงแหละ...ตั้งแต่ชาร์ลส์เข้ามาอะไรๆ ก็ดีขึ้นจริงๆ” แฮงค์เห็นด้วยสมองฉลาดเกินวัยคิดได้แล้วว่าพี่ชายคนรองคิดอยากพูดอะไร“เข้าใจละ...นายเลยคิดว่าจะให้ชาร์ลส์กับแด็ด...”
“อินเลิฟ...แต่งงาน...อยู่ด้วยกันตลอดไป...นั่นล่ะที่ฉันคิด”ณอนชี้นิ้วแบบใช่เลยใส่น้อง “แต่ปัญหาคือพวกผู้ใหญ่น่ะชอบคิดว่านั่นนี่มันผิดไปหมดเลยไม่กล้ายอมรับหรือทำอะไรสักอย่าง...เพราะงั้นพวกเราต้องช่วยเขาสองคนเราเริ่มได้จากการ...”
“เฮ้ๆ!!ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะ!!”หนุ่มแว่นร้องเสียงหลง หน้าแดงแปร๊ดเมื่อพยายามชี้แจง“แล้วอีกอย่าง...ชาร์ลส์กับแด็ดเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกันอย่างที่นายเพ้อไปเองก็ได้...ให้ตายสิฌอนนายต้องเลิกคิดว่าชีวิตจริงคือทัมเบลอร์ซะทีนะ!”
“เงียบน่าแฮงค์!ที่ฉันพูดไปนั่นไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นประโยคคำสั่งต่างหาก!!นาย-ไม่-มี-สิทธิ์-เลือก!!”เด็กชายผมแดงขึ้นเสียงบ้างนั่นจึงทำให้สาวน้อยที่ฟังพี่ชายไม่ค่อยทันแต่อยากมีส่วนร่วมส่งเสียงวี้ดๆออกมาอย่างสนุกสนานด้วยบ้าง อเล็กซ์นั่งปิดหูอยู่สักพักก่อนจะว้ากออกมา
“เงียบเดี๋ยวนี้!!!”
เมื่อพี่ชายคนโตออกโรง...ทุกคนก็ยอมสงบโดยดีเด็กชายผมทองถอนหายใจเฮือกอย่างระอาใจก่อนจะพูดเสียงเฉียบขาดเพื่อไกล่เกลี่ยทุกอย่าง
“โอเคฌอน...ฉันเข้าใจว่านายเป็นแฟนบอยแต่ที่แฮงค์พูดเป็นมันถูก...นี่เป็นชีวิตจริงนายเที่ยวไปชิปชาวบ้านเขาตามใจชอบไม่ได้”เด็กชายเอ่ยหนักแน่นเพื่อสอนน้อง...ก่อนจะเสริมเมื่อเห็นเด็กชายผมแดงทำหน้ามุ่ย“...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นายพูดมันผิดไปหมดหรอกนะ ตั้งแต่ชาร์ลส์มาอะไรๆมันก็ดีขึ้นจริงๆ...และเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแด็ดต้องรู้สึกซัมติงกับชาร์ลส์แหละแด็ดเคยยอมใครขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ”
“ใช่มั้ยล่ะ~ ฉันบอกแล้วววว~” นัยน์ตาสีเทาซีดของคนหน้ามุ่ยวาววับขึ้นมาทันควัน “แถมการที่ชาร์ลส์ได้มาอยู่บ้านนี่ก็เพราะแด็ดเป็นคนขอให้มาด้วยนะ...แล้วไหนจะ...”
“หยุด!หยุดเลย!!” พี่ชายคนโตรีบเบรก ก่อนจะสรุป“ฉันชอบตอนที่ชาร์ลส์มาอยู่กับเรามากกว่าตอนแรกๆ...อันนี้มีใครคัดค้านมั้ย?”
ไม่มีเสียงตอบเพราะทุกคนพยักหน้ารับแทน...แต่อย่างไรเสียคะแนนเสียงก็เป็นเอกฉันท์
“โอเค...งั้นนี่เป็นสิ่งที่เราจะทำ”อเล็กซ์พูด“พวกเราจะเชียร์ให้แด็ดกับชาร์ลส์ชอบกันให้ได้...อารมณ์แบบคอยสร้างโอกาสหรือบรรยากาศอย่างงั้นน่ะ”
เด็กชายเลิกคิ้วแต่ไม่เว้นจังหวะให้นานพอที่ใครจะสามารถกล่าวแทรกตนได้
“แต่ถ้ามันชัดเจนว่าไม่มีทาง...พวกเราต้องยอมรับและรามือโอเคมั้ย?”
ข้อเสนอของพี่ชายเป็นที่พอใจของทุกคน...นั่นจึงทำให้แฟนบอยหนุ่มเนิร์ด และสาวน้อยพยักหน้าตกลงหงึกๆ โดยดี
*****
อีริคกับชาร์ลส์กลับมาถึงบ้านตอนได้เวลาทำอาหารเย็นพอดี
ร่างเพรียววางถุงในมือลงบนโต๊ะอาหาร...ชายหนุ่มอีกคนทำตามเงียบๆก่อนจะยืนนิ่งราวกับรอว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป ชาร์ลส์ลอบมองร่างสูงเงียบๆพลางรินน้ำใส่แก้วให้ตัวเองแล้วดื่มอึกๆ...ตลอดการซื้อของอีริคไม่ได้ช่วยเลือกข้าวของอะไร แต่ก็ยอมเข็นรถเข็นตามเขาไปเรื่อยๆ ไม่มีบ่น ตอบคำถามเวลาที่เขาถาม(แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นแค่ประโยค “อะไรก็ได้” เท่านั้นก็ตาม) และยอมที่จะวางแพคเบียร์กระป๋องกลับไปตอนที่เขาไม่ยอมให้เจ้าตัวซื้อเกินหนึ่งแพค
ให้ตายเถอะ...ทำตัวดีๆ ก็ทำได้แท้ๆ...แต่ดันไม่ยอมทำเสียอย่างนั้น
ชาร์ลส์ถอนหายใจอย่างหน่ายใจ เทน้ำใส่แก้วอีกรอบแล้วเดินไปยื่นให้อีกฝ่าย
“เอ้า...หิวน้ำมั้ย?”
อีริคไม่ตอบแต่รับแก้วไปดื่มเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยทักขึ้นมาลอยๆ“แก้วนี้นายดื่มไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ชาร์ลส์สะดุ้งทันควันเมื่อนึกได้และก็มองเห็นว่ามันสายไปเสียแล้ว “ให้ตาย...! โทษทีฉันลืม...”
“ใจเย็นน่า...ฉันไม่ได้จะว่าอะไร” ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะจิบน้ำอีกอึก “ก็แค่นายใช้ไปรอบเดียวเองนี่”
ใช่เลยอีริคเลนเชอร์...แค่ฉันใช้ไปรอบเดียวและนายก็ดูจะโอเคกับการจูบทางอ้อมกับฉันเท่านั้นเอง
ชาร์ลส์พยายามปั้นหน้าเป็นปกติวินาทีกระอักกระอ่วนในซุปเปอร์มาร์เกตย้อนกลับมาอีกครั้ง...เขากำลังเลือกผักที่จะใช้ทำอาหารเย็นวันนี้โดยมีอีริคยืนทำหน้าเบื่ออยู่ข้างๆ
“แครอทหรือเห็ดดี?”ชาร์ลส์หรี่ตามองผักสองชนิดที่อยู่ในมือแต่ละข้างของตนอย่างชั่งใจแต่แน่นอนว่าคนข้างตัวก็ไม่เคยจะให้ความร่วมมือด้วยสักครั้งเสียงทุ้มพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ไม่เอาทั้งคู่”
ชาร์ลส์ถลึงตาเสียงนุ่มเริ่มเข้มขึ้นนิดๆ
“มันมีประโยชน์ทั้งคู่แต่ฉันคิดว่าแค่อย่างเดียวก็พอ...แครอทหรือเห็ดดี?”
อีริคเลื่อนรถเข็นเล่นไปมาอย่างไม่สนใจ
“...ฉันเกลียดทั้งสองอย่างเลย”
“แครอทหรือเห็ด?”
“วางไปซะทั้งคู่แล้วซื้อมันฝรั่งไปทำเฟรนช์ฟรายด์ดีกว่า”
ชาร์ลส์นึกอยากเอาผักในมือฟาดหน้าเจ้าคนหน้ามึนสักที“แค-รอท-หรือ-เห็ด?!”
“ให้ตาย...”ชายหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจ ก่อนจะย้อนถาม “นายชอบกินอะไรมากกว่าล่ะ?”
คนฟังกระพริบตาอย่างตามไม่ทันก่อนจะตอบ “แครอท”
ร่างสูงยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “งั้นซื้อเห็ดละกัน”
ชาร์ลส์มองคนตรงหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ...ความนึกอยากจะเอาผักในมือฟาดหน้าหล่อร้ายนั่นสักทีเพิ่มขึ้นอีกโขอีริคหัวเราะออกมากับสีหน้าเหมือนหนูแฮมสเตอร์โกรธจัดและแก้มขาวๆที่ของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แดงด้วยความโมโหที่ถูกตนปั่นหัว
ให้ตายเถอะ...จะมีใครโมโหได้น่าเอ็นดูเป็นบ้าและตลกได้ใจเท่าคนตรงหน้าเขาอีกไหมนะ...?
ชายหนุ่มผมน้ำตาลพยายามกลั้นยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแครอทที่ชาร์ลส์ถืออยู่มาใส่ในรถเข็น...ยอมลงให้โดยดีหลังจากที่แกล้งคนน่ารักจนพอใจแล้ว
“ล้อเล่นน่าชาร์ลส์...นายชอบแครอทก็ซื้อแครอทสิถ้านายชอบกินฉันก็กินด้วยได้หมดแหละ”
กว่าชายหนุ่มผมดำจะรู้ตัวว่าโดนแกล้งอีกแล้วก็เมื่อร่างสูงเข็นรถเดินนำไปพร้อมทิ้งเสียงหัวเราะหึๆมาให้เข้าหู นึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบจากคุณป้าสองคนที่ยืนมองตั้งแต่ต้นจนจบ
“ต๊าย~ ทะเลาะกันง้องแง้งแบบนี้คงเพิ่งแต่งงานแน่ๆเลยว่ามั้ย?”
“ไม่หรอกๆ...อย่างงี้ท่าทางจะเป็นแค่แฟนอยู่นะแต่คงใกล้แต่งแล้วล่ะ โฮะโฮะโฮะ~”
“จะว่าไป...คนเข็นรถหน้าคุ้นๆว่ามั้ย? เขาอยู่บ้านที่มีเด็กหลายๆ คนนะถ้าจำไม่ผิด”
“แต่อีกคนไม่ใช่คนแถบนี้นะ...หน้าตาเรียบร้อยดีจังเนอะ~”
“นั่นสิ...ท่าทางรักกันดีแบบนี้น่ารักจริงจริ๊ง~”
ชาร์ลส์นึกอยากระเบิดคำพูดออกไปให้คุณป้าๆฟังว่ามันไม่ใช่อะไรแบบนั้นและก็ช่วยเลิกมองเขาด้วยสายตาวิบวับเสียที...แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์และไม่สมควรอย่างยิ่งเขาจึงได้แต่วางเห็ดกลับเข้าชั้นแล้วกระแทกเท้าตามอีริคไป
“ชาร์ลส์...ชาร์ลส์...?”
เสียงเรียกทำให้เขาหลุดจากภวังค์...อีริควางแก้วน้ำลงในอ่างล้างพลางถามต่อเมื่อเห็นว่าเขาฟังแล้ว“ยังมีอะไรอีกมั้ย? ฉันไปได้รึยัง?”
“อะอ๋อ...” นัยน์ตาสีแซฟไฟร์กระพริบปริบๆ ก่อนจะเรียบเรียงคำพูด“ยังมีอีกเยอะเลยล่ะ...เอาผักออกมาจากถุงซิ”
อีริคทำหน้าเซ็งแต่ยอมทำตามโดยดีและหลังจากที่เขาสั่งงานต่อ...ชาร์ลส์ก็ค้นพบว่าความสามารถในการเตรียมอาหารของอีริคมีค่าคะแนนต่ำกว่าศูนย์
บ้านนี้กินซีเรียลมาจะสองปีเต็มๆ...แล้วเขาจะกล้าหวังว่าอีริคทำอาหารเป็นได้อย่างไรกัน...?
“โอเค...โอเค...” ชาร์ลส์หยิบมีดแล่ปลาด้ามยักษ์ที่อีกฝ่ายพยายามจะใช้มันปอกเปลือกแครอทออกจากมือลอบถอนหายใจอย่างระอาพลางวางหัวหอมให้แทน “ปอกหอมไปละกัน...ไม่ยากหรอก ลอกๆให้เหลือแต่เนื้อสีขาวนะโอเคมั้ย?”
อีริคพยักหน้าหยิบหัวหอมไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อนจะเริ่มงานเงียบๆ...ชาร์ลส์มองจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ก่อหายนะใดๆแล้วจึงเริ่มตั้งหม้อรอแล้วแกะซองเส้นสปาเกตตี้เมื่อน้ำเดือดและใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไปแล้ว...เขาก็เริ่มต้นปอกเปลือกแครอทที่จะใส่ในซอส
ชายหนุ่มผมดำจัดการกับแครอทหัวสุดท้ายเสร็จพอดีกับทีอีริคเดินเอาหัวหอมกลับมาวางให้เขาบอกให้อีกฝ่ายไปรอดูว่าเส้นสปาเกตตี้ได้ที่หรือยังก่อนจะเริ่มต้นหั่นหัวหอม...แต่เมื่อหั่นไปได้ครึ่งหนึ่งชาร์ลส์ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาลืมอะไรไป
“อีริค...อีริค...”เสียงนุ่มเรียก “นายเอาหัวหอมล้างน้ำรึยัง?”
แต่คำถามของเขาไม่จำเป็นต้องรอคำตอบแล้ว...เพราะความร้อนผ่าวที่พุ่งปราดขึ้นมาจนทำให้แสบจนน้ำตาไหลบอกชัดเจนว่าหัวหอมยังไม่ถูกล้างแน่นอนชาร์ลส์ร้องออกมาเบาๆ กับความแสบร้อน น้ำตาหยดโตไหลพรู
“ยังไม่ได้ล้าง...”อีริคหันมาตอบ ก่อนจะอุทานออกมาเสียงลั่น “ชาร์ลส์!! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!นายเป็นอะไร?!!”
“มะไม่มี...ฮึก...อะ...ไร...ฮึก...” ชายหนุ่มผมดำพยายามตอบแม้ว่าตอนนี้ลำคอจะตื้อตัน...หัวหอมมีผลกับเขามากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปสักร้อยเท่าได้ตอนนี้ชาร์ลส์จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากคนที่กำลังร้องไห้แบบเต็มขั้นเลยสักนิด
เสียงดังลั่นของอีริคเรียกให้เด็กๆวิ่งตุ้บตั้บเข้ามาในครัว...ทุกคนนิ่งอึ้งไปกับภาพที่เห็นตรงหน้า มันช่างดูแสนจะลงล็อคกับความคิดที่ว่าอีริคว้ากใส่จนชาร์ลส์ร้องไห้เสียเหลือเกินแฮงค์ที่มีสติรีบวิ่งไปปิดแก๊สเมื่อเห็นว่าหม้อต้มเส้นเดือดคลั่กจนแทบล้นออกมาอเล็กซ์ที่ได้สติตามมาถามเสียงหวาดๆ
“เอ่อ...แด็ดครับชาร์ลส์เป็นอะไรเหรอ?”
อีริคหันมาตีหน้ายักษ์ใส่ราวกับจะอ่านใจเด็กๆได้ว่าทุกคนเดาเรื่องอย่างไรอยู่ เสียงทุ้มพูดกร้าวๆ“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่ได้ทำหมอนี่ร้องไห้น่ะ”
“จริงเหรอฮะ?”ฌอนเผลอถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือสักนิด...ก่อนจะรีบตะครุบปากตัวเองแล้วแทรกตัวไปด้านหลังพี่และน้องชายทันทีเพื่อหลบสายตาอำมหิตจากคุณพ่อของบ้านเสียงครางอ่อยๆ แว่วมาให้ได้ยิน
“ฉะฉัน...ฮึก...ไม่...เป็นไร..ฮึก...” ชาร์ลส์พยายามพูดแต่น้ำตาที่ยังไหลไม่ขาดสายก็บอกชัดว่าคำพูดของเจ้าตัวเชื่อไม่ได้สักนิด“ดะ...ฮึก...เดี๋ยวก็...หาย...”
ในขณะที่ทั้งห้องเงียบงันเพราะไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอะไร...ร่างเล็กของเด็กหญิงคนเดียวของบ้านก็เดินเตาะแตะมาถึงประตูไม่มีใครสังเกตเห็นเธอจนกระทั่งเมื่อเสียงเล็กๆ ถามแจ้วๆ ขึ้นมา
“มี๊ชาร์ลส์...เป็นอะไรคะ?”เด็กหญิงเอียงคอมอง...ก่อนจะเริ่มต้นทำหน้าบึ้ง“เรเวนฟัง...แด็ดเสียงดัง...แด็ดแกล้งมี๊ชาร์ลส์เหรอคะ?”
ประโยคสุดท้ายถูกกล่าวพร้อมกับที่เด็กหญิงมองหน้าอีริคไปด้วย...หนุ่มน้อยทั้งสามกลืนน้ำลายเอื๊อกพร้อมกันเตรียมตัวคว้าน้องสาวให้พ้นมือร่างสูงที่ยืนทำหน้าทะมึนอยู่ เพียงแต่เรเวนเริ่มเปลี่ยนจากหน้าบึ้งเป็นเบะปากแทน
“มี๊ชาร์ลส์ร้องไห้...เรเวนไม่ชอบ...”น้ำตาเริ่มเอ่อในดวงตากลมโตสีเทาเข้มเป็นสัญญาณว่าสาวน้อยเตรียมจะร้องตามหม่ามี๊ในวินาทีอันใกล้นี้แล้วเสียงเล็กๆ พูดกระท่อนกระแท่น “แด็ด...แกล้งมี๊...แกล้งมี๊ชาร์ลส์...ทำไม...?”
“ไม่ใช่...นะครับ...ฮึก...” ชาร์ลส์รีบเอ่ยแก้ความเข้าใจแฮงค์ช่วยอีกแรงด้วยคุ้นเคยกับเวลาที่สาวน้อยงอแงแบบนี้ดี
“โอ๋ๆเรเวน” พี่ชายคนโปรดรีบก้าวมาโอบน้อง “แด็ดไม่ได้แกล้งชาร์ลส์โอเคมั้ย...อย่าร้องไห้นะ”
สาวน้อยยังทำหน้ามู่ทู่แต่ก็ยอมกอดพี่ชายโดยดี...ร่างเล็กสูดหายใจฟึดฟัดยังไม่วายบ่นให้ได้ยิน “แด็ดไม่แกล้ง...แต่แด็ดก็ไม่สนใจ...ปล่อยมี๊ชาร์ลส์ร้องไห้...ใจร้าย”
คำว่าแจ้วๆของสาวน้อยทำให้เด็กชายทั้งสามนึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้...เพราะทุกคนรู้สึกเหมือนโดนรังสีอำมหิตของอีริคบีบคอจนจะตายอยู่แล้วและต่างก็สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มๆ นั้นพูดออกมา
“ฉันไม่ได้ทำหมอนี่ร้องไห้...”คนฟังทุกคนแอบโล่งใจเล็กน้อยที่น้ำเสียงไม่ได้มีอะไรมากกว่าความหงุดหงิดใจเล็กๆเจืออยู่เท่านั้น “แล้วฉันก็ไม่ได้ไม่สนใจด้วย...เห็นมั้ย?”
ชาร์ลส์ที่กำลังปาดน้ำตาอยู่อุทานออกมาสั้นๆเมื่อพบว่าหลังจากที่อีริคพูดจบ...เจ้าตัวก็ดึงร่างเขาเข้าไปกอดแบบไม่ได้บอกกล่าว ท่อนแขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวของเขา...ส่วนอีกข้างก็พาดทับแผ่นหลังเพื่อโน้มให้ท้ายทอยของเขาซบลงกับร่างของเจ้าตัว...ส่วนสูงที่แตกต่างทำให้แก้มของเขาแนบกับแผงอกของอีกฝ่ายความอบอุ่นและสัมผัสใกล้ชิดทำให้ชาร์ลส์คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะตัดสินไม่ได้ว่าอะไรดังก้องในความรู้สึกมากกว่ากัน...เสียงหัวใจของคนตรงหน้าหรือตัวเขาเอง
ชาร์ลส์ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปมากหรือน้อยเพราะสมองดูจะไม่รับรู้อะไรอย่างอื่นนอกจากสัมผัสของอ้อมกอด...ขยับตัวยุกยิกเพื่อจะปาดน้ำตาแต่ก็พบว่ามันแห้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่เสียแล้วก็ไม่รู้เขาจึงได้แต่ขยับมืออย่างเงอะงะ...ก่อนจะตัดสินใจวางมันบนแผงอกแข็งแรงของอีกฝ่ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเสียงนุ่มพูดแผ่วเบา...พยายามกดความเขินอายให้ไม่เป็นที่สังเกตได้
“เอ่อ...ฉันโอเคแล้วล่ะ...ปล่อยได้แล้ว”
อีริคส่งเสียงตอบรับสั้นๆตามนิสัย แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ...แปลกชนิดที่ว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อว่าตนจะรู้สึกแบบนี้...เพราะเขากำลังรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยชาร์ลส์ออกจากอ้อมแขนของตน...อยากจะรั้งให้อ้อมกอดนี้ยาวนานขึ้นอีกสักนิด
“อีริค...?”
“อืม...ได้สิ”เขายอมผละตัวออก ก่อนจะหันมามองเด็กๆ ที่ยืนเงียบกริบกันอยู่“ชาร์ลส์ไม่ร้องไห้แล้ว...พอใจรึยัง?”
สามหนุ่มพยักหน้ายิกๆโดยไม่ปล่อยให้น้องสาวพูดอะไรอีกก่อนที่จะรีบสลายตัวออกนอกห้องครัวไป...จนกระทั่งมาถึงห้องนั่งเล่นนั่นเองที่ทุกคนกล้าถอนหายใจเฮือกออกมาดังๆ
“แด็ด...”อเล็กซ์พูดอย่างขยาด “โคตรโหด...”
“ฉันนึกว่าพวกเราจะไม่รอดซะแล้ว...”แฮงค์ยังหน้าซีดไม่หาย กอดน้องสาวไว้แน่น
“ตอนแรกฉันโคตรกลัวเลยอ่ะ”ฌอนทำตัวสั่น แต่แล้วก็ยิ้มตาลอยๆ “แต่ตอนหลังนี่แบบ...โคตรคุ้มอ้ะ~!”
“พี่แฮงค์...พี่แฮงค์”สาวน้อยเขย่าแขนพี่ชายแล้วถามเสียงกังวล “แด็ดจะไม่ชอบเรเวนมั้ย?เรเวนว่าแด็ด...เรเวนไม่ดี แด็ดจะยังชอบเรเวนมั้ย?”
“เอ่อ...”หนุ่มแว่นพยายามเรียบเรียงคำ “แด็ดไม่โกรธมากหรอกแต่วันหลังเรเวนพูดแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ...แด็ดเป็นแด็ด เรเวนจะโมโหแด็ดแค่ไหนก็ยังต้องเคารพต้องพูดดีๆ...โอเคมั้ย?”
“เรเวนไม่ได้โมโหเท่าไหร่หรอก”สาวน้อยพูดหน้าตาเฉย ทำให้พี่ๆ ทั้งสามเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“แต่เรเวนจะร้องไห้นี่”อเล็กซ์แย้ง
“ก็เรเวนอยากให้มี๊ชาร์ลส์อยู่กับเรเวนตลอดไปนี่นา”เด็กหญิงเอียงคอนิดๆ“เรเวนเลยต้องทำให้แด็ดชอบมี๊ชาร์ลส์บ้าง...แด็ดจะได้ให้มี๊ชาร์ลส์อยู่ด้วยตลอดไป”
“โอยยยยยย~ สุดยอดมากน้องสาวที่รักของพี่~” ฌอนอุ้มร่างเล็กขึ้นมากอดสาวน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจเมื่อตนโดนยกขึ้นๆ ลงๆ
“ไอ้เด็กบ้า...”อเล็กซ์บ่นเบาๆ เมื่อเห็นฌอนเริ่มต้นพูดคุยภาษาแฟนบอยใส่น้องเล็กแฮงค์ที่นั่งมองอยู่ด้วยก็พยักหน้าเห็นด้วย...ตระหนักเป็นรอบที่ล้านได้ว่าเด็กชายผมแดงเป็นพี่ของตนได้แค่เพราะวันเกิดไม่ใช่ระดับความคิด
“แต่ตอนนี้...ฉันเริ่มคิดจริงๆแล้วล่ะ” อเล็กซ์พูดต่อ “...ว่าพวกเราอาจไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรแด็ดกับชาร์ลส์เลยก็ได้”
แฮงค์ยังคงเงียบ...แต่ก็ไม่ลังเลในการจะพยักหน้าแทนคำตอบให้พี่ชาย
*****
อาหารเย็นผ่านไปอย่างราบรื่น เด็กๆ ชอบสปาเกตตี้และทานกันจนเกลี้ยง...และเมื่อชาร์ลส์จัดการเก็บกวาดทุกอย่างแล้วล้างจานจนเสร็จเขาก็เดินขึ้นชั้นสองเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำนอน
หลังจากที่เขาออกจากห้องน้ำ...ชายหนุ่มผมดำก็แวะไปที่ห้องเด็กๆเพื่อดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เมื่อเปิดเข้าไปแล้วเห็นว่าไฟในห้องมืดสนิท...เขาก็ปิดประตูเสียงเบาให้ไม่รบกวนบรรดาคนในห้องแล้วออกเดินกลับไปที่ห้องของตน
ก่อนจะถึงห้องเขา...ชาร์ลส์จะต้องผ่านหน้าห้องอีริคไปเสียก่อนเขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆเจ้าของห้องก็เดินออกมา...แต่ท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูแปลกใจที่เห็นเขาเหมือนกันก็บอกชาร์ลส์ว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ต้องการรอเจอเขาเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ชายหนุ่มผมดำพยายามห้ามภาพความทรงจำถึงอ้อมแขนของคนตรงหน้าไม่ให้มันผุดขึ้นมาในหัว...แต่ไม่มีประโยชน์เขาจึงได้แต่พยายามสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อคุมสติแล้วบังคับเสียงให้เป็นปกติ
“อ้าวอีริค...ฉันนึกว่านายนอนไปแล้วซะอีก”
“กะจะลงไปหาหนังสือหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มผมน้ำตาลยกหนังสือในมือให้ดู “ฉันอ่านเล่มนี้จบแล้ว”
“อืม...”ชาร์ลส์พยักหน้าความเงียบที่ตามมาชวนให้กระอักกระอ่วน...เขาจึงนึกขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาแม้ว่าหัวข้อสนทนาจะอันตรายต่อการตีหน้านิ่งเฉยเสียเหลือเกินก็ตาม
“วันนี้...ฉันตัดสินใจเอาเอง”อีริคพูด...ไม่ได้ระบุชี้ชัด แต่เขาก็รู้ดีว่าหมายถึงอะไร“นายคงไม่ชอบ...โทษทีละกัน”
“มะไม่เป็นไรหรอก...ฉันไม่ได้ไม่ชอบ...” ชาร์ลส์ตอบ ก่อนจะรีบพูดเสริมเร็วปรื๋อ“แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันชอบนะ...คือฉันโอเคกับนาย...แต่ไม่ใช่โอเคม๊ากมากอะไรแบบนั้นนะ...ฉันแค่...ฉันแค่...”
นัยน์ตาสีเทาพริบพราวเพราะคนฟังพยายามกลั้นยิ้มและชาร์ลส์ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนดูตลกแค่ไหน...เขาจึงหยุดประโยคสับสนที่กำลังพูดอยู่เสีย
“โอเค...โอเค...ฉันเข้าใจน่า”อีริคพูดช่วย “แค่กลัวนายโมโหเท่านั้นเอง”
ชาร์ลส์พึมพำคำพูดว่าเขาไม่ได้โมโหตอบไปก่อนจะเอ่ยเสริม “ฉันเองก็ผิดแหละ...ลืมบอกนายไปว่าต้องล้างหัวหอมเลยวุ่นวายใหญ่เลย”
“เอาน่า...เรื่องมันจบไปแล้วจะมานั่งขอโทษกันทำไมเนี่ย” อีริคยักไหล่ “แค่วันหลัง...ถ้าจะใช้หัวหอมทำอาหารก็เรียกฉันละกัน”
“นายจะทำให้เหรอ?”ชาร์ลส์ถามอย่างไม่อยากเชื่อหู
“เปล่า”ร่างสูงยักไหล่ “นายจะได้มีคนให้ซบถ้าร้องไห้ไง”
ความตั้งใจในการข่มความเขินของชาร์ลส์ก็พังเป็นชิ้นๆกับประโยคนี้...อีริคมองหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา ร่างสูงเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อลงบันไดไปชั้นล่างเสียงทุ้มพูดตามไล่หลัง
“ราตรีสวัสดิ์นะ”
ชาร์ลส์รู้สึกอยากจะชกหน้าหล่อๆนั้นเป็นรอบที่ร้อยล้านของวันเห็นจะได้...อีริคเลนเชอร์ดูจะสนุกสนานเหลือเกินในการแกล้งเขาให้หัวปั่น
เพียงแต่ครั้งนี้...ที่ปั่นป่วนมันไม่ใช่แค่หัวเขาน่ะสิ
ชาร์ลส์รีบเปิดประตูห้องแล้วฝังหน้าลงในหมอนทันทีที่ถึงเตียงหวังให้ตนไม่ได้รู้สึกพิลึกๆ อย่างที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้...โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่กำลังหาหนังสือเล่มใหม่อยู่ที่ชั้นล่างก็กำลังหวังอย่างเดียวกัน
ให้ตายเถอะ...ทำไมต้องหวั่นไหวกับเรื่องแค่นี้กันด้วยนะ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in