เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Where Our Hearts BelongTippuri~ii*
Chapter 4
  • Chapter 4

     

                    หลังจากกริยาตอบรับกับเด็กๆ ที่ชวนให้มีหวังในตอนนั้นชาร์ลส์ก็คิดว่าอีริคคงจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการหายหน้าหายตาไปทั้งอาทิตย์เสียบ้างแต่ก็ได้พบว่าตัวเองคิดผิดไปอย่างจังเมื่อลืมตาตื่นตอนเช้าวันจันทร์...ชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่ได้อยู่ในบ้านแล้วมีเพียงกระเป๋าสตางค์รูปปลาฉลามใบเดิมวางทิ้งไว้ให้บนโต๊ะอาหารสภาพที่กลับมากลมปุ๊กเหมือนเดิมของมันบอกให้รู้ว่าคุณเจ้าบ้านคงใส่เงินรอบใหม่ไว้ให้แล้ว

                    ชาร์ลส์ได้แต่มองกระเป๋าสตางค์นิ่งๆ...อยากจะร้องโวยวายระบายความอัดอั้นตันใจออกมาอีริคดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเงินไม่สามารถดูแลเด็กๆ ได้ทุกด้านเขาจำหน้าตาตื่นเต้นดีใจของทุกคนตอนที่เห็นว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลอยู่ในบ้านและสนทนากับพวกตนได้ดี...เด็กพวกนี้ต้องการใครสักคนไม่ใช่แค่อาหารหรือเงิน

                    เทียบกับเขาแล้ว...เด็กๆดูจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่าเยอะ ไม่มีใครมีท่าทางแปลกใจหรือโอดครวญใดๆ...แต่แววตาหมองๆก็เป็นสิ่งที่ปิดซ่อนไม่มิดชาร์ลส์เข้าใจดีว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร...มันคงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้เห็นว่าต้นไม้ที่เฝ้าถนอมมาตลอดจู่ๆก็กำลังจะผลิดอกแต่หลังจากที่ดีอกดีใจและคาดหวัง...ดอกตูมกลับเหี่ยวเฉาไปในเวลาข้ามคืน

                    เหล่าเด็กชายไม่ได้พูดอะไรออกมาและไปโรงเรียนกันตามปกติแต่ไม่ใช่สาวน้อยคนเดียวของบ้าน...เธอถามขึ้นมาระหว่างที่ชาร์ลส์จัดเสื้อโค้ทที่เธอสวมอยู่ให้เรียบร้อย

                    “ทำไมแด็ดหายอีกคะ?”

                     ชาร์ลส์นิ่งไปกับประโยคง่ายๆที่ได้ฟัง...ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอย่างไร หนูน้อยไม่ละความพยายาม มือเล็กๆดึงแขนเสื้อชายหนุ่มพลางถามต่อ

                    “แด็ดหายเพราะแด็ดไม่ชอบพวกเรเวนเหรอคะ?”

                    ถึงเด็กหญิงจะไม่ได้ร้องไห้หรือถามเพื่อตัดพ้อใดๆ...แต่คำถามซื่อๆนี้กลับกระแทกใจคนฟังได้มากกว่าน้ำตาเสียอีกชาร์ลส์ฝืนยิ้มก่อนจะหยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เปลี่ยนประเด็นบทสนทนาไปเสียด้วยการถามว่าสาวน้อยอยากจะเดินเองหรือให้เขาอุ้มตอนไปส่ง

                    แน่นอนว่าเหยื่อล่อของเขาได้ผลแต่ชาร์ลส์ก็ไม่สามารถสลัดความหนักอึ้งในใจไปได้...แม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของเขาและหน้าที่ที่เขาต้องทำในบ้านนี้ก็แค่ดูแลเด็กๆเท่านั้น แต่เขาก็อยากจะทำให้ทุกคนมีความสุขอย่างที่เด็กทั่วจะพึงมี

                แต่ปัญหาคือจะเริ่มต้นได้ยังไงนี่สิ...

                ไม่ว่าจะเป็นความเฉยเมยหรือการหายตัวไปดื้อๆ...ท่าทางของอีริคบอกชัดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเด็กทุกคนมากไปกว่าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างหนึ่งเท่านั้นต้องขอบคุณพระเจ้าเสียด้วยซ้ำที่อย่างน้อยชายหนุ่มก็ยังทิ้งเงินไว้ให้เด็กๆ บ้าง

                แล้วถ้าไม่ได้อยากจะดูแล...อีริคยอมรับเด็กๆมาเลี้ยงตั้งแต่แรกทำไม?

                    คำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดผุดขึ้นมาอีกครั้ง...แต่ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาถามไม่ได้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา...ตระหนักเป็นครั้งที่ล้านเห็นจะได้ว่าตนยังไม่หลุดพ้นจากปริศนาของครอบครัวพิลึกนี่เลยสักนิด

     

    *****

     

                    หลังจากที่ส่งเรเวนที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว...ชาร์ลส์ก็ตัดสินใจเดินไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เกต

                    ร่างเพรียวทอดน่องไปตามฟุตพาธอย่างไม่เร่งรีบเพราะในหัวกำลังอัดแน่นด้วยความคิด...ปัญหาเรื่องเด็กๆยังไม่จบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาเรื่องตัวเขาเองจะไม่มี...ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นงานแต่ชาร์ลส์ก็รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้สิ่งที่เขาร่ำเรียนมาเป็นอะไรที่ต้องหมั่นใช้และฝึกฝนบ่อยๆ...ถึงเขาจะได้ซ้อมเล่นเปียโนอัพไรท์ในบ้านทุกวันแต่นั่นก็เทียบได้กับไม่ได้ทำอะไรเลยในวงการที่มีแต่การแข่งขันฝีมือและต้องใช้เวลาสร้างชื่อเสียงอย่างวงการดนตรีแต่ครั้นจะให้ทิ้งเด็กๆไปทั้งที่ทุกอย่างในครอบครัวยังเป็นแบบนี้...ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ถึงเวลาจะเพิ่งผ่านไปได้แค่ไม่กี่สัปดาห์และเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กพวกนี้เลย...แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกผูกพันกับทุกคนไปเสียแล้ว

                ให้ตายเถอะชาร์ลส์เซเวียร์...นายนี่มันงี่เง่าจริงๆ

                ชายหนุ่มผมดำนึกอยากเขกหัวตัวเองที่เป็นแบบนี้...แต่ก็รู้ว่าอันที่จริงนั้นปัญหาแก้ไม่ตกเป็นงูกินหางที่สุมอยู่นี้จะหายไปสักครึ่งหนึ่งได้เลยทีเดียวถ้าเพียงอีริคจะยอมทำตัวให้สมกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อสักหน่อยหากรูปการณ์ก็บอกอยู่ชัดๆว่าไม่มีทาง...และชาร์ลส์ก็วนกลับมาที่ข้อสงสัยเดิมว่าเพราะอะไรอีริคจึงรับเด็กๆมาเลี้ยง และก็ตามมาด้วยเสียงเตือนตัวเองว่านี่เป็นคำถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวเกินไป

                    ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าพลางเตะก้อนกรวดริมทางเขามีคำถามมากมายที่ถามออกไปไม่ได้ และตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงจะให้อีริคตอบคำถามเลย...แค่จะให้เจ้าตัวอยู่กับบ้านก็ดูจะเป็นเรื่องเกินกำลังเสียแล้ว

                จริงสิ...

                    ชาร์ลส์หยุดชะงักคว้ามือถือขึ้นมากดตลอดสัปดาห์ที่ไม่มีเบอร์ติดต่ออีกฝ่ายทำให้เขาลืมวิธีนี้ไปเสียสนิท...แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วนิ้วเรียวกดไล่รายชื่อในหน้าจออิเลคทรอนิกส์ก่อนจะกดโทรออกเงี่ยหูฟังเสียงต่อสาย...แต่ก็มีเสียงเรียกเข้าแผดแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียอย่างนั้น

                    ชายหนุ่มผมดำหันตามอย่างแปลกใจ...พบว่าตัวเองหยุดเพื่อโทรศัพท์หน้าคาเฟ่เล็กๆริมทางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับความบังเอิญที่แสนจะไม่น่าเชื่อนี้ดีเมื่อเห็นว่าคนที่ตนโทรหานั่งอยู่ตรงโต๊ะในส่วนสนามด้านนอกของร้านนั่นเอง

                    อีริคขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาต้องวางมือจากแก้วกาแฟมาเพื่อจะรับโทรศัพท์แต่สายกลับตัดไปในเสี้ยววินาทีก่อนที่นิ้วเขาจะแตะตัวเครื่องชายหนุ่มผมน้ำตาลขยับจะหยิบแก้วเซรามิกอีกครั้ง...แต่ก็โดนหยุดไว้อีกครั้งด้วยเสียงคุ้นหู

                    “อีริค...นาย...นายมาทำอะไรตรงนี้?”

                    นัยน์ตาสีน้ำเงินสวยที่เจือแววสับสนปนโมโหจางๆบอกให้คนมองรู้ชัดว่าท่าทางตนจะไม่ได้มีเวลาให้กับอเมริกาโน่แก้วนี้ตามลำพังแล้วเป็นแน่แท้

     

    *****

     

                    ชาร์ลส์รู้สึกว่าตัวเองจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

                    เขาจ้องคนที่หายตัวไปจากบ้านตั้งแต่เช้าแบบตาไม่กระพริบ...ข้อสงสัยมากมายรัวเป็นชุดอยู่ในหัวอีริค เลนเชอร์ช่างมีพรสวรรค์ในการทำเขาหัวหมุนได้เสมอแม้กระทั่งตอนเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ

                    “กินอะไรไหม?”

                    คำถามง่ายๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนนี้ยิ่งทำให้ชาร์ลส์อยากจะบ้าตายมากกว่าเก่า...นึกอยากรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรือพูดออกมาได้มากกว่าคำถามนี้จริงๆหรือ แต่ก็ส่ายศีรษะตอบไป

                    “ไม่ล่ะ...ไม่เป็นไร”

                    อีริคดูจะไม่ฟังเสียงทุ้มสั่งไปทางเคาท์เตอร์ “ช็อคโกแล็ตพายสองชิ้นนะ”

                    ชาร์ลส์ไม่ได้เถียงอะไรยืดเยื้อว่าเขาไม่หิวจริงๆเพราะมีอย่างอื่นที่เขาอยากพูดมากกว่า “เมื่อเช้าทำไมอยู่ๆ นายก็หายไปอีกแล้ว?แล้วนี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอ? นายมาทำอะไรตรงนี้?”

                    “เฮ้...ใจเย็นน่า”อีริคจิบกาแฟหน้าตาเฉย “ทีละคำถามนะ...ฉันออกจากบ้านตั้งแต่เช้าแบบนี้อยู่แล้วแต่วันนี้ฉันไม่ต้องไปทำงาน...นั่นตอบสองข้อหลังรวดเดียว โอเครึยัง?”

                    “ไม่...มันไม่โอเคเลย”ชาร์ลส์รู้สึกว่าเขากำลังอยากจะล้มโต๊ะให้เจ้าคนไม่มีความรับผิดชอบตรงหน้าสำนึกอะไรขึ้นมาได้บ้างมากขึ้นทุกวินาที“นายต้องเลิก...ให้ตายเถอะ...นายช่วยเลิกหายตัวไปจากบ้านทั้งสัปดาห์อย่างนี้สักทีจะได้มั้ย?อย่างวันนี้น่ะ...ถ้านายไม่มีงาน ทำไมจะอยู่บ้านไม่ได้?”

                    นัยน์ตาสีเทาเสหลบเขาเสียงทุ้มกล่าวอย่างไม่เดือดไม่ร้อน

                    “ก็ฉันไม่อยากอยู่นี่”

                    ชาร์ลส์นิ่งมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ...เริ่มคิดขึ้นมารำไรว่าท่าทางอเล็กซ์คงไม่ใช่เด็กคนโตของบ้านเป็นแน่แท้เขาพยายามรีดความอดทนของตนออกมาก่อนจะพูดเสียงนุ่มแบบที่ได้ผลเวลาเกลี้ยกล่อมเด็กดื้อ

                    “โอเค...ฉันคิดมาตลอดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรถามแต่ถ้านายจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ...ฉันก็คิดว่าฉันมีสิทธิ์จะรู้”นัยน์ตาสีแซฟไฟร์จ้องตรง “นายอยากรับเด็กพวกนี้มาเลี้ยงจริงๆหรือเปล่าน่ะ...อีริค?”

                    อีริคถอนหายใจออกมาเสียงทุ้มพูดค่อยๆ แต่หนักหน่วง “เรื่องมัน...พูดยากน่ะ”

                    ชาร์ลส์เอนตัวเข้าไปใกล้รู้ชัดว่าตนพังกำแพงที่กั้นระหว่างพวกเขาสองคนไปได้แล้ว เสียงนุ่มพูดอ่อนโยน “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ช่วยบอกฉันได้ไหม?”

                    นัยน์ตาสีเทายอมหันกลับมาสบกันตรงๆ...และคราวนี้กลับเป็นชาร์ลส์เสียเองที่รู้สึกอยากจะเบือนสายตาหนีดวงตาคมกริบชวนใจละลายตรงหน้า

                    “ฉันไม่ได้ชอบหรืออยากจะเลี้ยงเด็กอะไรหรอก”อีริคเริ่มต้น “คนที่เป็นผู้ปกครองของเด็กพวกนี้จริงๆ คือแม่ของฉันต่างหาก แล้วก็ไม่ได้รับมาเลี้ยงที่บ้านด้วย...นายคงเคยได้ยินมาบ้างสินะพวกที่รับเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายเท่านั้นน่ะ”

                    ชาร์ลส์พยักหน้ารอให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ

                    “แต่มันก็มีเรื่องนิดหน่อย...ฉันเลยต้องรับเด็กพวกนี้มาเลี้ยงน่ะ”เสียงทุ้มพูดต่อแค่สั้นๆ แล้วเจ้าตัวก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบทำให้คนฟังอยู่หลุดถามออกไปอย่างลืมตัว

                    “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

                    “แม่ฉันน่ะ...ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อนตอนนั้นแหละที่ฉันรับเด็กพวกนี้เข้ามา” อีริคพูดเสียงเรียบ...แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกดีขึ้นเพิ่งตระหนักได้ว่าตนถามคำถามที่ไม่คิดถึงจิตใจอีกฝ่ายออกไป

                    “ฉัน...ฉันเสียใจด้วยนะ”ชายหนุ่มผมดำพูดเสียงขอโทษแผ่วเบา “โทษที...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ...”

                    “ไม่เอาน่า...ฉันโอเคดี”อีริคยักไหล่ “แม่ฉันจากไปแบบสงบ ฉันดีใจที่ไม่ต้องเห็นท่านเจ็บป่วยอะไร...มันไม่เป็นไรจริงๆ”

                    ชาร์ลส์ชั่งใจอยู่สักพัก...ก่อนจะเอ่ยถามเสียงระมัดระวัง“แต่ถึงอย่างนั้น...นายก็ไม่เห็นต้องรับเด็กๆ มาอยู่ที่บ้านเลยนี่ ก็ให้ระบบมันเป็นเหมือนเดิมต่อไปไม่ได้เหรอ”

                    “ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ”ชายหนุ่มผมน้ำตาลยอมรับ “แต่ทางคนดูแลเขาบอกมาว่าถ้าทำอย่างนั้น...บางทีเขาอาจจะมีการส่งให้เด็กๆแยกไปอยู่กันคนละที่ เพราะยังไงๆเด็กพวกนี้ก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปจนโตไม่ได้อยู่แล้ว”

                    คนฟังนิ่งไปสักพักก่อนรอยยิ้มบางเบาจะจุดที่มุมปาก “นายเลยไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นสินะ?”

                    ร่างสูงยักไหล่หน้านิ่ง“ฉันแค่คิดว่า...ถ้าฉันมีพี่หรือน้องก็คงไม่อยากโดนจับแยกไปอยู่คนละที่เหมือนกัน...ก็แค่นั้นแหละ”

                    ว่าจบ...คนตรงหน้าก็หันกลับไปสนใจกาแฟของตนเหมือนเดิมชาร์ลส์เองก็ได้แต่นิ่งไป...พูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่ได้ฟัง เขาคิดเอามาตลอดว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนประเภทไม่ค่อยใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทำนองนี้และเฉยเมยกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตตน...แต่วินาทีนี้ชาร์ลส์ก็ได้ค้นพบว่าตนมองอีกฝ่ายผิดไปและสิ่งที่ได้รับรู้ก็ทำให้ความรู้สึกประทับใจแบบแปลกๆ วาบลงในใจ

                    “อืม...เข้าใจละ...”ชายหนุ่มผมดำพยักหน้าช้าๆ...พยายามทำเสียงให้ดูไม่ปลื้มมากเพราะเขายังไม่หมดเรื่องจะซัก“แล้วทำไมนายไม่ยอมอยู่ติดบ้านล่ะ...นายต้องเป็นคนดูแลเด็กๆ นะ”

                    อีริคทำหน้างุ่นง่านใจก่อนจะพูดเสียงแบบปกป้องตัวเอง“ฉันก็ไม่ได้ทิ้งขว้างอะไรพวกเขาซะหน่อย...แล้วฉันก็เจอนายแล้วด้วยนี่”

                    ชาร์ลส์รู้สึกว่าลมหายใจสะดุดหัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งเพราะคำพูดที่ได้ฟังก่อนจะรีบต่อบทสนทนาเพื่อไม่ให้เวลากับอีกฝ่ายในการสังเกตสีหน้าของเขา

                    “ตะแต่มันไม่เหมือนกันหรอกนะ...ถึงนายให้ของกับพวกเขามากเท่าไหร่หรือมีฉันคอยดูแลก็จริงแต่ยังไงๆ พวกเขาก็ให้นายอยู่ด้วยมากกว่า เด็กๆน่ะอยากคุยกับนาย...อยากจะได้รู้ว่านายไม่ได้ไม่สนใจ...”

                    เสียงนุ่มหยุดลงกลางคันเพราะสิ่งที่อยากพูดมีมากจนเรียบเรียงไม่ทัน...แต่ก็ไม่ได้เอ่ยต่อเพราะเห็นจากสีหน้าของอีกฝ่ายว่าเจ้าตัวเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

                    “ให้ตายสิ...”อีริคส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “...ก็จะให้ฉันทำไงล่ะฉันไม่รู้จะต้องเริ่มยังไง...แล้วเด็กพวกนั้นก็ชอบเอาแต่จ้องด้วย จ้องแบบกลัวๆน่ะ...เป็นใครจะไม่หงุดหงิดล่ะ จ้องยังกับว่าฉันเป็นตัวอะไรน่ากลัวๆอย่างนั้นแหละ”

                    ชาร์ลส์ถอนหายใจอย่างนึกอยากจะบ้าตายเป็นรอบที่ร้อยของวันก่อนจะอธิบาย “ก็พวกเขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกันนั่นแหละ! ทีนายยังไม่ยอมเริ่มพูดเลย...แล้วเด็กๆ เขาจะกล้าเริ่มทำอะไรมั้ยล่ะแบบนั้น?ยิ่งนายทำหน้าเครียดๆ ตลอดเวลา...ใครจะไปกล้าคุยด้วย”

                    อีริคมองคนที่พยายามอธิบายอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นแล้วก็หัวเราะหึออกมาสายตาคมๆ และรอยยิ้มบนวงหน้าหล่อเหลาทำให้จังหวะหัวใจของชาร์ลส์สะดุดอีกครั้งก่อนที่เขาจะถามเสียงหาเรื่องเพื่อปกปิดมัน

                    “อะอะไร? มีอะไรตลกหา?”

                    “เปล่า...เปล่า”อีริคยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ “แค่คิดถึงคืนแรกที่เราเจอกัน...หน้าฉันก็เป็นแบบนี้แต่นายยังมาคุยกับฉันได้เลย”

                    ชาร์ลส์กัดริมฝีปากอย่างเถียงไม่ออกความร้อนพุ่งวาบบนผิวแก้ม รู้ดีว่าเหตุผลคืออะไร

                ก็เพราะคืนนั้นแอลกอฮอล์ในเลือดฉันกับความหล่อบนหน้านายมันเยอะเกินไปน่ะสิ...อีริค เลนเชอร์

                    “ชะช่างเถอะ!” คนถูกปั่นหัวรีบเปลี่ยนประเด็น“เอาเป็นว่านายต้องเลิกทำแบบนี้...ถ้านายไม่มีงานก็อยู่บ้านซะบ้าง ไม่ใช่ถึงเอาแต่หลบออกมาเพราะไม่อยากอยู่กับเด็กๆ...ตกลงมั้ย?”

                    อีริคยักไหล่“จะพยายามละกัน”

                    ถึงคำตอบจะไม่น่าพอใจนัก...แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคำปฏิเสธชาร์ลส์จึงยอมพยักหน้ารับโดยดี ก่อนจะเอื้อมมือรับจานช็อคโกแล็ตพายที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟเอาเสียตอนนี้เขาก้มมองมัน...พายชิ้นสามเหลี่ยมดูน่ารับประทานด้วยเนื้อช็อคโกแล็ตที่อัดแน่นและขอบแป้งสีเหลืองทองเพิ่มความสวยงามด้วยวิปครีมที่มีสตรอเบอร์รีวางทับ

                    ชาร์ลส์กำลังจะเริ่มจัดการกับขนมน่ากินตรงหน้าเมื่อจู่ๆอีริคก็ถามขึ้นมา

                    “ตอนแรกน่ะ...นายโกรธใช่มั้ย?”

                    คนถูกถามชะงักมือคิดถึงวินาทีที่เขาเห็นอีริคอยู่ในร้านนี้ ก่อนจะยอมรับตรงๆ“ก็นิดหน่อยแหละ...อยู่ดีๆ นายก็หายไปซะแบบนั้น แล้วฉันก็โมโหด้วยที่นายทำเด็กๆเสียใจ”

                    คนตรงหน้าถอนหายใจอีกเฮือกก่อนที่ชาร์ลส์จะเห็นวิปครีมพร้อมสตรอเบอร์รีบนชิ้นพายของอีกฝ่ายโดนเจ้าของตักมาวางบนชิ้นพายในจานเขาเสียงทุ้มพูดฮึดฮัดแต่แผ่วค่อย

                    “ก็บอกว่าจะพยายามไงเล่า...โอเครึยัง?”

                    ว่าจบอีริคก็ลงมือทานขนมโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีกชาร์ลส์ใช้เวลาประมาณสี่วินาทีในการจะตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งได้รับสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำขอโทษมากที่สุดจากคนตรงหน้า

    ...และใช้เวลายาวนาน...ที่เขาเดาว่าคงจะเป็นตลอดทั้งชีวิต...ในการคิดว่านี่ต้องเป็นวิธีการง้อขอโทษที่น่ารักที่สุดในโลกเป็นแน่


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in