Chapter 9
หลังจากที่ทุกอย่างเป็นอันตกลงเรียบร้อยแล้ว…โลกิก็จัดการขนข้าวของจากร้านตัวเองไปที่ร้านแพนเค้กตรงอีกฝั่งถนนทันที แต่ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว…ชายหนุ่มผมทองต่างหากที่เป็นคนจัดการถือทุกอย่าง สิ่งเดียวที่เขาทำคือคอยชี้นิ้วสั่งเท่านั้น
เขาไม่ได้เอาเปรียบเลยนะ…มันเป็นหน้าที่ของคนที่แข็งแรงกว่าในการต้องช่วยเหลือคนผอมบางแรงน้อยอยู่แล้วนี่
โลกิหาอีกเหตุผลในการกินแรงให้ตัวเองอย่างไม่รู้สึกผิดสักนิดด้วยข้อเท็จจริงว่ามันไม่ได้มีของให้ขนเยอะแยะเลย…เพราะพวกตู้แช่ทั้งหลายแหล่เป็นของธานอส สิ่งที่เหลือจึงเป็นแค่เครื่องครัวไม่กี่อย่างกับวัตถุดิบที่เหลือค้างอยู่ในตู้เย็นนิดเดียวเท่านั้นเอง…ใช้เวลาขนแค่ไม่กี่รอบก็หมดแล้ว
“ถือนี่ด้วย” เสียงทุ้มหวานสั่ง วางบรรดาทัพพีและที่ตีไข่ไฟฟ้าลงในหม้อเปล่าที่ร่างสูงอุ้มอยู่…เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเยอะหลังจากที่ปัญหาเครียดๆ หมดไปแถมได้ชี้นิ้วสั่งเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ให้ทำงานหนักๆ แบบนี้ ถามต่อไปงั้นให้ดูมีมารยาท “หนักไปไหม?”
“ไม่ๆ…เอามาสิ มีอะไรอีกรึเปล่า?” อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้ม โลกิต้องห้ามไม่ให้ตัวเองทำสีหน้าขัดใจออกมา…ถ้าเป็นตัวเขา ของเยอะขนาดนี้คงได้มีการขนอีกรอบสองรอบแน่นอน แต่เจ้าบ้านี่กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด
“หมดแล้วล่ะ มีแค่นี้แหละ” โลกิตอบ ปิดพร้อมล็อคประตูร้าน…รอเตรียมคืนกุญแจให้เจ้าของ สิ่งที่เขาต้องถือมีแค่เพียงกล่องกระดาษจากเมื่อเช้าและชามไม่กี่ใบ เมื่อข้ามถนนมาถึงหน้าร้านแพนเค้ก…มือบางก็ผลักประตูให้เปิดค้าง รอให้ร่างสูงก้าวเข้ามาก่อนแล้วจึงปิดมัน
เมื่อวางของในมือลงแล้ว…โลกิก็มองสำรวจรอบร้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบเข้ามาที่นี่ พื้นที่ของร้านนี้ใหญ่กว่าร้านของเขาก็จริง แต่การจัดร้านไม่ได้ต่างกันนัก…ครัวโดนกั้นไว้หลังเคาท์เตอร์ มีตู้แช่ไอศกรีมตั้งบนพื้น…มันว่างเปล่าและไม่ได้เสียบปลั๊กไว้ โต๊ะสำหรับลูกค้าถูกจัดวางให้มีที่ว่างตรงหน้าเคาท์เตอร์…ซึ่งโลกิมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันเป็นพื้นที่สำหรับการยืนต่อคิวซื้อแพนเค้กแบบเร่งด่วนในตอนเช้า
ชายหนุ่มผมทองเดินอ้อมไปหลังเคาท์เตอร์เพื่อวางบรรดาเครื่องครัวของเขาลงบนโต๊ะครัว โลกิจึงขยับตามไปยืนข้างๆ พร้อมถาม
“ให้ฉันทำไอติมเลยไหม?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “นายทำได้เลยเหรอ?”
“ก็น่าจะได้นะ” นัยน์ตาสีเขียวกวาดตามองวัตถุดิบที่มีคร่าวๆ พร้อมคาดคะเน “อาจจะไม่เยอะมาก…แต่ก็น่าจะได้อยู่ล่ะ”
“งั้นเหรอ…” คนฟังดูตื่นเต้นเล็กๆ…ประกายสนุกสนานฉายอยู่ในแววตา “งั้นทำรสอะไรดีล่ะ? ช็อคโกแล็ตก็ดีนะ หรือว่าสตรอเบอร์…”
“ฉันจะทำรสวานิลลา” โลกิตัดบททันที ไม่ได้จงใจจะกวนโมโหแต่อย่างใด…เขาเลือกรสไอศกรีมตามอารมณ์เสมอ และตอนนี้ก็รู้สึกอยากทำไอศกรีมวานิลลาขึ้นมา รีบพูดเสียงนุ่มนวลเพื่อปิดกั้นการถกเถียง “ฉันว่ารสนี้ดีกว่านะ…ไอติมวานิลลามันเข้ากับแพนเค้กจะตาย”
“อืม…นั่นสิ” คนฟังพยักหน้าอย่างเห็นภาพตาม…ดูจะไม่ได้รู้สึกโมโหที่โดนขัดคอสักนิด “มีอะไรที่ฉันช่วยได้มั่งมั้ย?”
โลกิส่ายศีรษะ…ไม่ใช่ว่าคิดจะทำหน้าที่ตัวเองแบบให้คุ้มค่าจ้างแต่อย่างใด หากขั้นตอนแรกนั้นมีแค่เพียงเตรียมคัสตาร์ดที่ไม่ได้หนักหนาอะไร เขาเตรียมแผนการใช้แรงงานอีกฝ่ายไว้แล้วล่วงหน้าสำหรับตอนที่ต้องตีวิปปิ้งครีม
ในเมื่อมีคนให้ใช้ เรื่องอะไรจะต้องเหนื่อยเองจริงไหม…?
เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ ชายหนุ่มผมทองจึงเดินออกจากโซนครัวไป ลากเก้าอี้จากโต๊ะที่จัดให้ลูกค้ามานั่งมองจากอีกฝั่งเคาท์เตอร์…นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องการเตรียมข้าวของอย่างสนอกสนใจ
ชายหนุ่มผมดำใช้เวลาไม่นานในการมองหาว่าอะไรอยู่ตรงไหน เขาจัดการตั้งหม้อแล้วใส่นมสดลงไปอุ่น ใช้เวลาระหว่างรอในการขูดเม็ดและหั่นฝักวานิลลา ดับเตาตอนที่เห็นว่านมสดร้อนได้ที่ ตอกไข่พร้อมใส่น้ำตาลในชามอีกใบ…เทนมอุ่นลงไปผสมหลังจากที่ตีไข่จนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ชายหนุ่มใช้เวลาจัดเตรียมหม้อที่จะใช้ต้มสักครู่…แล้วในไม่กี่อึดใจถัดมา กลิ่นวานิลลาคัสตาร์ดก็หอมอบอวลเต็มห้อง
“กลิ่นน่ากินจัง” ชายหนุ่มผมทองให้ความเห็น นัยน์ตาสีฟ้าพริบพราว “เมื่อไหร่มันจะกลายเป็นไอติมเหรอโลกิ?”
เจ้าของชื่อชะงักไปด้วยประโยคนี้ ก่อนจะย้อนถามเสียงค่อยพร้อมหรี่ตานิดๆ อย่างจับผิด “นายรู้ชื่อฉันได้ไงน่ะ?”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วราวกับว่าเขาพูดเรื่องที่แสนจะแปลกประหลาดออกมา “แถวนี้มันมีคนอยู่แค่ไม่กี่คนเอง ใครๆ ก็รู้จักกันทั้งนั้นแหละ…”
ประโยคค่อยๆ เงียบหายเพราะคนพูดเริ่มเข้าใจเรื่องราว ชายหนุ่มผมดำเสหลบตาลงไปมองหม้อราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นคัสตาร์ด…ไม่ยอมตอบคำถามที่ตามมา
“นาย…ไม่รู้ชื่อฉันเหรอ…?”
โลกิไม่ยอมหันหน้าไปสบตา เขาเองก็เพิ่งคิดได้ว่าตนตกลงแชร์ห้องกับคนตรงหน้าทั้งๆ ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าตัวเลยแม้แต่ชื่อ…การกระทำที่ควรโดนประณามอย่างยิ่งตามหลักการระวังตัว แต่แน่นอนว่าในสถานการณ์ชีวิตของโลกิตอนนี้…คำว่า ‘ระมัดระวัง’ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมีได้
ความเงียบกริบในห้องชวนให้อึดอัดใจ โลกินึกภาพสายตาหมาหงอยของอีกฝ่ายได้ชัดเจนแม้จะไม่ได้หันไปมอง จึงตัดสินใจถามขึ้นเพื่อให้เรื่องจบ
“นายชื่ออะไรล่ะ?”
“…ธอร์” แม้แต่เสียงก็ฟังดูหงอยๆ ไปแล้ว “ธอร์ โอดินซัน”
“งั้นก็ฟังฉันให้ดีๆ นะธอร์…” โลกิหันมาสบตา พยายามจะไม่ทำหน้าเบื่อหน่ายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องตอนนี้ “มันไม่ใช่แค่นายโอเคมั้ย…ฉันไม่รู้ชื่อใครแถวนี้เลยสักคน เข้าใจรึเปล่า?”
โลกิไม่ได้พูดให้ละเอียดกว่าเดิมว่าที่เขาไม่สนใจจะรู้ชื่อของอีกฝ่ายก็เพราะส่วนหนึ่งมาจากความหงุดหงิดที่โดนแย่งลูกค้า ชายหนุ่มผมทองกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมกับเหตุผลที่ได้ฟัง ร่างสูงใหญ่ชะโงกข้ามเคาท์เตอร์เพื่อมองว่าส่วนผสมในหม้อหน้าตาเป็นยังไง
“นั่นนายจะทำอะไรน่ะ?” เสียงทุ้มถามอย่างสนใจเมื่อเขาถือเดินไปเอาน้ำแข็งมาใส่ชามใบใหญ่ไว้จนเต็ม แล้วจึงดับเตา
“มันต้องเย็นก่อนถึงจะแช่ได้” โลกิอธิบายสั้นๆ เพราะใช้สมาธิการเทคัสตาร์ดในหม้อลงในชามใบเล็กกว่าแล้วเอามันไปวางบนน้ำแข็ง “ทำงี้จะได้เย็นเร็วขึ้น”
ธอร์พยักหน้ารับรู้ โลกิมองอีกฝ่ายสักพักก่อนจะถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเพราะเพิ่งนึกได้
“แล้วฉันย้ายเข้าได้เมื่อไหร่เหรอ?”
อีกฝ่ายยักไหล่ ตอบเสียงสบายๆ “เมื่อไหร่ก็ได้…นายสะดวกวันไหนก็ตามใจเลย”
“โอเค…” นิ้วเรียวจิ้มๆ ขอบชามใส่คัสตาร์ดเพื่อวัดอุณหภูมิ ก่อนจะยกมันขึ้นจากชามน้ำแข็ง เดินไปเปิดตู้เย็นแล้ววางมันเข้าไป “งั้นวันนี้เลย”
“วันนี้เลย?” ประโยคเดิมโดนย้อนกลับมาในน้ำเสียงคำถาม…โลกิรู้ดีว่ามันรวดเร็วชนิดไม่ให้เวลาอีกฝ่ายตั้งตัว แต่เขาอยากจะคืนห้องให้ธานอสอย่างไวที่สุด…จะได้ไม่ต้องติดต่ออะไรกับทางนั้นเสียที
“อืม วันนี้แหละ…ได้รึเปล่า?” เสียงทุ้มหวานถาม ปิดประตูตู้เย็นแล้วเดินอ้อมเคาท์เตอร์ออกมา…ยังไงเสียก็ต้องแช่คัสตาร์ดไว้อย่างน้อยสี่ชั่วโมงหรือทางที่ดีคือหนึ่งคืน และข้าวของในอพาร์ตเมนท์ของเขาก็มีแค่นิดเดียวด้วย
เจ้าของห้องดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไร…แค่ยักไหล่แล้วตอบง่ายๆ เหมือนเดิม
“ได้สิ…บอกแล้วไงว่าตามใจนาย”
*****
“เข้ามาสิ”
โลกิพูดเชิญเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผมทองยังยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้อง…หลังจากที่บอกว่าจะย้ายของ เขาก็เดินนำอีกฝ่ายมาที่อพาร์ตเมนท์ของตัวเอง ร่างบางไขกุญแจแล้วก้าวฉับๆ เข้าห้องตามความเคยชิน แต่ก็ต้องย้อนกลับไปกวักมือให้อีกฝ่ายเดินตามเข้ามา…ไม่เข้าใจว่าร่างสูงจะต้องรอให้เขาอนุญาตในทุกเรื่องเลยหรือไง
“ขอบใจ” ธอร์ยิ้มให้หลังจากที่ได้ฟัง…รอยยิ้มจริงใจที่ทำให้โลกิรู้สึกอยากจะชกหน้าเจ้าของสักทีโทษฐานหล่อเกินไป ร่างสูงใหญ่ทำให้ห้องที่เล็กอยู่แล้วดูเล็กเข้าไปอีก นัยน์ตาสีฟ้ามองนั่นนี่อย่างสนอกสนใจก่อนจะพูดเสียงชื่นชม
“ห้องนายเป็นระเบียบดีจัง”
โลกิยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าแน่อยู่แล้ว…เขาทนอะไรที่ไม่สะอาดสะอ้านหรือไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ได้เลยสักนิด มือเรียวลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากในตู้ เริ่มจัดการพับเสื้อผ้าทั้งหมดที่มีใส่ลงไป จัดเรียงข้าวของอย่างอื่นให้พื้นที่ในกระเป๋าได้รับการใช้สอยอย่างมีประโยชน์ที่สุด ใช้เวลาเก็บของแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะไม่มีอะไรมากมายเลย
ธอร์เอากระเป๋าไปถือให้หลังจากที่เขาปิดมันเรียบร้อย (โลกิไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาก็กะจะไม่ถือเองอยู่แล้ว) ชายหนุ่มผมดำจัดการคืนกุญแจห้องให้กับผู้ดูแลตึกที่เป็นคนของธานอส แล้วทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปทางอพาร์ตเมนท์ของธอร์…มันไม่ได้ไกลจากร้านแพนเค้กนัก ตัวตึกเป็นเหมือนอพาร์ตเมนท์ระดับปานกลางทั่วไป…บันไดวนแคบๆ เป็นสี่เหลี่ยมตามโครงสร้างตึกและหนึ่งชั้นมีห้องเพียงไม่กี่ห้อง
“ถึงแล้ว~”
โลกิไม่ได้สนใจจะมีทีท่าเริงร่าตื่นเต้นอย่างเจ้าของห้องสักนิด ร่างเพรียวเดินฉับๆ ผ่านประตูเข้าไปทันที มองไปรอบห้องเพื่อเก็บรายละเอียด…อพาร์ตเมนท์นี้ใหญ่กว่าอพาร์ตเมนท์ของเขาหลายเท่า ห้องส่วนกลางโดนแบ่งโซนเป็นครัวพร้อมโต๊ะอาหารมุมหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือตรงกลางห้องที่โดนแบ่งด้วยการสร้างให้เป็นยุบลงไปแล้วมีบันไดขั้นเตี้ยๆ สองสามขั้น…มันมีโทรทัศน์และโซฟาหนานุ่มตัวโตวางอยู่ ผนังด้านตรงข้ามกับประตูเป็นระเบียงที่มองออกไปเห็นตึกอีกฝั่ง
“เป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มถาม…เห็นได้ชัดว่าหวังอยากให้คนข้างตัวกำลังรู้สึกดีใจอยู่ “โอเคมั้ย?”
จากการมองโดยรวมแค่นี้…โลกิคงจะตัดสินว่ามันโอเคใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าไม่ติดที่ว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยข้าวของที่โดนวางไว้ตามมุมแบบไม่เป็นระเบียบ…โต๊ะหน้าโซฟามีแมกกาซีนกับหนังสือพิมพ์พับๆ วางไว้ ตรงมุมครัวมีกระป๋องเบียร์เปล่าวางกระจุกไว้รอทิ้งและถ้วยกาแฟโดนวางค้างไว้ในอ่างล้างจาน บนโต๊ะอาหารมีกองซองจดหมายและแผ่นใบปลิวที่โดนทับไว้ด้วยกระถางต้นไม้ที่ใบเขียวๆ เหี่ยวเฉาในระดับอันตรายแล้ว
ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าพูดกันตามจริง…ห้องนี้เรียกได้ว่าเรียบร้อยมากแล้วสำหรับห้องของหนุ่มโสด แต่สำหรับโลกิที่เห็นว่าการมีของวางไม่เป็นระเบียบหรือมีฝุ่นแม้แต่มิลลิกรัมเดียวในห้องนั้นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ที่สุดในโลกแล้ว…ภาพตรงหน้าไม่ได้ต่างอะไรกับห้องที่มีกองขยะสุมอยู่จนเต็มล้นสักนิดเดียว
“ไม่!” โลกิแทบจะคำรามออกมา…เพียงแต่มันดูเหมือนแมวที่โมโหจนขนฟูมากกว่าสิงโต “มันไม่โอเคสักนิดเดียว!! นายคิดจะให้ฉันมาอยู่ในห้องรกๆ แบบนี้เรอะ?!!”
เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ทำหน้างงๆ แบบเดิมอีกครั้ง ถามแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “นี่มันไม่รกสักหน่…”
“มันรก!! แล้วก็รกมากด้วย!!” โลกิตวัดเสียงแทรก อารมณ์อยากทำลายข้าวของพุ่งปรี๊ดใหม่ “ทำความสะอาด…เก็บกวาดเลย…เดี๋ยวนี้!!”
ชายหนุ่มผมทองทำหน้ามุ่ย แต่เขาไม่สนใจ…ถือวิสาสะก้าวฉับๆ ไปเริ่มต้นจัดกองแมกกาซีนกับหนังสือพิมพ์ตรงโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนจะชี้นิ้วสั่งอีกฝ่ายราวกับว่านี่เป็นห้องตัวเอง “อย่ามายืนเฉยๆ…ไปปัดฝุ่นเลย”
“ปัดทำไม? ใช้เครื่องดูดฝุ่นไปเลยสิ” ธอร์แย้งเสียงงงๆ
“อย่างนั้นมันจะสะอาดมั้ยหา?!” โลกิรู้สึกอยากจะเอาหน้าหล่อๆ นั้นปาดฝุ่นตามหลังโทรทัศน์สักที “ปัดก่อนแล้วค่อยใช้เครื่องดูดฝุ่น…เร็วๆ เลย”
เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ยอมทำตามที่โดนสั่งโดยดีแม้จะเห็นได้ชัดว่าไม่อยาก…เจ้าตัวค้นเอาไม้ปัดขนไก่มาแล้วเริ่มงานด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ตามสไตล์หมาหงอย โลกิจัดการเก็บทุกอย่างให้อยู่ในที่ที่ (เขาตัดสินตามใจตัวเองว่า) ควรอยู่อย่างรวดเร็วผิดกับอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มย้ายตัวเองไปในส่วนอื่น…สังเกตเห็นว่านอกจากห้องตรงส่วนกลางนี้แล้ว ยังมีห้องแยกไปอีกสองห้อง…ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่ามันคงจะเป็นห้องนอนทั้งคู่ แต่มันกลับเป็นห้องนอนกับห้องน้ำต่างหาก
โลกิเริ่มสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ ได้แต่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปแล้วก้าวผ่านประตูห้องนอนเข้าไป กวาดตามองเพียงชั่ววินาทีก่อนจะแทบกระแทกเท้าโครมๆ ออกมา นัยน์ตาสีน้ำทะเลแทบจะลุกเป็นไฟ
“นาย!!” เขาต้องห้ามตัวเองในการจะไม่เขย่าคอคนตรงหน้า…เพราะนอกจากความไร้สติของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าตัวก็กำลังเปิดแมกกาซีนเก่าๆ อ่านเล่นแทนจะปัดฝุ่นอยู่ด้วย “นายคิดจะให้ฉันนอนที่ไหนหา?!”
“ก็ในห้องนอนไง” วงหน้าหล่อคมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายโมโหอะไร “ฉันไม่ได้จะให้นายนอนบนโซฟาหรอก…นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไง?”
ก็คนงี่เง่าที่ออกปากชวนคนอื่นมาอยู่ด้วยทั้งๆ ที่ในห้องมีแค่เตียงเดียวไง!!
“ในห้องมันมีเตียงแค่เตียงเดียว!” โลกิรู้สึกว่าทุกอย่างของคนตรงหน้าช่างกวนประสาทเขาได้ในทุกทาง “แล้วถ้านายไม่ได้สังเกต…พวกเรามีกันสองคน! จะนอนยังไงไม่ทราบ?”
ความจริงแล้ว…เตียงในห้องก็ไม่ได้เล็กเลยสักนิด แต่โลกิรู้ดีว่าการได้นอนข้างๆ คนที่ฮอตถูกสเป็คตนทุกคืนไม่ใช่การดีกับกฎเหล็กที่ตั้งไว้กับตัวเองเลย เขาจึงหวังสุดใจว่าจะไม่ได้ยินประโยคถัดมา
“ก็นอนด้วยกันไง” คนพูดยักไหล่ ก่อนจะหน้าแดงเมื่อคิดได้ว่าประโยคชวนเข้าใจผิดแค่ไหน “คือ…ฉันหมายความว่านอนข้างๆ กันน่ะ ไม่ใช่เรา…”
“ฉันรู้น่า!!” โลกิตัดบททันทีอย่างจะบ้าตาย ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะหน้าร้อนๆ ตามไปด้วยทำไม ก่อนจะโวยวายอีกรอบเพื่อไล่บรรยากาศเขินๆ ที่แสนจะงี่เง่านี้ “แล้วนายคิดจะบอกฉันซักคำมั้ย?! นี่ฉันนึกว่านายมีห้องนอนเหลือนะถึงได้ตอบตกลงน่ะ!”
“อ้าวเหรอ…” สายตาหมาหงอยกลับมาอีกครั้ง เสียงทุ้มมีความเสียใจปนชัด “ฉันขอโทษ…งั้นเดี๋ยวฉันนอนโซฟาก็ได้…”
“มันไม่ใช่แบบนั้น…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายรู้สึกแย่…โลกิก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงวีนต่อไม่ออก “ฉันนอนกับนายได้น่า ฉันโอเคอยู่แล้ว แต่…”
ประโยคหายไปในความเงียบเพราะคนพูดเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ทั้งคู่สบสายตาปริบๆ กันในบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกเขินอย่างไม่ควรจะเป็น ก่อนที่โลกิจะรีบดึงสติตัวเองกลับมาด้วยการย้ำกฎเหล็กในใจรัวๆ
ห้ามตีสนิท! ห้ามหวั่นไหว! ห้ามรู้สึกแปลกๆ!
“นอนแบบนอนข้างๆ กัน!! แบบไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นน่ะ!!” ชายหนุ่มผมดำไม่รู้ว่าอพาร์ตเมนท์นี้จะทนแรงสั่นสะเทือนจากเสียงตะโกนของเขาได้แค่ไหน…แต่ก็ไม่ได้สนใจ เขารีบตัดบทเพื่อจบบทสนทนาที่ทำให้ใจปั่นป่วนนี่ลงเสียที “ให้ตายเถอะ! เอาเป็นว่าฉันไม่ได้โมโหอะไร แต่วันหลังนายช่วยบอกให้มันเคลียร์…แค่นั้นแหละ!”
โลกิไม่ได้อยู่รอดูว่าธอร์จะตอบอย่างไร เขารีบเดินหนีไปล้างถ้วยกาแฟแทน…หวังจะใช้การประจันหน้ากับกำแพงในการซ่อนสีแดงบนผิวแก้มของตน แอบถอนหายใจยาวๆ ตอนที่ได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นทำงาน ความปกติเริ่มกลับมาในบรรยากาศ…และเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้มันหายไปอีก
ใช้เวลาตลอดบ่ายจนเกือบเย็น…แล้วในที่สุดทั้งห้องก็สะอาดเอี่ยมตามมาตรฐานของโลกิ ธอร์เสนอตัวไปซื้ออาหารเย็น ทิ้งให้เพื่อนร่วมห้องคนใหม่นั่งคอย…ชายหนุ่มผมดำเหนื่อยจนแทบจะหลับซบไปกับโซฟาแล้ว เพราะไม่ไว้ใจความขี้เกียจของคุณเจ้าของห้องที่ชอบคิดว่า ‘ทำแค่นี้ก็สะอาดพอแล้วล่ะน่า’…เขาจึงแทบจะทำทุกการปัดกวาดเช็ดถูเองทั้งหมด ส่งผลให้ตอนนี้ชายหนุ่มอยากจะอาบน้ำแล้วนอนเลยมากกว่ารอทานอาหารเย็นด้วยซ้ำ
เสียงเคาะประตูทำให้โลกิลุกขึ้นมาเปิด ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาพร้อมถุงกระดาษใบใหญ่ในมือ กลิ่นอาหารทำให้โลกิพบว่าตัวเองคิดผิด…ตอนนี้เขาอยากทานข้าวมากกว่านอนแล้ว
“เอ้านี่…บะหมี่ของนาย” ธอร์วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะอาหารแล้วหยิบกล่องกระดาษสีขาวจากร้านอาหารจีนมาให้ “ไม่ใส่ขิงแล้วก็ไม่เผ็ด…ถูกมั้ย?”
โลกิพยักหน้าว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบตะเกียบมาหักแบ่ง ยอมห้ามใจไม่ทานก่อนแล้วรอให้อีกฝ่ายจัดอาหารของเจ้าตัวใส่จานบ้าง
“น่ากินจัง…” เสียงทุ้มหวานให้ความเห็นแบบไม่ประชดใดๆ…ไก่ทอดสีทองอร่ามส่งกลิ่นน่ากิน บอกให้รู้ว่าเพิ่งทอดใหม่ๆ
“มันอยู่ข้างๆ ร้านบะหมี่นายเลยน่ะ ฉันเห็นแล้วเลยอยากกิน” ธอร์ยิ้ม เลื่อนจานให้มาชิด “เอามั้ย?”
โลกิส่ายศีรษะ “ฉันไม่ชอบไอ้แป้งกรอบๆ นั่น…นายกินเถอะ”
ธอร์พยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจแล้วดึงจานกลับไป โลกิเริ่มต้นจัดการบะหมี่ผัดของตัวเอง…ความหิวทำให้เขาแทบไม่ได้เงยหน้าจากอาหารจนกระทั่งได้ยินเสียงถาม
“แบบนี้โอเคกว่าไหม?”
ภาพที่เห็นคือน่องไก่ทอดที่ปลายส้อม…แป้งกรอบๆ ตรงด้านนอกโดนลอกออกหมดเพื่อให้ถูกใจตามคำกล่าวของเขา โลกิชะงักก่อนจะมองหน้าชายหนุ่มผมทอง…พยายามกลั้นความรู้สึกอยากจะสครีมโฮกๆ ออกมากับการกระทำนี้
เกินไปแล้ว…นี่มันน่ารักอบอุ่นเกินไปแล้ว…
“อะ อืม…ขอบใจนะ” เขาเลื่อนกล่องบะหมี่ตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายได้วางน่องไก่ลงมา ก่อนจะเริ่มทานอาหารใหม่อีกครั้งด้วยสติที่แตกเป็นชิ้นๆ ไปแล้วเรียบร้อย อยากชกหน้าชายหนุ่มผมทองเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว…เพราะไอ้โกลเด้นรีทรีฟเวอร์งี่เง่านี่กำลังทำให้มาตรการกฎเหล็กของเขาพังไม่เป็นท่า
ห้ามตีสนิท! ห้ามหวั่นไหว! ห้ามรู้สึกแปลกๆ!
โลกิย้ำรัวๆ กับตัวเอง พยายามไม่สนใจเสียงเล็กๆ ในหัวที่กระซิบว่า…ท่าทางจะสายไปเสียแล้ว
*****
ร้านแพนเค้กเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า
พวกเขาทั้งคู่มาถึงร้านก่อนเวลาเพื่อเตรียมข้าวของ…ธอร์เริ่มการผสมแป้งแพนเค้กจำนวนมหาศาล ซึ่งมันก็เป็นภาพที่น่าสนใจดีถ้าโลกิมีเวลาดู…เพียงแต่เขาเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน ชายหนุ่มผมดำจัดการเอาวิปปิ้งครีมออกมาตี (เขาเซ็งเล็กน้อยที่อดใช้แรงงานอีกฝ่ายในจุดนี้อย่างที่วางแผนไว้ทีแรก)
หลังจากที่ครีมสีขาวขึ้นฟูแล้ว ร่างเพรียวก็จัดการเทคัสตาร์ดที่แช่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนผสมลงไป ตีต่อให้เข้ากันจนได้เนื้อไอศกรีมนุ่มเนียน…เขามองผลงานของตัวเองอย่างภูมิใจเล็กๆ แล้วจัดการแช่ทั้งชามเข้าในช่องฟรีซ ตามขั้นตอนสุดท้ายนี้ต้องรออย่างน้อยอีกชั่วโมง…นั่นจึงทำให้โลกิมีเวลาไปด้อมๆ มองๆ อีกฝ่ายที่กำลังเตรียมแป้งแพนเค้กอยู่
“ว่าไง”
ธอร์ทักยิ้มๆ ตอนที่เห็นเขาชะโงกหน้ามา…แป้งส่วนหนึ่งเสร็จเรียบร้อยและอยู่ในกล่องทัพเพอร์แวร์ใบใหญ่ ชายหนุ่มผมทองกำลังผสมอีกส่วนอยู่…การได้ตีแป้งสีขาวเต็มชามแบบนี้ดูน่าสนุกอย่างบอกไม่ถูก โลกิจึงเอ่ยขอตรงๆ
“ขอฉันลองทำบ้างสิ”
ธอร์ไม่ขัดใจเขาด้วยการยื่นตะกร้อที่ใช้มาให้ โลกิเริ่มการตีผสมแป้งแพนเค้ก…มันต้องใช้แรงกว่าตอนตีวิปปิ้งครีมเพราะน้ำหนักที่เยอะกว่า ทำได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเมื่อยแล้ว
“แป็บนึง…ใส่นี่ก่อน” ธอร์เอื้อมไปหยิบถ้วยที่ใส่ไข่ไก่ที่ตอกแล้วมาเทลงไปในชามแป้ง ตามด้วยน้ำมันนิดหน่อยและนมสด “โอเค…ตีต่อเลย”
โลกิพยายามคนให้ทุกส่วนผสมเข้ากันเต็มความสามารถ แต่ก็ได้รู้ชัดแล้วว่าการตีแป้งแพนเค้กเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ชายหนุ่มผมทองเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าแขนของเขาเริ่มขยับอืดลงเรื่อยๆ
“อย่าสิ…อย่างนั้นมันไม่เข้ากันพอดี”
ก่อนที่จะทันได้รู้ตัว…ร่างสูงก็ขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่รวบมือของเขาไว้แน่น…โลกิไม่ได้สนใจแล้วว่าตอนนี้แป้งแพนเค้กกับส่วนผสมใหม่เข้ากันไปถึงไหน เพราะสิ่งเดียวที่เขารับรู้คือมือของอีกฝ่ายที่ยึดจับมือของเขาไว้อยู่ สัมผัสอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ…ท่อนแขนที่แนบชิดกันบอกให้รู้ว่าตอนนี้พวกเขาใกล้กันมากแค่ไหน
ท่องกฎเหล็กเดี๋ยวนี้เลย…ห้าม ห้าม…
โลกิพบว่ากฎเหล็กที่ตัวเองย้ำนักหนาว่าห้ามละเมิดโดนลืมไปหมดแล้วในวินาทีนี้…เขาอยากเอาหัวตัวเองฟาดกับอะไรก็ได้เพื่อให้เลิกรู้สึกบ้าบอแบบนี้เสียทีแต่แน่นอนว่าทำไม่ได้ นึกขอบคุณเทวดาแทบหมดสวรรค์เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าประตูดังกรุ๊งกริ๊ง…สัญญาณว่ามีลูกค้ามาและอีกฝ่ายต้องผละออกไป
โลกิวางตะกร้อที่ใช้ตีแป้งลงในมือเมื่อเห็นว่าได้เวลาต้องไปดูไอศกรีมแล้ว ร่างโปร่งหยิบชามที่เย็นเฉียบออกมาจากช่องฟรีซ…ไอศกรีมสีนวลหอมกลิ่นวานิลลาดูดีไร้ที่ติ เขาหาส้อมมาจากลิ้นชักแล้วเริ่มต้นจิ้มให้มีฟองอากาศเข้าไปแทรกในเนื้อไอศกรีมเพื่อเพิ่มความนุ่มลิ้น
ธอร์เดินผ่านเขาไปที่เตาทอดแพนเค้ก…ได้ยินเสียงตั้งกระทะและกลิ่นไหม้นิดๆ ลอยตามมา โลกิเหลียวมองว่าใครเป็นลูกค้าคนแรกของวัน ขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าเปี๊ยกสามคน
“อ้าว! พี่มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย?” เจ้าหนูผมแดงถามอย่างงงๆ…สีหน้าที่ไม่ได้ต่างกับพี่น้องอีกสองคนสักเท่าไหร่
“ฉันขายไอติมในร้านนี้แล้ว” โลกิตอบ มือยังคงจิ้มเนื้อไอศกรีมในชามที่ถือไว้
“ฟังแล้วน่ากินจังฮะ…แพนเค้กกับไอติมท่าทางจะเข้ากัน” เด็กชายใส่แว่นยิ้ม ก่อนจะถามต่อ “สั่งเลยได้มั้ยฮะ?”
ชายหนุ่มผมดำส่ายศีรษะ…ไอศกรีมยังต้องใช้เวลาแช่อีกอย่างน้อยก็หนึ่งวัน “คงได้พรุ่งนี้ล่ะ…วันนี้ยังไม่เสร็จหรอก”
หนุ่มแว่นพยักหน้าแบบเข้าใจปนผิดหวังนิดๆ…แต่ก็ตาวาววับใหม่ตอนที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มผมทองดังมา
“แพนเค้กเสร็จแล้ว~”
สามหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจกับการที่เสียงทุ้มโดนดัดให้ฟังดูแล้วเหมือนซานตาครอส แต่สิ่งที่โลกิสนใจมากกว่าคือแพนเค้กในมืออีกฝ่าย…เขาไม่ได้ทานอาหารเช้ามาเพราะตอนนั้นยังไม่หิว ตอนนี้ท้องจึงร้องโครกครากกับกลิ่นแพนเค้กทอดใหม่หอมยั่วใจ
“น่ากินจัง…”
เจ้าของเสียงเปรยไม่ได้รู้เลยว่านัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลของตัวเองตอนนี้กำลังมองตามจานแพนเค้กด้วยสายตาเหมือนลูกหมาน้อย…แต่แน่นอนว่าคนตรงหน้าอย่างชายหนุ่มผมทองเห็นชัดเจน มือใหญ่จึงหยิบส้อมที่วางเคียงในจานขึ้นแล้วตัดเอาแพนเค้กขึ้นมาจ่อปากเรียวสีชมพูให้
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้กินข้าวเช้า? ดื้อนักนี่…ตอนนี้ก็ต้องหิวล่ะ” เสียงทุ้มดุนิดๆ เหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็ก แต่ก็อมยิ้มนุ่มนวลนิดๆ “กินนี่ไปเลย…แล้วครั้งหน้าห้ามไม่ยอมกินแล้วนะ”
โลกิทำหน้ามุ่ยใส่คนที่ดุตัวเอง แต่ก็งับชิ้นแพนเค้กโดยดี…ความนุ่มของแป้งและรสชาติของเมเปิ้ลไซรัปปนกับเนยร้อนๆ ทำให้เผลอส่งเสียงอืออาออกมา
อร่อยสุดๆ ไปเลยให้ตายสิ…
“แล้วนี่ไอติมเหรอ?” ชายหนุ่มผมทองก้มหน้ามองชามในมือเขา โลกิจึงพยักหน้าหงึกๆ…กลืนแพนเค้กแล้วอธิบายสั้นๆ
“ต้องแช่อีกพักนึงเลย แต่ก็เป็นไอติมแล้วล่ะ”
“เจ๋ง~” นัยน์ตาสีฟ้าวาววับ ก่อนจะของ่ายๆ “ชิมได้รึเปล่า?”
ด้วยความที่อารมณ์ดีจากแพนเค้กอร่อยๆ…ชายหนุ่มผมดำจึงไม่คิดจะทำตัวนิสัยไม่ดีในตอนนี้ เขายอมเอาส้อมในมือตักไอศกรีมขึ้นมาป้อนให้อีกฝ่ายได้ทานบ้าง
“อืม…อร่อยจัง” ธอร์ให้ความเห็นง่ายๆ แต่ครบถ้วน “ทำแช่ไว้กินในห้องด้วยเหอะ…ได้มั้ย?”
โลกิพยักหน้า อีกฝ่ายขยับจะพูดอะไรต่อ…แต่ทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ จากหน้าเคาท์เตอร์
“เอ่อ…พี่ธอร์ นั่นแพนเค้กของผมไม่ใช่เหรอฮะ?”
ชายหนุ่มทั้งสองหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มีกันอยู่แค่สองคนในร้านนี้…เด็กชายสวมแว่นยืนทำหน้าตาเกรงใจ เด็กชายคนโตดูจะไม่ได้สนใจอะไร ส่วนเด็กชายผมแดงกำลังทำหน้าหน่ายใจปนเซ็งๆ อยู่
“เอ่อ…นั่นสิ…” ธอร์เพิ่งคิดได้ว่าแพนเค้กที่ป้อนให้คนตรงหน้าทานไปแท้จริงแล้วคือแพนเค้กที่เด็กชายสั่ง เสียงทุ้มรีบพูดรวดเร็ว “โทษทีนะแฮงค์…เดี๋ยวพี่ทอดให้ใหม่นะ”
ว่าจบ ชายหนุ่มก็ส่งจานให้ร่างบาง แล้วรีบก้าวยาวๆ ไปเพื่อทอดแพนเค้กอันใหม่ โลกิหันไปวางมันลงตรงโต๊ะครัว…ข้ออ้างเพื่อที่จะได้หันหลังให้สายตาสามคู่จากเคาท์เตอร์ นึกอยากเขกหัวตัวเองรัวๆ กับเรื่องที่เพิ่งเกิด
ให้ตายเถอะ! เมื่อกี้มันบ้าอะไรกัน?!
แว่วเสียงธอร์เดินเอาจานแพนเค้กไปให้สามหนุ่ม…เด็กชายสวมแว่นยังพูดคุยอะไรต่ออีกนิด แต่โลกิไม่ได้สนใจเพราะได้ยินเสียงของเด็กชายผมแดงที่คุยกับพี่ชายชัดกว่า
“เชื่อฉันเหอะ…เหมือนกับที่เรามีที่บ้านอ่ะ”
มีอะไรที่บ้านวะ????!!!!
ความคิดเริ่มหยาบคายเพราะในหัวไม่เหลือสติแล้ว แต่ก็ช้าเกินไป…สามหนุ่มเดินออกจากประตูร้านไปตอนที่โลกิหันกลับมาพอดี แต่มันก็ไม่ยากที่จะคิดตาม…เจ้าเปี๊ยกสามคนนี่อยู่บ้านเดียวกัน บ้านที่มีแต่เด็กๆ…
…แล้วก็อีริคกับชาร์ลส์
“เชื่อฉันเหอะ…เหมือนกับที่เรามีที่บ้านอ่ะ”
…ที่บ้านมีอีริคกับชาร์ลส์
โลกิรู้สึกเหมือนมีหลุมดำเคลื่อนผ่านตัวเองไปวูบใหญ่ๆ และดูดเอาวิญญาณไปด้วย อยากทำลายข้าวของหรือขยำผ้าเช็ดเคาท์เตอร์สักร้อยผืนประกอบการปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ความจริง แต่ก็ทำอะไรมากไปกว่ากระซวกแพนเค้กคำใหญ่เพื่อระบายอารมณ์ไม่ได้
บ้าเอ๊ย…บ้าเอ๊ย!…บ้าเอ๊ยยยยยย!!!!
โลกิได้แต่เคี้ยวแพนเค้กงั่มๆ แล้วเอาส้อมจิ้มไอศกรีมรัวๆ…นึกโมโหทุกอย่างที่ดูจะมาขัดขวางมาตรการกฎเหล็กของเขา ย้ำกับตัวเองว่าถึงชายหนุ่มผมทองจะหล่อและฮอตแค่ไหน…แต่อย่างไรก็ต้องห้ามใจให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องยุ่งเหยิงแบบเดิมๆ ก็จะตามมา หากทุกอย่างกลับดูไม่ยอมเป็นใจให้ความสงบเกิดขึ้นเอาเสียเลย
“โลกิ…กินคำเล็กๆ สิ” เสียงติเตียนที่ดังข้างๆ ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งจนแทบทำชามไอศกรีมหลุดมือ…ชายหนุ่มผมทองรีบคว้าชามไปถือแล้วกล่าวต่อ “ถือระวังๆ สิ…แล้วไม่แช่กลับไปมันจะไม่ละลายเหรอ?”
“อะ อืม…!” โลกิบังคับให้ตัวเองพยักหน้ากลับไป “ต้องแช่สิ…ฉันว่าจะแช่กลับไปแล้วเหมือนกัน”
ร่างสูงขยับหนีเมื่อเขาจะหยิบชามคืน ส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เป็นไร…นายกินไปเถอะ เดี๋ยวฉันแช่ให้”
โลกิรีบพยักหน้าตกลงเพื่อจะได้จบบทสนทนา แต่ก็ต้องใจเต้นอีกรอบตอนที่มือใหญ่เอื้อมมาเกลี่ยตรงแก้มเขาเบาๆ…เสียงทุ้มพูดอย่างอ่อนใจกลั้วหัวเราะ
“นายกินเลอะเหมือนเด็กๆ เลย”
โลกิไม่ได้ตอบ แพนเค้กแทบติดคอกับการกระทำนี้…แต่นั่นยังไม่รุนแรงเท่ากับอีกประโยคที่ตามมาติดๆ
“ฉันดีใจจัง…” ประโยคหายไปวูบหนึ่งเพราะเจ้าตัวเปิดช่องฟรีซเพื่อแช่ชามไอศกรีมกลับไป “…ฉันดีใจจังที่มีนายมาอยู่ด้วย”
ถ้าการที่อีกฝ่ายเช็ดแก้มเขาทำให้เขาใจเต้นแรงเกินพอดีแล้ว…ประโยคนี้กับรอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ก็คงเป็นสิ่งที่หยุดทั้งหัวใจและระบบความคิด โลกิได้แต่ยืนเงียบกริบ ก่อนจะหันไปกระซวกแพนเค้กต่อทันที ในใจนึกแช่งด่าชายหนุ่มผมทองกับความเป็นจริงที่เพิ่งกระจ่างแก่ใจ
สิ่งที่ทำอันตรายกับกฎเหล็กของเขาไม่ใช่อะไรที่ไหนเลย…แต่ท่าทางจะเป็นตัวคนตรงหน้านี่เอง
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in