Chapter 10
“มิสเตอร์เลนเชอร์…รู้ไหมว่าคุณดูไม่เหมือนเดิม?”
เสียงหวานที่ออกความเห็นทำให้อีริค เลนเชอร์เลิกคิ้ว หรี่ตานิดๆ พลางอมยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้า…หญิงสาวผู้มีดวงตาสีเขียวเจือเทากับเรือนผมดำเงางามที่เกล้าขึ้นอย่างมีรสนิยม เข้ากันอย่างดีกับเดรสสีขาวคัตติ้งเฉียบคมราคาแพงบนร่าง
“ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะมีอะไรแปลกไปนะ…มิสแอดเลอร์” อีริคตอบกลับด้วยภาษาสุภาพ…มุขตลกที่เป็นอันรู้กันระหว่างคนทั้งคู่ หญิงสาวหัวเราะหึออกมาเบาๆ…มันไม่ได้เยาะหยัน แต่ก็บอกชัดว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของเขา
“ไม่เอาน่า…อีริค” อีกฝ่ายยอมเลิกล้อเล่น มือเรียวคว้าเก้าอี้มาแล้วนั่งตรงอีกด้านของโต๊ะทำงานของเขา “ฉันไม่เคยมองผิดหรอก…ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ”
ชายหนุ่มแกล้งถอนหายใจดังๆ…ไอรีน แอดเลอร์เป็นทั้งบรรณาธิการและเจ้าของนิตยสารที่เขาส่งงานเขียนให้ และนอกจากในฐานะนายจ้างแล้ว…เขาก็สนิทกับเจ้าหล่อนในฐานะเพื่อนคนหนึ่งด้วย นั่นจึงทำให้อีริครู้ดีว่าถ้าลงได้นั่งถามและดูสนใจขนาดนี้แล้ว หญิงสาวไม่มีทางปล่อยให้เรื่องจบโดยที่ตนไม่ได้รับคำตอบ…ไอรีน แอดเลอร์ไม่เคยยอมให้เรื่องที่ต้องการจะรู้เป็นความลับได้สักครั้ง และแน่นอนว่าครั้งนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
“ผมก็พูดความจริงอยู่นะไอรีน” ชายหนุ่มพูดหน่ายๆ…แต่ยังคงอมยิ้มนิดๆ “ช่วงนี้มันไม่ได้มีอะไรพิเศษจริงๆ”
“ถ้าไม่มี ‘อะไร’…” ดวงตาสีเขียวอมเทากลมโตหรี่ลงอย่างจับผิด ประกายซุกซนฉายชัด “…งั้นมี ‘ใคร’ หรือเปล่า?”
ความเงียบของอีริคทำให้ไอรีนยิ้มแบบผู้ชนะออกมา ร่างระหงเอนเข้ามาใกล้กว่าเดิม เสียงหวานซักอย่างสนอกสนใจ “พระเจ้า! คุณกำลังเดทกับใครสักคนอยู่ใช่ไหม?…เล่ามาเถอะน่า”
เสียงหัวเราะเบาๆ ลอดออกมาจากเรียวปากของชายหนุ่ม “ให้ตายสิ…อะไรกันนะที่ทำให้คุณสรุปได้แบบนี้น่ะ?”
“ก็เยอะอยู่นะ” ไอรีนยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องเดายากแต่อย่างใด “ช่วงนี้คุณไม่ค่อยแวะมาปั่นงานที่ออฟฟิศแถมรีบกลับบ้าน แล้วคุณก็ยิ้มบ่อยขึ้นด้วย…ฉันเลยเดาว่าถ้าไม่ได้กำลังตกหลุมรักใครสักคน คุณก็คงกำลังออกเดท”
“โอเค…ที่คุณสังเกตได้มันก็จริงอยู่” อีริคยอมรับ แต่รีบเสริมโดยไม่เปิดช่องว่าง “แต่แค่นั่นมันไม่ได้เป็นเหตุผลมากพอเลยนะว่าผมกำลัง…คุณว่าไงนะ? มีความรักใช่ไหม?”
ไอรีนส่ายหน้าอย่างไม่คิดจะเชื่อ…อีริคอาจไม่รู้ตัว แต่คนนอกอย่างเธอเห็นชัดว่าบรรยากาศของชายหนุ่มเปลี่ยนไป…ความเย็นชาลดลงและรอยยิ้มที่แสนจะหาดูได้ยากกลับถูกระบายบนเรียวปากบ่อยครั้งกว่าเดิม อีริคเคยดูเฉยชากับทุกสิ่ง…แต่ตอนนี้ ไอรีนกลับบอกได้ว่าเจ้าตัวมีชีวิตชีวามากขึ้น ซึ่งเธอคิดหาเหตุผลอื่นใดไม่ออกนอกจากว่าอีริคน่าจะกำลังมีความสุขแบบที่ไม่เคยมี…นั่นจึงทำให้หญิงสาวเดาต่อด้วยข้อสรุปที่ง่ายที่สุดว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีความรัก
“โอเคๆ…ฉันอาจเดาผิดก็ได้” ไม่บ่อยนักที่ไอรีนจะยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายพลาด…โดยเฉพาะเวลาที่เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้พลาด แต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้ต่อเพราะรู้นิสัยอีริคดีว่าชายหนุ่มไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ร่างระหงลุกขึ้นจากเก้าอี้ โบกแฟลชไดรฟ์อันเล็กในมือนิดๆ เป็นเชิงบอก “ขอบใจสำหรับนี่นะ”
อีริคยักไหล่…แฟลชไดรฟ์นั้นบรรจุไฟล์ต้นฉบับของเขาไว้อยู่ “แล้วจะให้ผมเริ่มเขียนเรื่องใหม่เลยไหม?”
เพราะนิตยสารนี้เป็นนิตยสารที่ตีพิมพ์ในจำนวนน้อยและทุกกฎเกณฑ์การส่งเรื่องมาลงแทบจะเป็นไปตามใจคุณบรรณาธิการคนสวย…กำหนดเส้นตายของงานเขียนจึงแทบจะไม่มีความแน่นอน อีริคเคยทั้งต้องปั่นงานแบบไม่ได้นอนติดๆ กันหลายวันหรือว่างตลอดเดือนมาแล้ว เขาพอจะเดาได้ว่านิตยสารนี้คงไม่ใช่รายได้หลักของไอรีน แถมเผลอๆ จะเป็นแค่งานอดิเรกเล่นๆ ของเจ้าหล่อนเสียด้วย…ตัดสินจากข้าวของและเครื่องแต่งกายทุกชิ้นที่แพงลิบลิ่วเกินรายได้จากนิตยสารแน่นอน
“ไม่เป็นไร…คุณนั่งว่างๆ ได้เลย ถ้ามีงานเมื่อไหร่เดี๋ยวฉันโทรไปบอกเอง” หญิงสาวบอก ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเมื่อคิดอะไรได้ มือเรียวหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากระโปรง “คุณอุตส่าห์ปั่นงานซะตรงเวลา…ฉันให้ยืมนี่ละกัน ถือว่าเป็นโบนัส”
อีริคมองกุญแจรถที่โดนวางแปะลงบนพื้นโต๊ะนิ่งๆ…พูดตอบสั้นๆ “ขอบคุณ…แต่ผมมีรถของตัวเองอยู่แล้ว”
“เจ้ามอเตอร์ไซค์นั่นมันไม่นับว่าเป็นรถเท่าไหร่หรอกนะ จอดทิ้งไว้ที่นี่แหละ…เอานี่ไปขับแทนเลย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังไม่เลือนหาย เสียงหวานแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตอนพูดประโยคหลัง “คุณทำงานเหนื่อยๆ มาเยอะแล้ว…ลองไปขับรถเล่นหาไอเดียใหม่ๆ ดีกว่าน่า ดีซะอีก…จะได้พาใครไปเที่ยวด้วยในตัวเลย”
“ให้ตายสิ…คุณยังไม่ยอมเลิกใช่ไหม?” อีริคหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอ่อนใจ “ผมจะพาใครไปได้?”
ร่างระหงที่เดินจากไปแล้วไม่ได้เหลียวกลับมาสบตา มีเพียงเสียงตอบแบบมั่นอกมั่นใจปนเย้าๆ “แปลกจริงที่ถาม…ฉันคิดว่าคุณมีชื่อคนคนนั้นอยู่ในใจเรียบร้อยแล้วนะมิสเตอร์เลนเชอร์”
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ หัวเราะหึกับความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย…และปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดของเธอเป็นจริงทุกประการ
*****
เสียงเครื่องยนต์ที่หยุดตรงหน้าบ้านบอกให้ชาร์ลส์รู้ว่าอีริคกลับมาแล้ว
ชายหนุ่มผมดำใช้ให้เด็กชายคนกลางเดินไปเช็คดู…และเจ้าตัวก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมาพร้อมประกาศลั่นห้องอาหาร
“แด็ดขโมยรถใครมาก็ไม่รู้ล่ะฮะ!!”
ชาร์ลส์หายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวมสติเตรียมสั่งสอนเด็กชาย…ฌอนดูจะเชื่อเสียเหลือเกินว่าอีริคต้องมีเส้นสายในวงการอำนาจมืดหรือเป็นมาเฟียไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวไปได้ความคิดนี้มาจากไหน ชายหนุ่มขยับจะเริ่มพูด แต่ก็ชะงักด้วยเสียงเล่าอย่างตื่นเต้นของเด็กหญิงที่วิ่งเตาะแตะเข้ามา
“แด็ดอีริคมีรถแล้วแหละ!! เรเวนเห็น!! รถไม่มีหลังคาด้วย!!”
ด้วยความที่รู้ดีว่าบ้านนี้มีพาหนะอย่างเดียวคือมอเตอร์ไซค์ของอีริค…ชาร์ลส์จึงได้แต่ขมวดคิ้ว ร่างเพรียวก้าวยาวๆ ไปดูตรงประตูหน้าบ้าน ก่อนจะได้แต่นิ่งอึ้ง…สิ่งที่จอดอยู่เป็นรถเปิดประทุนคันงามสีดำสนิท ชาร์ลส์ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถมากมาย…แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่ารถคันนี้ต้องมียี่ห้อและราคาแพงระยับแน่ๆ
และข้อสันนิษฐานของเขาก็ได้รับการยืนยันด้วยเสียงของเด็กชายคนโต
“สุดยอด…นี่มันพอร์ชไนน์วันวันคาร์เรร่า…” อเล็กซ์แนบหน้าชิดกับหน้าต่างเพื่อมองให้ชัดขึ้น “…เอส คาบริโอเลท! ใช่ๆ…เอส คาบริโอเลทแน่ๆ เลย”
ชื่อรุ่นยาวเหยียดนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าสิ่งเดียวที่ชาร์ลส์กำลังอยากรู้ “มันราคาเท่าไหร่เหรออเล็กซ์?”
“ถ้าจำไม่ผิด…ประมาณแสนกว่าเหรียญครับ” ความเงียบทิ้งตัวสักพัก ก่อนที่เด็กชายจะพูดเสียงเบา “หรือจะเป็นอย่างฌอนบอกจริงๆ ล่ะเนี่ย…?”
ชาร์ลส์ยังอึ้งไม่หายกับจำนวนราคาที่ได้ยิน แต่อย่างไรเสียเขาก็บอกให้เด็กๆ ทุกคนเลิกมุงแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะเพื่อรอทานอาหาร ในหัวยังคงมีแค่ความคิดเดียวระหว่างที่แจกจ่ายชามสตูว์ให้ทุกคน
ให้ตาย…ไปเอารถมาจากไหนและได้ยังไงเนี่ย…?
ชาร์ลส์ตัดสินใจทำให้ตัวเองเลิกสติแตกด้วยการเริ่มต้นทานอาหารบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเริ่มจินตนาการแล้วว่าอีริคอาจมีเส้นสายในวงการมาเฟียจริงๆ…สาบานได้ว่าทุกคนสะดุ้งเฮือกตอนที่ได้ยินเสียงประตูหน้าเปิดและปิด
“มีอะไรกินเหรอ?” ประโยคทักทายปกติของอีริคดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงห้องอาหาร เด็กๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมา ชายหนุ่มผมดำยิ้มให้อีกฝ่าย…แม้ว่ามันคงจะจืดเจื่อนเต็มที
“สตูว์น่ะ…เดี๋ยวฉันตักให้นะ นายนั่งเถอะ” ชาร์ลส์ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่เตา อีริคทำตามคำกล่าวของอีกฝ่าย…ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับบรรยากาศเงียบกริบชวนอึดอัดในห้อง เสียงทุ้มตวัดถามลอยๆ
“มีอะไรรึเปล่า?”
สามหนุ่มสะดุ้งนิดๆ แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารต่อทันที…แต่ไม่ใช่แม่หนูน้อย เรเวนถามเสียงแจ้วๆ อย่างไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับหน้าดุๆ ของคุณพ่อเลย
“ความจริงแด็ดเป็นมาเฟียเหรอคะ?”
ชาร์ลส์แทบทำชามสตูว์หลุดมือ ส่วนเด็กชายทั้งสามก็ทำหน้าเหมือนฟ้าถล่ม แต่ผิดคาด…อีริคไม่ได้โมโหอะไรอย่างที่ทุกคนกลัว วงหน้าหล่อเหลาแค่เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ว่าไงนะ?”
“ก็อยู่ดีๆ แด็ดก็มีรถนี่คะ” สาวน้อยพูด เอียงคอนิดๆ อย่างไม่เข้าใจ “รถแพง…เรเวนรู้ว่าต้องเป็นมาเฟียถึงมีรถแพงได้”
อีริคนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเห็นสีหน้าแตกตื่นของชาร์ลส์กับสามหนุ่ม…และนั่นเองที่ทำให้หัวเราะหึๆ ออกมา ถามเสียงเย้าๆ ผิดวิสัย “เรื่องนี้ใช่ไหมที่พวกนายอยากรู้กัน?”
ฌอนพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาส่ายหน้าพั่บๆ เมื่อโดนอเล็กซ์ทุบเข้าที่หลัง ชาร์ลส์รีบอธิบายเสียงระมัดระวัง
“ไม่ใช่นะ…พวกเราแค่เห็นว่ารถมันแพงสุดๆ เลย แล้วอยู่ๆ ทำไมนายถึงมีได้ แต่พวกเราไม่ได้คิด…”
“เอาล่ะๆ” อีริคตัดบทอย่างระอาใจแต่ไม่ได้จริงจัง “สบายใจได้…ฉันไม่ได้เป็นมาเฟียหรืออะไรทั้งนั้น มานั่งเถอะชาร์ลส์…ฉันหิวจะแย่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ยอมกลับมานั่งที่เดิมแล้ว…ชายหนุ่มผมน้ำตาลก็เริ่มต้นเล่าที่มาที่ไปของรถคันหรูตรงหน้าบ้าน แต่แน่นอนว่าละเว้นตรงส่วนของบทสนทนาทั้งหมดระหว่างตนกับหญิงสาว
“สรุปก็คือ…เขาให้ฉันยืมมาเฉยๆ เท่านั้นแหละ” อีริคกล่าวประโยคจบเรื่อง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “แต่ถ้าจะคิดกันว่าไอรีนเป็นมาเฟีย…ฉันก็ไม่ห้ามล่ะ เพราะฉันก็คิดว่าใช่เหมือนกัน”
เด็กๆ พยักหน้าช้าๆ อย่างกระจ่างใจ ก่อนจะพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นถึงข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้…ปล่อยให้อีริคได้มีโอกาสจิบน้ำหลังจากที่จัดการสตูว์คำสุดท้ายหมด ชาร์ลส์เริ่มต้นเก็บชามของทุกคนมากองเป็นตั้งเพื่อเตรียมล้าง ก่อนจะชะงักเมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย
“ชาร์ลส์…อยากไปเที่ยวไหม?”
เจ้าของชื่อหันมาสบตา กระพริบตาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ฉันเหรอ?”
“ก็ไม่มีคนอื่นชื่อชาร์ลส์ในห้องนี้นะ” อีริคพูดกวนๆ หน้านิ่งตามนิสัย ก่อนจะยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก “ใช่สิ…นายนั่นแหละ”
“อะไรเล่า…ฉันงงไม่ได้รึไง…?” ชาร์ลส์บ่นเสียงอุบอิบ ก่อนจะถาม “แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงชวนล่ะ…ปุบปับจัง”
“ฉันอยากจะหาไอเดียใหม่ๆ มาเขียนเรื่องน่ะ…เลยอยากจะลองไปที่อื่นดูบ้าง” อีริคบอก ซ่อนยิ้มกับประโยคหลัง “แล้วฉันก็คิดว่าถ้ามีใครไปด้วยก็คงจะดี”
ชาร์ลส์ยังคงลังเล นั่นจึงทำให้อีกฝ่ายทำหน้าหน่ายๆ…เสียงทุ้มเริ่มเจือกระแสเผด็จการนิดๆ
“แล้วไอ้คำว่า ‘ใคร’ ในที่นี้ฉันหมายถึง ‘นาย’ โอเคไหม? เลิกงงได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นเช้าๆ ล่ะ”
นัยน์ตาสีน้ำเงินสดใสกระพริบปริบๆ…มั่นใจว่าตัวเองยังไม่ได้เอ่ยตกลงสักคำ แต่ท่าทางดื้อดึงของคุณเจ้าบ้านก็บอกชัดว่าเขาคงตอบคำอื่นไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงชาร์ลส์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร…เพราะเขาเองก็ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนมาตั้งแต่เริ่มทำงานที่บ้านนี้แล้ว เพียงแต่ยังสงสัยกับบางเรื่องเท่านั้น
“ต้องเช้าแค่ไหน?” เสียงนุ่มถาม “แล้วนี่เราจะไปไหนกันเนี่ย?”
“ตีสี่น่าจะกำลังดี” ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดหน้าตาเฉย “ส่วนจะไปไหน…เดี๋ยวนายก็รู้เองล่ะน่า โอเคมั้ย?”
“ไม่!!” ชาร์ลส์เถียงกลับเสียงหลง “ทำไมต้องเช้าขนาดนั้น? แล้วถ้าฉันไม่อยู่…ตอนเช้าเด็กๆ จะกินอะไร?”
อีริคขยับจะแย้งกลับ แต่ก็โดนขัดด้วยเสียงของเด็กชายคนโต
“เอ่อ…พวกเราโอเคครับ ไม่ต้องห่วง” อเล็กซ์ชี้แจง “เดี๋ยวพวกเราไปซื้อแพนเค้กกินก็ได้ครับ ไปส่งเรเวนด้วย…แด็ดกับชาร์ลส์ไปเที่ยวกันเลยเถอะ”
น้องชายทั้งสองพยักหน้ายิกๆ เป็นการยืนยันซ้ำ คุณพ่อจึงหันมาเลิกคิ้วใส่คนมีปัญหาเป็นเชิงว่าพอใจหรือยัง…ภาพที่ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนแกล้งชอบกล เพราะทุกอย่างมันดูเหมาะเจาะลงตัวไปหมดราวกับว่าต้องการให้เขาได้ไปเที่ยวกับอีริคสองต่อสองอย่างนั้นแหละ
เดี๋ยวนะ…ไปเที่ยวกันสองต่อสองงั้นเหรอ…
ชายหนุ่มผมดำสะดุ้ง หน้าเริ่มร้อนวาบๆ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร…ก่อนจะรีบบอกให้ตัวเองขยำความคิดบ้าๆ นี้ออกไปจากหัวแม้จะไม่สำเร็จเลยก็ตามที
ไม่ไม่ไม่! นี่มันไม่ใช่เดท! มันเป็นแค่การหาไอเดียไปเขียนนิยายเท่านั้นแหละ! เท่านั้นจริงๆ!!
*****
ถึงชาร์ลส์จะบ่นเรื่องเวลาที่เช้าแสนเช้า…แต่ชายหนุ่มก็ยอมตื่นโดยดี
ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเข้มเหมือนตอนกลางคืนทั้งที่เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว พระจันทร์สีขาวยังลอยค้างอยู่ให้เห็นได้…แม้ว่าบางส่วนจะเริ่มเลือนไปตามเวลาที่ล่วงเลย ชาร์ลส์ค่อยๆ วางกระเป๋าผ้าที่มีกระติกกาแฟกับกล่องอาหารเช้าตรงพื้นที่ว่างด้านหลังที่นั่ง…หวังสุดใจว่าจะไม่มีสิ่งใดตกหล่นออกมาเลอะรถราคาแพงนี่ระหว่างการเดินทาง
ผิดกับชาร์ลส์…อีริคไม่สะดุ้งสะเทือนเลยว่ารถคันงามนี้ราคาเท่าไหร่ ร่างสูงขยับไปนั่งตรงที่นั่งคนขับแล้วปิดประตูแรงๆ ตามปกติ ทุกการกระทำของเจ้าตัวดูจะไม่เครียดเลยว่าอาจทำความเสียหายอะไรให้รถบ้างหรือไม่…ผิดกับชาร์ลส์ที่อยากจะเป็นลมตายเพราะความวิตกจริต
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งได้เรียบร้อยพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว อีริคก็ออกรถ เหลือบตามองคนข้างตัวเล็กน้อย…หลังจากที่เลิกเครียดกับรถแล้ว ชาร์ลส์ก็เริ่มเหลียวไปทางนั้นทางนี้อย่างตื่นเต้น ดวงตาสีน้ำเงินมีแววสดใสยามที่พวกเขาเริ่มออกมาสู่ละแวกที่ไกลบ้านขึ้นเรื่อยๆ…และนั่นก็ทำให้อีริคอดยิ้มบางๆ ออกมาบ้างไม่ได้
ตอนแรก ชาร์ลส์วางแผนว่าจะมาหลับต่อบนรถ แต่ตอนนี้ เขากลับตื่นเต้นจนไม่รู้สึกง่วงแล้ว…ถนนและร้านรวงที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนกลับเงียบสงัดในเวลานี้ หลอดไฟของโคมริมทางดับไปหมดแล้ว แต่แสงจันทร์โรยรายังคงสาดส่อง…ทำให้บรรยากาศเป็นสีน้ำเงินสลัว สายลมตอนเช้ามืดพัดผ่านแก้มไป…ชาร์ลส์เดาว่าตอนนี้ผมของเขาคงยุ่งเหยิงน่าดู แต่ไม่ได้สนใจ
“คุ้มไหมที่ยอมตื่น?” เสียงทุ้มถามเขา..กระแสล้อเลียนเล็กๆ เจืออยู่ แต่ชายหนุ่มไม่คิดจะมาโมโหอะไรที่โดนแซวในตอนนี้ ชาร์ลส์พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มใจ…เรียกเสียงหัวเราะหึเบาๆ จากเรียวปากได้รูปนั้นอีกที
“นี่…นายกำลังจะเขียนเรื่องอะไรเหรอ?” ชาร์ลส์ถามขึ้น คิดได้ทีหลังว่าตนไม่เคยถามคำถามแบบนี้กับอีริคเลย…เขารู้แค่ว่าอีกฝ่ายเขียนเรื่องส่งนิตยสาร แต่ไม่ได้รู้มากไปกว่านั้นเลยว่าเป็นเรื่องแนวไหน แม้แต่ชื่อนิตยสาร…เขาก็ไม่รู้
“อืม…” สายตาสนใจใคร่รู้ของชาร์ลส์ทำให้อีริคพูดไม่ออกว่าทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้างไปอย่างนั้นเอง เขาจึงหาโครงเรื่องที่ง่ายที่สุดมาเล่า “ก็ทั่วๆ ไปแหละ…นี่ฉันกะว่าจะมีฉากที่มาเที่ยวกันแบบนี้น่ะ”
“โอเค…” คนฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ…ก่อนที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีสมาธิขับรถต่อ สีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้าเริ่มจางลงทีละนิด พระจันทร์เลือนหายไปจนแทบหมดดวงแล้ว ชาร์ลส์สูดลมหายใจลึกๆ…ซึมซับความเงียบและอากาศสดชื่นของยามเช้าเข้าไป ทุกอย่างวินาทีนี้ทำให้รู้สึกมีความสุขและสงบใจยิ่งนัก
อีริคเหลือบมองคนข้างตัวนิดนึงตอนที่ได้ยินเสียงลมหายใจเริ่มเป็นจังหวะช้าๆ สม่ำเสมอ…และก็ได้พบว่าอีกฝ่ายหลับไปเสียแล้ว เขาส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ…แต่ไม่ได้รู้เลยว่าเรียวปากกำลังยกยิ้มอ่อนโยนแค่ไหน ความรู้สึกแบบเดิมๆ ที่มักจะมีสาเหตุมาจากชาร์ลส์เสมอซ่านขึ้นในใจ…มันละมุนละไมและอบอุ่นแบบแปลกๆ
เพราะเป็นเวลาที่ไร้ผู้คนสัญจร ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงสะพานจอร์จวอร์ชิงตัน พอร์ชสีดำสนิทข้ามสะพานไปสู่อีกรัฐ ใช้เวลาบนถนนอีกแค่ประมาณสิบนาที…แล้วพวกเขาก็มาถึงจุดหมายที่อีริคต้องการในที่สุด
สัมผัสของลมที่แรงขึ้นกับเสียงคล้ายคลื่นซัดสาดทำให้ชาร์ลส์ค่อยๆ รู้สึกตัว…ก่อนความง่วงจะถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง ตอนนี้พอร์ชถูกจอดอยู่ในสถานที่ที่เขาเดาว่าเป็นลานกว้างของสวนสาธารณะ แต่สิ่งที่สะกดสายตาของเขาเอาไว้ไม่ใช่สนามหญ้าและทิวต้นไม้ที่รายล้อมอยู่รอบด้าน…มันคือภาพของแม่น้ำฮัดสัน ผืนน้ำทอดตัวคั่นระหว่างสองฝั่งและยาวไปจนสุดสายตา เขามองเห็นบรรดาอาคารของอีกด้านชายฝั่งได้ชัดเจน…ตึกสูงมากมายตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินซีดจาง
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย…?” ชาร์ลส์บังคับให้ตัวเองพูดออกไปได้เท่านี้ ได้ยินเสียงของอีริคตอบกลั้วหัวเราะจางๆ
“นิวเจอร์ซีย์”
ชายหนุ่มผมดำถอนหายใจกับข้อมูลอันสุดแสนจะไม่ชัดเจนนี้ นึกหวังให้อีกฝ่ายเลิกกวนประสาทเขาเสียที…แต่รู้ว่าไม่มีทาง ชาร์ลส์มองไปรอบตัว ได้รู้ที่อยู่อย่างชัดเจนจากป้าย…ตอนนี้พวกเขาอยู่ในจุดชมวิวรอสส์ด็อคของรัฐนิวเจอร์ซีย์
นัยน์ตาสีน้ำเงินหันมาจับจ้องภาพแม่น้ำอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างสุขใจ
“สวยจัง…”
อีริคอมยิ้มกับความเห็นเรียบง่ายนี้ มองนาฬิกาข้อมือ…จวนจะตีห้าแล้ว
“ทันเวลาพอดี…”
ชาร์ลส์ขยับจะถาม…แต่ก็พบว่าไม่จำเป็น คำตอบตามมาให้เห็นในอีกชั่วอึดใจถัดมา
ตรงสุดปลายแม่น้ำที่ทอดตัวไปลิบๆ…แสงระยิบระยับเริ่มจับที่เส้นขอบฟ้า ยอดคลื่นของแม่น้ำฮัดสันเป็นเปล่งประกายตามแสงที่ตกกระทบ เงาที่ทาบทับบรรดาตึกสูงบนชายฝั่งค่อยๆ หายไป ดวงอาทิตย์ดูเรือนรางอยู่หลังกลุ่มเมฆ…เห็นเป็นเพียงแสงสีส้มอมชมพูที่ฉายฉานออกมา แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้าสีน้ำเงินซีดค่อยๆ กลายเป็นสีเทาอ่อน…ความสลัวสุดท้ายของยามฟ้าสางถูกแทนที่อย่างสมบูรณ์ด้วยแสงแรกของวัน
อีริคกับชาร์ลส์มองภาพยามเช้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาถึงและมอบความมีชีวิตชีวาให้กับทุกสิ่ง ไม่มีคำพูดใดถูกเอ่ยออกมาตั้งแต่แรก…เสียงนุ่มนวลที่ได้ฟังตอนนี้จึงแผ่วเบากว่าที่ควรในกระแสลมที่พัดโชย
“นี่…ถ่ายรูปไว้ไหม?” อาจเป็นเพราะตอนนี้ทุกอย่างดูเป็นสีขาวด้วยแสงที่อาบย้อม…อีริคจึงรู้สึกว่าดวงตาสีน้ำเงินของชาร์ลส์เป็นประกายสุกใสกว่าเดิม “นายจะได้จำได้ตอนเอาไปเขียนไง”
“ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มตอบ แผ่วเบาพอๆ กัน “…ฉันไม่ลืมหรอก”
คำพูดนั้นฟังดูเรียบง่าย…หากทั้งคู่ก็รู้ว่ามันมีความนัยมากกว่านั้น แสงแดดที่สาดส่องทำให้สีชมพูบนแก้มชาร์ลส์ไม่เด่นชัด…แต่รอยยิ้มเขินๆ ก็ไม่อาจถูกปิดบังได้แม้ว่าเจ้าตัวจะเบือนหน้ากลับไปมองภาพทิวทัศน์ และอีริคเองก็พบว่าตนไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มบางๆ ไว้ได้เช่นกัน
ทั้งสองเบนสายตากลับไปมองภาพพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเดิม…ไม่มีคำพูดหรือสัมผัสใด เพราะต่างก็รู้ดีว่าไม่จำเป็น ความเงียบสื่อทุกความรู้สึกได้ชัดเจนเพียงพอแล้ว
ในวินาทีนี้…พวกเขากำลังมีความสุข
*****
“ขอบคุณ”
คิ้วเรียวสวยของไอรีน แอดเลอร์เลิกขึ้นเมื่อเห็นกุญแจรถพอร์ชของตนถูกวางลงบนโต๊ะทำงาน ไม่ได้ยื่นมือมาเก็บมันไปเพราะเธอสนใจเรื่องอื่นมากกว่า นัยน์ตาสีเขียวเจือเทาวาบวับ “ขอบคุณ? งั้นแสดงว่าคุณได้ใช้มันจริงๆ น่ะสิ”
อีริคไม่ได้ตอบอะไร พูดแค่สั้นๆ “ถ้าจะให้ผมเริ่มเขียนเรื่องใหม่เมื่อไหร่ก็โทรมาบอกละกัน”
หญิงสาวไม่เซ้าซี้ถามต่อ แต่รอยยิ้มกับแววตารู้ทันก็บอกชัดว่าเจ้าหล่อนเดาเรื่องได้เองแล้วเกินครึ่ง อีริคหันหลังให้แล้วเดินออกมา…รู้สึกว่าทุกอย่างกลับมาเป็นไปตามรูปรอยเดิมเมื่อตอนที่ได้ไขกุญแจมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
เขากลับมาถึงบ้านเร็วกว่าเวลาปกติของตัวเอง…แต่อย่างไรเสียมันก็นับว่าดึกแล้วอยู่ดี จึงไม่แปลกใจที่ทั้งบ้านเงียบสงัดพร้อมปิดไฟมืดสนิท ชายหนุ่มไขกุญแจประตู เดินออมเสียงฝีเท้าขึ้นไปที่ชั้นบน
น้ำฝักบัวอุ่นๆ ทำให้รู้สึกสบายตัว…ตามมาด้วยความง่วงที่สะสมมาจากการนอนดึกในหลายวันที่ผ่านมาและการตื่นแต่เช้าตรู่เมื่อวันก่อน อีริคจึงไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากตรงดิ่งเข้านอน
ชายหนุ่มปิดประตูตามเสียงเบาเมื่อเห็นว่าคนในห้องหลับสบายไปแล้ว โคมเล็กตรงหัวเตียงถูกเปิดค้างไว้ เดาได้ว่าเพื่อให้ห้องไม่มืดเกินไปตอนที่เขากลับมา…และนั่นก็ทำให้อีริคอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ เขากดสวิทช์ปิดมันเสียแล้วเลื่อนตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม
สัมผัสยวบยาบคงทำให้ชาร์ลส์รู้สึกตัว เสียงนุ่มเอ่ยงัวเงีย “อีริค?”
“อืม ฉันเอง” มือแข็งแรงเอื้อมไปลูบเรือนผมสีดำเบาๆ…กริยาที่เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันกลายมาเป็นสิ่งที่ตนทำบ่อยเหลือเกิน “โทษทีที่ปลุก…หลับต่อเถอะ”
ชาร์ลส์ทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเบาๆ เป็นการตอบรับ แต่ก็ไม่ลืมจะถาม “ต้นฉบับใช้ได้รึเปล่า?”
“เอ่อ…” อีริคแอบถอนหายใจ…หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่โกรธตอนได้รู้ความจริง “ใช้ได้สิ…ดีมากเลยด้วย ขอบใจมากนะที่ไปกับฉัน”
เสียงหัวเราะง่วงๆ ดังแผ่ว “ไม่เป็นไรหรอก…มันสวยจะตาย”
มือแข็งแรงเลื่อนมาไล้แก้มนิ่มเบาๆ…ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่อีริครู้สึกเหมือนว่าชาร์ลส์เลื่อนตัวเข้าหาสัมผัสนั้น เสียงนุ่มนวลพูดแผ่วๆ อย่างที่รู้ได้ว่าเจ้าของเสียงกำลังจะโดนความง่วงงุนครอบงำอีกรอบ
“ขอบใจนะ…ที่พาไป”
ความอบอุ่นแล่นปราดในใจคนฟัง…ทิ้งความรู้สึกอ่อนหวานแบบแปลกๆ เอาไว้ จังหวะลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอที่ตามมาบอกชัดว่าชาร์ลส์หลับไปแล้ว…อีริคถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ ปนเอ็นดู รั้งร่างอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน…ประทับริมฝีปากเบาๆ ลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา ดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้มีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเจ้าตัวจะต้องเขินจนไม่เหลือสติแน่ๆ
“ขอบใจเหมือนกันนะ…ที่ไปกับฉัน”
*****
ระหว่างทางขากลับจากที่พาเด็กๆ ไปซื้อของ…ชาร์ลส์หยุดตรงร้านหนังสือริมทาง
ชายหนุ่มมองในโซนนิตยสารที่ลงนิยายกับเรื่องสั้น…แต่หาชื่อของอีริคบนหน้าปกไม่เจอ ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้นามปากกาก็ได้ และเขาก็ลืมถามมาด้วยว่านิตยสารที่เจ้าตัวส่งเรื่องให้ชื่อว่าอะไร ชาร์ลส์ถอนหายใจกับความพลาดในเรื่องง่ายๆ แบบนี้ของตน…ทำให้อเล็กซ์ที่ยืนมองอยู่ถามขึ้น
“หาเล่มไหนอยู่เหรอครับ? ลองถามคนขายดูไหม?”
“ขอบใจนะ แต่ฉันไม่รู้ชื่อนิตยสารน่ะ…” ชายหนุ่มยิ้มให้เด็กชาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ เสียงนุ่มถามรัวเร็ว “แต่เธอน่าจะรู้นะ…นิตยสารที่อีริคเขียนเรื่องส่งมันชื่อว่าอะไรเหรอ? ฉันจะเอาเล่มนั้นแหละ”
“อ๋อๆ…ผมรู้ครับ” อเล็กซ์พยักหน้า ขยับเข้ามาช่วยค้น…และก็ดึงนิตยสารบางๆ เล่มหนึ่งออกมาให้ มันโดนบดบังด้วยบรรดานิตยสารเล่มอื่นอยู่ในทีแรก “นี่ครับ”
ชาร์ลส์ขมวดคิ้วนิดๆ กับหน้าปกที่เห็น…มันเป็นรูปแอปเปิ้ลที่เหมือนโดนมีดแกะเฉือนจนเว้าแหว่ง ชิ้นส่วนที่หายไปมองได้ชัดเป็นวงกลม ตัวอักษรไอกับยูถูกกรีดไว้บนสองด้าน โทนสีหม่นมืดตามสไตล์ซีเปียตัดกับสีแดงของแอปเปิ้ล…ทั้งตัวฟอนต์และภาพนี้ให้อารมณ์เหมือนหน้าปกนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมเป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ…” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจ “ฉันว่านี่มันไม่ใช่นะอเล็กซ์”
“ถูกแล้วล่ะครับ” เด็กชายผมทองพยักหน้า เอานิ้วชี้ตัวพิมพ์เล็กๆ ที่บอกชื่อเจ้าของผลงาน “นี่ไงฮะ…ชื่อแด็ด”
ชาร์ลส์อ่าน…ตัวอักษรนั้นเป็นชื่อเต็มของอีริคจริงดังว่าเสียด้วย เขาจึงได้แต่พูดอย่างงุนงง “ไม่สิ…เขากำลังเขียนเรื่องที่มีคนสองคนไปเที่ยวด้วยกันอยู่นี่ แบบนั่งรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันน่ะ…ไม่ใช่แนวฆาตกรรมอะไรแบบนี้ซะหน่อย”
“ไม่ใช่แน่ๆ ครับ…นิตยสารนี้รับแต่เรื่องฆาตกรรมเท่านั้นครับ” อเล็กซ์ส่ายหน้าแข็งขัน ก่อนจะเสริม “แด็ดไม่ได้เขียนให้นิตยสารอื่นนอกจากเล่มนี้เลย แถมที่คุณเล่ามา…แด็ดไม่เขียนอะไรหวานๆ ทำนองนั้นหรอกครับ”
ชาร์ลส์รู้สึกเหมือนโดนคำพูดของเด็กชายแทงใจดำรัวๆ…รีบพูดเร็วปรื๋อ
“มันไม่หวานซะหน่อย…ใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ!” ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นการบอกเล่า…ไม่ใช่การแก้ตัวแต่อย่างใด “มันก็แค่นั่งรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเองนะ…”
“สองต่อสองเนี่ยนะครับ?” อเล็กซ์ถามแทรก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ผมว่าตีลังกาฟังมันยังโรแมนติกเลย…ถ้าผมจะไปไหนแบบนี้กับใครสักคน ก็ต้องเป็นแฟนเท่านั้นแหละครับ”
ชาร์ลส์เถียงไม่ออก…นั่นจึงเปิดช่องให้หนุ่มน้อยได้เอ่ยประโยคปิดท้าย
“เพราะฟังยังไงมันก็คือเดทชัดๆ เลยนี่ครับ”
หลังจากโจมตีด้วยคำพูดโดยไม่รู้ตัวจนเขาแพ้ราบคาบแล้ว…อเล็กซ์ก็เดินกลับไปหาน้องๆ ที่รออยู่ด้านนอก ทิ้งให้ชาร์ลส์ได้แต่โวยวายอยู่ในใจ…อยากจะเขย่าคอคนเจ้าเล่ห์ที่บ้านยิ่งนัก
ให้ตายเถอะ! สรุปว่านี่เขาโดนหลอกมาตลอดเลยใช่ไหมเนี่ย?!
แต่แล้ว จากที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในทีแรก…เรียวปากสีเรื่อก็เม้มแน่น ขัดเขินกับความคิดถัดมา เพราะสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าการรู้ว่าตัวเองโดนหลอก ก็คือการที่ถึงจะรู้ดีว่าตัวเองโดนหลอก…เขาก็ยังคงดีใจที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันมากกว่าจะรู้สึกโมโหอีริคอย่างที่ควรแบบนี้
บ้าที่สุด…ช่วยบอกเขาทีเถอะว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริง…
ชาร์ลส์นึกหวังแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ…คำขอนี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in