เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Where Our Hearts BelongTippuri~ii*
Chapter 3
  • Chapter 3

                   

     

     

    หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ชาร์ลส์ก็เริ่มค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับความพิลึกกึกกือของสถานการณ์ชีวิตได้ทีละนิด

                  

     

     

    เมื่อได้สำรวจถ้วนถี่ ชายหนุ่มก็สรุปได้ว่าที่อยู่อาศัยของเขาตอนนี้คือแฟลตขนาดเล็ก…แบ่งเป็นชั้นบนสามห้องและชั้นล่างสองห้อง สามห้องนั้นคือห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องที่เป็นห้องของเด็กๆ…อีกสองห้องที่มีขนาดเล็กกว่าก็คือห้องของอีริคและเขาตามลำดับ ชาร์ลส์สังเกตได้ว่าสองห้องหลังคงโดนเจ้าของแฟลตดัดแปลงเสียเองมากกว่า…เพราะมันไม่มีห้องน้ำในตัวเหมือนห้องของเด็กๆ  ส่วนสองห้องชั้นล่างก็คือห้องครัวที่เป็นห้องทานอาหารในตัวกับห้องรับแขก…แต่ก็ไม่ได้มีการหวงห้ามในการจะโดนเปลี่ยนเป็นห้องดูโทรทัศน์แต่อย่างใด และสิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่ได้เห็นก็คือเปียโนอัพไรท์ที่ตั้งอยู่ในห้องด้วย

                  

         

     

     

    เด็กๆ ดูตื่นเต้นและสนุกสนานในการโชว์นั่นนี่ในบ้านให้เขาดูพร้อมร่ายกฎการอยู่อาศัยให้เขาฟัง…ชาร์ลส์อมยิ้มและก็ยอมฟังเสียงเล็กๆ ทั้งหลายรุมกันแย่งพูดโดยดี แต่ก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นว่าสภาพเรียบร้อยของบ้านไม่ได้มาจากการดูแลเก็บกวาดแต่อย่างใด มันเหมือนกับว่าไม่มีใครแตะต้องก็เลยอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากกว่า…ฝุ่นบางๆ ที่จับอยู่ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาเป็นอย่างดี

                  

     

     

     

    เขายิ่งมั่นใจว่าผู้ใหญ่คนเดียวในบ้านคงไม่ได้มาดูแลอะไรเด็กๆ มากขึ้นเมื่อตอนที่สำรวจห้องครัวอย่างละเอียด บรรดาเครื่องครัววางเรียบร้อยในตู้นั้นปราศร่องรอยการหยิบมาใช้สอย อาหารในตู้เย็นก็มีแค่อาหารแช่แข็งนิดหน่อยพร้อมเบียร์กระป๋องที่ครอบครองชั้นวางหนึ่งชั้นเต็มๆ…ชาร์ลส์เห็นของสดผ่านตาแค่อย่างเดียวคือแกลลอนนมสด

                  

     

     

     

    “ก็แด็ดไม่เคยซื้ออะไรเข้ามานอกจากกระป๋องๆ พวกนั้นนี่ครับ” อเล็กซ์อธิบายเมื่อชายหนุ่มถาม “แล้วพวกเราก็ทำอาหารไม่เป็นด้วย”

                  

     

     

    “งั้น…” ชาร์ลส์รู้สึกเหนื่อยใจกับการดำรงชีวิตของครอบครัวนี้เป็นรอบที่ล้านเห็นจะได้ “งั้นพวกเธอกินอะไรกันล่ะ?”

                  

     

     

     

    “แด็ดก็กินมาจากข้างนอกตลอดแหละครับ ส่วนพวกเราก็สั่งพิซซ่าบ้าง…ไม่ก็อะไรทำนองนี้แหละครับ” เด็กชายผมทองยักไหล่ “แต่ส่วนใหญ่เราก็กินซีเรียลครับ”

                  

     

     

    สิ่งที่ได้ฟังทำให้ชาร์ลส์อยากจะเป็นลมตาย “แค่ซีเรียล?”

                  

     

    หนุ่มน้อยพยักหน้ายืนยันหงึกๆ…ชาร์ลส์พยายามรวมสติเพื่อคิด ก่อนจะถามว่าอีริคได้ทิ้งเงินไว้ให้เด็กๆ บ้างไหม…และเมื่อได้รับกระเป๋าสตางค์รูปปลาฉลามตัวกลมปุ๊กที่บรรจุธนบัตรจำนวนหนึ่งไว้ในมือ ชายหนุ่มก็ตรงดิ่งไปซุปเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้อของสดเข้าบ้านมาทันที

               

     

     

     

    ให้ตายเถอะ…ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้เจอกับอีริคที่บาร์…เด็กพวกนี้ก็คงได้กินแต่ซีเรียลไปจนโตเลยใช่ไหม?

                  

     

     

    กริยาตอบรับตอนเห็นอาหารเย็นวันนั้นของเด็กๆ ไม่ผิดพลาดจากที่เขาคำนวณไว้นัก…ตาโตพร้อมแย่งกันตักอาหาร แต่ก็ไม่ลืมที่จะตักทุกอย่างใส่จานให้เขาก่อน ชาร์ลส์ยิ้มขอบคุณ…นึกขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยอีริคก็คงยังพอมีเวลาจะสอนมารยาทน่ารักๆ แบบนี้ให้เด็กๆ

                  

     

     

    “เฮ้อ~ ผมดีใจจังที่แด็ดเจอคุณ ช่วยแต่งงานกับแด็ดทีเถอะฮะ…ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย” ฌอนพูดอย่างมีความสุขพร้อมตักมันบด…หนุ่มน้อยเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับอีริค แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนพอกันว่าตนต้องการให้ความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้น…รอยยิ้มอบอุ่นของชาร์ลส์จึงลดลงมาเป็นรอยยิ้มจืดชืดแทน

               

     

     

    ความคิดของเด็กวัยกำลังต้องการอาหารนี่มันน่ากลัวจริงๆ

               

     

     

     

    “หย่อย…หย่อย…” เสียงฮึมฮัมจากหนูน้อยคนเล็กของบ้านเรียกให้เขาหันไป…เธอยิ้มหวานให้เขาเมื่อสบตากัน “มี๊เก่ง…เรเวนชอบ…แด็ดน่ะชอบหายเรื่อย…”

                  

     

     

    ชาร์ลส์พยักหน้ารับพลางหยิบทิชชู่มาเช็ดมุมปากให้หนูน้อย…เขาเข้าใจคำพูดของเธอแม้ว่ามันจะไม่เป็นประโยค ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา…ไม่มีร่องรอยของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กๆ โผล่มาแม้แต่เงา และทุกคนก็บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องปกติ…ถ้าไม่ออกไปตอนเช้าตรู่แล้วกลับมาบ้านตอนดึกดื่น อีริคก็จะหายไปทั้งอาทิตย์เสียดื้อๆ แบบนี้เสมอ

                  

     

     

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ” แฮงค์พูดให้ความมั่นใจกับเขา “เดี๋ยวแด็ดก็กลับมาช่วงสุดสัปดาห์เองแหละฮะ”

                  

     

     

    ประโยคนี้เองที่ทำให้ชาร์ลส์ตั้งตารอให้เวลาที่ว่ามาถึงไวๆ…เขามีเรื่องอยากจะพูดกับคุณเจ้าบ้านเยอะแยะเลยทีเดียว

     

     

     

     


    *****

     

                  

     

    เวลาล่วงเลยไปจนถึงคืนวันเสาร์…อีริคก็ยังคงไม่กลับมาที่บ้าน

                  

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์จัดการให้เด็กๆ ทานมื้อเย็นและทำการบ้านให้เรียบร้อยก่อนดูการ์ตูน เขายอมเลื่อนเวลานอนให้ดึกขึ้นตามเวลาจบของรายการเพราะเห็นว่าเป็นวันหยุด และสี่ทุ่มครึ่ง…ชายหนุ่มก็ต้อนให้เด็กๆ ขึ้นนอน

                  

     

     

     

     

     

     

    “ราตรีสวัสดิ์นะฮะ”

                  

     

     

     

     

     

    “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

                  

     

     

     

     

     

    “ราตรีสวัสดิ์ฮะ”

     

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ยิ้มรับกับเสียงเล็กๆ ที่ดังประสานกันมาจากบนเตียงใหญ่ ก่อนจะอุ้มสาวน้อยคนเดียวของบ้านลงนอนในเตียงคอก แม่หนูทำปากบู้ๆ พร้อมไม่ยอมปล่อยมือเขา

     

     

     

     

     

     

     

    “ไนท์คิส…เรเวนจะเอาไนท์คิส”

     

     

     

     

     

     

     

    คนฟังยิ้มออกมา กล่าวแก้ให้ “กู๊ดไนท์คิสครับ ไม่ใช่ไนท์คิส”

     

     

     

     

     

     

     

    หนูน้อยยอมพูดใหม่ให้ถูกต้องและก็หัวเราะคิกคักเมื่อชายหนุ่มหอมแก้มยุ้ยๆ ของตน ชาร์ลส์กวาดตาสำรวจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงดับไฟก่อนจะปิดประตูห้องตามหลังเสียงเบา ชายหนุ่มมองนาฬิกา…นึกเพลียใจว่าเมื่อไหร่คุณเจ้าบ้านจะยอมโผล่หน้ามาเสียที ไอเดียที่ว่าอีริคอาจจะทิ้งเขาไว้กับเด็กๆ เริ่มดูมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้นมาจนถึงตอนนี้…และถึงมันจะจริงหรือไม่ ตอนนี้ชาร์ลส์ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

     

     

     

     

     

     

    ด้วยรู้ว่าตัวเองคงนอนไม่หลับแน่ๆ…ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินลงไปที่ห้องครัวแทน พยายามให้ตัวเองลืมความเครียดด้วยการทำแซนด์วิชโดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามันจะเป็นมื้อค่ำให้คุณเจ้าบ้านที่อาจจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อสุดท้ายที่เขานั่งแปะลงกับโต๊ะอาหารและนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน…ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีใครมา

     

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์เอนศีรษะลงหนุนแขนตัวเองบนโต๊ะ ภาพมุมเอียงที่เขาเห็นตอนนี้ทำให้ทุกอย่างดูสูงเกินธรรมชาติ…ในความเงียบนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาไม่มีใครแค่ไหน

     

     

     

     

     

     

    วงหน้าสีน้ำนมฝังลงกับท่อนแขนเพราะไม่อยากจะเห็นความว่างเปล่าตรงหน้า เสียงนุ่มพึมพำ

     

     

     

     

     

     

    “นายทิ้งฉันไว้แบบนี้ไม่ได้นะ…ช่วยกลับมาเร็วๆ ทีเถอะ”

     

     

     

     

     


    *****

     

     

     

    อีริค เลนเชอร์ประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไฟในห้องครัวยังคงสว่างจ้า

     

     

     

     

     

     

    ตัดสินจากเวลาตีหนึ่งกว่าๆ แบบนี้…ทุกคนน่าจะหลับไปแล้ว และจากที่เขาบอกย้ำกับเด็กๆ เสมอ…การลืมดับไฟไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลแขวนเสื้อแจ็คเก็ตหนังของตนไว้กับตะขอแล้วเดินเสียงเบาไปยังห้องที่แสงไฟลอดออกมา นึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยกับความเผอเรอของบรรดาผู้อยู่อาศัย

     

     

     

     

     

     

    แต่เมื่อก้าวมาถึงประตู ภาพที่เห็นก็ทำให้เขาลืมอารมณ์เสียๆ ทั้งหมดไป

     

     

     

     

     

     

     

    ในห้องครัวที่เปิดไฟสว่างจ้านั้น…ร่างสมส่วนของชายหนุ่มผมดำนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร วงหน้าขาวใสนั้นดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเดิมตอนที่เจ้าตัวกำลังหลับฟี้แบบนี้ อีริคมองออกจากการที่คนตรงหน้านอนหนุนแขนตัวเองอยู่แบบนี้ว่ามันคงไม่สบายนัก…ความสงสัยจึงก่อตัวขึ้นว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาทรมานสังขารรอเขาอยู่แบบนี้

     

     

     

     

     

     

     

    รอเขา…งั้นหรือ…?

     

     

     

     

     

     

     

    ทันใดนั้น…ทุกอย่างก็ดูลงตัว แม้ว่าจะดูไม่น่าเชื่อเลยก็ตาม…หากคงไม่มีเหตุผลอื่นที่คนตรงหน้าจะมานั่งหลังขดหลังแข็งกลางดึกแบบนี้ในห้องครัว จานแซนด์วิชที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดูจะช่วยยืนยัน…เจ้าตัวคงรอเขาจนหลับไปทั้งแบบนี้

     

     

     

     

     

     

     

    ความรู้สึกแปลกๆ ก่อตัวขึ้นในใจอีริค…เขาไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร เพียงแต่รับรู้ได้ว่ามันอบอุ่นและก็ทำให้เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างที่หลับอยู่ครางงึมงำออกมา ลมหายใจหนักๆ ถูกระบายออกมาเป็นการบอกกลายๆ ว่าเจ้าตัวไม่สบายตัวแค่ไหน อีริคจึงโน้มตัวลงไปแล้วเรียกอีกฝ่ายเบาๆ

     

     

     

     

     

     

     

    “ชาร์ลส์…ตื่นเถอะ…ชาร์ลส์”

     

     

     

     

     

     

     

    เจ้าของชื่อคิดว่าตัวเองยังฝันไปอยู่ในทีแรก…หากสัมผัสเบาๆ ที่เขย่าไหล่เขาก็ค่อยๆ ทำให้เขามั่นใจว่านี่เป็นความจริง นัยน์ตาสีน้ำเงินกระพริบปริบๆ เพื่อสู้แสงขณะที่พยายามลืมขึ้นเพื่อมองหน้าคนที่ปลุกตนให้ชัดๆ  ทุกคำพูดและคำถามหายไปพร้อมกับความไม่สบายใจทั้งหมด…โดยที่ไม่รู้ตัว เขายิ้มละไมแล้วเอ่ยเสียงเบา

     

     

     

     

     

     

     

    “ฉันนึกว่านายจะไม่กลับมาซะแล้วรู้ไหม…?”

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคอดหัวเราะออกมากับประโยคทักทายแสนพิลึกพิลั่นนี่ไม่ได้ เขาเพิ่งพบชาร์ลส์ไม่นานมานี้…เวลาที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ…หากกลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าคุ้นเคยใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมานานแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

    “ฉันจะไม่กลับมาได้ไง? นี่มันบ้านฉันนะ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดเสียงล้อเลียน ก่อนจะเริ่มจัดการกับแซนด์วิชเมื่อคนข้างตัวเลื่อนจานมาให้

     

     

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์นั่งมองเงียบๆ…ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาเตรียมบทพูดมากมายเอาไว้สำหรับวินาทีนี้ หากตอนนี้เขากลับนึกอะไรจะพูดไม่ออกสักนิดเดียว…ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะความง่วงงุนของตนและรอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายแน่ๆ

     

     

     

     

     

     

     

    ให้ตายสิ…มันถูกกฎหมายรึไงที่จะหน้าตาดีขนาดนี้น่ะ?

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากรวมสติให้กลับมาสามารถเรียบเรียงความคิดได้ตามปกติแล้ว ชาร์ลส์ก็เริ่มบทสนทนา

     

     

     

     

     

     

    “ตลอดอาทิตย์ฉันติดต่อนายไม่ได้เลย…ฉันจะบอกนายว่าฉันใช้เงินที่นายให้เด็กๆ ไว้หมดแล้วนะ” เขาวางกระเป๋าเงินรูปปลาฉลามลงบนโต๊ะ “ซื้อไปแค่กับข้าวน่ะ…ฉันเก็บใบเสร็จไว้หมดนะ เผื่อนายอยากจะเช็ค”

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ นิ่งเงียบเป็นเชิงรอให้เขาพูดต่อจนชาร์ลส์อดไม่ได้ที่จะถามย้ำ

     

     

     

     

     

     

    “นายจะไม่เช็คหน่อยเหรอ? เกิดฉันเอาเงินไปทำอย่างอื่นหมดล่ะ?”

     

     

     

     

     

     

    คนฟังยักไหล่ราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เสียงทุ้มตอบง่ายๆ “ไม่ต้องหรอก…ฉันเชื่อใจนาย”

     

     

     

     

     

     

     

    ถึงจะรู้ว่ามันไม่ได้มีความนัยใดๆแอบแฝง…แต่ชาร์ลส์ก็อดที่จะรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งเขามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดปกติเลยที่จะรู้สึกแบบนี้…จะมีใครไม่ใจเต้นได้ล่ะเวลาที่มีคนหน้าตาดีเหมือนรูปสลักเดินได้พร้อมนัยน์ตาคมกริบชวนฝันมาพูดให้ฟังต่อหน้าว่าเชื่อใจกัน

     

     

     

     

     

     

     

    “เอ่อ…อืม…กะ ก็คงไม่มีอะไรเท่าไหร่แล้วล่ะ…” เขายังจัดระบบคำพูดให้ฟังรู้เรื่องได้ไม่ดีนัก แต่ก็พยายามรวมสติกลับมา “ยังไงก็ช่วยเอาเบอร์มือถือกับเบอร์ที่ทำงานนายให้ฉันหน่อยได้มั้ย? ฉันถามแล้วแต่เด็กๆ บอกว่านายชอบเปลี่ยนเบอร์มือถืออยู่เรื่อย…ส่วนเบอร์ที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้”

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ก่อนจะจัดแจงเขียนเบอร์ทั้งสองเบอร์ลงในเศษกระดาษให้เขา ชาร์ลส์ติดมันไว้ที่หน้าตู้เย็นด้วยแป้นแม่เหล็ก ก่อนจะหาวออกมา

     

     

     

     

     

     

     

    “งั้นฉันไปนอนก่อนนะ” ชายหนุ่มผมดำยิ้มง่วงๆ ให้ “ราตรีสวัสดิ์อีริค”

     

     

     

     

     

     

     

    เจ้าของชื่อกล่าวตอบ “ราตรีสวัสดิ์ชาร์ลส์”

     

     

     

     

     

     

     

    เขามองตามจนกระทั่งร่างเพรียวเดินออกจากห้องไป…นึกแปลกใจที่คำราตรีสวัสดิ์ง่ายๆ จากปากอีกฝ่ายทำให้เขายิ้มออกมาได้

     

     

     

     

     

     

    *****

     

     

     

    เพราะกว่าจะได้นอนก็ดึกแสนดึก…อีริคจึงตื่นตอนเกือบเที่ยงวัน

     

     

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มล้างหน้าและเสยผมยุ่งเหยิงอย่างลวกๆ พอให้มันเรียบเป็นทรงขึ้นมาบ้าง ก่อนจะเดินลงไปที่ห้องครัวตามความเคยชิน…เขาไม่เคยตื่นมาแล้วได้ทานอะไรในบ้านหลังนี้มากไปกว่าอาหารสำเร็จรูปหรือซีเรียลที่เด็กๆ ซื้อมาตุนไว้ นั่นจึงทำให้เขาประหลาดใจที่เห็นจานที่มีฝาปิดเรียบร้อยตั้งอยู่กลางโต๊ะอาหาร กระดาษโพสต์อิทแปะอยู่ข้างๆ

     

     

     

     

     

     

     

    ถ้าตื่นแล้วก็กินนี่ซะนะ ฉันออกไปซื้อของกับเด็กๆ  จะกลับตอนบ่ายๆ  — ชาร์ลส์

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคเปิดฝาเพื่อดูว่ามีอะไรวางรออยู่ในจาน…ฟิชแอนด์ชิปสีทองอร่ามทำให้เขายิ้มออกมา เดาไม่ยากว่านี่คงเป็นเมนูเดียวกับที่คุณพี่เลี้ยงทำให้บรรดาเด็กๆ ทาน และเมื่อได้ลิ้มรส…เขาก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่วัตถุสำเร็จรูปอย่างที่คิด

     

     

     

     

     

     

     

    นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ทานอาหารที่ทำที่บ้านแบบนี้?

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคส่ายศีรษะกับความคิดที่ผลุบขึ้นมาในหัว…ชาร์ลส์ดูจะมีความสามารถในการทำให้เขารู้สึกแบบนี้ตลอด ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ก่อนจะเริ่มสังเกตถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เปลี่ยนไป…ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกว่าทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้น บ้านที่เคยดูเป็นแค่อาคารที่เขาอยู่ร่วมกับเด็กๆ กลุ่มหนึ่งกลายเป็นสถานที่ที่มีใครคอยดูแลเอาใจใส่…อะไรบางอย่างที่อีริคคิดว่ามันไม่มีอยู่นั้นกลับโดนเติมเต็มเสียแล้วเพียงแค่เวลาสั้นๆ ที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่

     

     

     

     

     

     

    บรรยากาศเฉยชาว่างเปล่าหายไป…โดยแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่เขาไม่คิดว่ามีในครอบครัวนี้

     

     

     

     

     

     

     

    อีริคไม่เคยรู้สึกผูกพันอะไรกับที่แห่งนี้…เขาเลือกแฟลตนี้ก็แค่เพราะสะดวกในการเดินทางและไม่ไกลความเจริญเกินไป เวลาที่จะได้มาอยู่ก็มีแค่สุดสัปดาห์เท่านั้น และที่ไม่รู้สึกผูกพันยิ่งกว่าก็คือเด็กๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของเขาตามกฎหมาย…ถึงเขาจะไม่ได้ทิ้งขว้างถึงขั้นไม่ไยดี แต่ชายหนุ่มก็มองว่าเด็กพวกนี้เป็นเพียงหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบมากกว่าเป็นคนในครอบครัว นั่นจึงทำให้อีริคไม่เคยบกพร่องในการดูแลให้เด็กๆ ได้อยู่อย่างสุขสบายแต่ก็ไม่คิดจะสวมบทบาทคุณพ่อผู้แสนใจดีแต่อย่างใด

     

     

     

     

     

     

     

    แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น…ยังไงก็ไม่มีเหตุผลในการจ้างชาร์ลส์เข้ามาอยู่ดี

     

     

     

     

     

     

    อีริคเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงทำแบบนี้…ปกติเขาไม่เคยแม้แต่จะเสวนากับใครในบาร์ด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำเงินกลับดึงความสนใจของเขาไว้ได้ตั้งแต่แรกเห็น การปล่อยไก่แบบเมาๆ ก็ทำให้เขาผู้ไม่เคยยิ้มกับมุขตลกที่ไหนหัวเราะออกมาได้ และแววตาหมองๆ ตอนเล่าเรื่องของตนให้ฟังก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะทำอะไรก็ได้เพียงเพื่อลบความเศร้าในใจอีกฝ่ายไปเสีย…จนตามมาด้วยข้อเสนอที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เขาก็พูดออกมาง่ายดายเพียงเพราะอยากจะให้ชาร์ลส์ยิ้มออกมาอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

    อีริค เลนเชอร์…เกิดอะไรขึ้นกับนายกัน…?

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงพูดคุยและฝีเท้าโครมครามจากหน้าประตูบอกให้รู้ว่าสมาชิกตัวน้อยๆ ของบ้านกับคุณพี่เลี้ยงกลับมาถึงแล้ว อีริคยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตอนทุกคนก้าวเข้ามาในห้อง…ห่อข้าวของเต็มอ้อมแขนเล็กๆ

     

     

     

     

     

     

     

    สายตาที่เด็กๆ มองเขานั้นหวาดเกรง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมาจนความเงียบชวนให้อึดอัดแผ่เต็มห้อง อีริคไม่ชอบเวลาที่เขาต้องมาโดนมองด้วยสายตาแบบนี้…ร่างสูงจึงขยับจะลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มผมดำที่ก้าวตามเข้ามาพร้อมถุงใบใหญ่สุดอยู่ในมือก็ทำลายความเงียบนั้นลง

     

     

     

     

     

     

     

    “วางของบนโต๊ะนะครับ…ฌอนอย่าแอบเอาขนมไปล่ะ แล้วก็….” ประโยคสะดุดเมื่อเห็นผู้ใหญ่อีกคนของบ้าน “อ้าว อีริค?”

     

     

     

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีน้ำเงินมองเขาแล้วแล่นปราดกลับไปที่เด็กๆ ที่ยืนเงียบอยู่ ประกายความเข้าใจจุดวาบชั่ววินาที ก่อนที่ร่างเพรียวจะก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม เสียงนุ่มพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ

     

     

     

     

     

     

     

    “นายเพิ่งตื่นเหรอ?” ชาร์ลส์เลื่อนจานอาหารที่ควรเป็นมื้อเช้าของเขาไปนิดนึงเพื่อที่จะวางถุงในมือลงบนโต๊ะ “ฉันเพิ่งกลับมาเอง…หวัดดีตอนบ่ายนะ”

     

     

     

     

     

     

     

    การทักทายพิลึกพิลั่นฟังดูแปลกๆ ชอบกล แต่นั่นก็ทำให้เด็กๆ คลายท่าทีกล้าๆ กลัวๆ และพูดกับเขาบ้าง

     

     

     

     

     

     

     

    “หวัดดีครับแด็ด”

     

     

     

     

    “เรากลับมาแล้วฮะ”

     

     

     

     

     

    “สวัสดีฮะแด็ด”

     

     

     

     

     

    แม้แต่แม่หนูในอ้อมแขนของพี่ชายคนรองยังกล่าวบ้าง “ดีใจจัง…แด็ดอยู่ด้วย”

     

     

     

     

     

     

    อีริคมองหน้าบรรดาเด็กน้อยที่ยืนยิ้มอายๆ และมีท่าทีเหมือนรออะไรตอบแทนอยู่…แอบสงสัยกับคำเรียกที่ไม่เหมือนเดิม เขาขยับจะขมวดคิ้วกับการเปลี่ยนแปลงที่มากจนเขาตามไม่ทัน แต่ชาร์ลส์ที่ยืนอยู่ข้างเขาก็กระแอมเสียงลั่นแล้วเลิกคิ้วพยักเพยิด

     

     

     

     

     

     

     

    ถึงจะแอบถอนหายใจกับเรื่องบ้าๆ นี่ แต่อีริคก็ยอมตามโดยดี “อืม…หวัดดี”

     

     

     

     

     

     

     

    คำพูดของเขาทำให้เด็กทุกคนยิ้มออกมาเหมือนดอกทานตะวันผลิบาน จู่ๆ อีริคก็รู้สึกว่ากำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างเขากับเด็กๆ ดูจะหายวับไปด้วยการพูดคุยสั้นๆ นี้…รวมไปถึงท่าทางหวาดเกรงทั้งหมดด้วย สิ่งที่ได้ค้นพบในวินาทีนี้ทำให้อีริครู้สึกพอใจอย่างประหลาด วงหน้าคมคายหันไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน…และรอยยิ้มหวานสดใสที่อีกฝ่ายส่งมาให้ก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากเขานัก

     

     

     

     

     

     

     

     

    อีริครู้ว่าทุกอย่างฟังดูไร้สาระเกินจะเชื่อว่าเป็นเรื่องของของเขา…แต่เหมือนกับว่าตั้งแต่แรกพบ ชาร์ลส์ก็ก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของชีวิตเขาอย่างง่ายดายแล้วเรียบร้อย

     

     

     

     

     

     

     

    …และโดยตัวเขาเองก็ยอมที่จะให้เป็นเช่นนั้นเสียด้วย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in