เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Where Our Hearts BelongTippuri~ii*
Chapter 11 — 1/2
  • Chapter 11 — 1/2

     

     

     

     

     

    ตอนนี้ธอร์เข้าใจแล้วว่าวลี ‘ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้นเพราะกลัวว่าจะตื่นแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นความฝัน’ เป็นยังไง

     

     

     

     

     

    โลกิหลับสนิทอยู่บนเตียง แก้มขาวใสเกยอยู่บนหมอน เส้นผมสีดำสนิทที่ยาวระต้นคอยุ่งเหยิงนิดๆ…บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงแอบดิ้นระหว่างหลับอยู่ไปแล้วหลายที ร่างโปร่งขยับนิดๆ ตามจังหวะลมหายใจสม่ำเสมอ…ทำให้ขนตาที่ทาบอยู่บนแก้มไหวตามไปด้วย และถึงจะกำลังหลับสนิท…คิ้วเรียวๆ ก็ดูเหมือนจะยังขมวดนิดๆ อยู่

      

     

     

     

             

    ทั้งที่ถ้ายิ้มจะต้องชวนมองมากเลยแท้ๆ…

        

     

     

     

           

    ธอร์ได้แต่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ…ยังคงไม่อยากเชื่อว่าคนที่ตนได้แต่แอบมองจากอีกฝั่งถนนมาตลอดกลับกำลังอยู่ใกล้แสนใกล้ในตอนนี้ ชายหนุ่มสะดุดตากับอีกฝ่ายตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ย้ายเข้ามาที่นี่…อาจเป็นเพราะร้านไอศกรีมนั้นอยู่ตรงข้ามถนนไปพอดี เขาจึงได้เห็นโลกิโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อยๆ…อีกฝ่ายมักมีสีหน้าเบื่อหน่ายและชอบนั่งมองนั่นนี่เรื่อยเปื่อย ทำให้ธอร์เริ่มสงสัยว่าจะมีวันไหนไหมที่เจ้าตัวจะยิ้มบ้าง และสุดท้าย…เมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็พบว่าการที่สายตาของตนมองตามชายหนุ่มผมดำเสมอไม่ใช่เรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเสียแล้ว

     

     

     

     

     

    ธอร์รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องไม่มีเหตุผลจนน่าหัวเราะ เขาจึงไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าแอบมองอยู่ห่างๆ…ถึงจะมีหลายทีที่บางการกระทำที่สังเกตได้ทำให้รู้สึกว่าตนอาจจะพอมีหวัง แต่สุดท้าย…ด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้ายที่บอกชัดว่าไม่ได้อยากจะเสวนากับใครทั้งนั้น ทุกแผนการเข้าไปทำความรู้จักจึงต้องพังลงไปเสียทุกทีเพราะธอร์ไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญตน

     

     

     

     

     

    ทุกอย่างเป็นแบบนี้ตลอดสามเกือบสี่เดือน…ธอร์จึงดีใจเสียยิ่งกว่าอะไรที่ตนเดินชนกับชายหนุ่มผมดำเมื่อหลายวันก่อน (ถึงอย่างนั้นเขาก็เสียใจนะที่อีกฝ่ายต้องล้มไปนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นเพราะตน)…อุบัติเหตุที่ทำให้เขาได้มีโอกาสคุยกับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้คาดฝัน ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองทำโอกาสที่ว่านี้พังไปครึ่งนึงได้ตอนที่เผลอตัวจับมืออีกฝ่ายแล้วพาเดินข้ามถนน…แต่ธอร์ก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผมดำยอมให้ตนซื้อไอศกรีม

     

     

     

     

     

    หากความสบายใจก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเริ่มชวนคุยแล้วได้รู้ว่าโลกิกำลังจะไม่อยู่ที่นี่…เขาตื่นตกใจมากพอที่จะเผลอหลุดปากเสนอสิ่งไร้สาระตามอย่างที่คิดออกไป นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลที่มองมานิ่งๆ ทำให้ใจเต้นแรงด้วยความวิตกกังวล…และใจเต้นแรงยิ่งกว่าเก่าตอนที่ได้ฟังประโยคง่ายๆ ที่ตอบตกลงกับข้อเสนอ

      

     

     

     

             

    ให้ตายเถอะ…การแอบชอบคนที่ไม่เคยคุยด้วยซะมากมายขนาดนี้นี่มันน่าอายชะมัดเลยนะ…

     

     

     

     

     

    ธอร์ได้แต่รำพึงในใจ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อคนที่กำลังหลับอยู่ครางฮื่อออกมาทั้งที่ไม่ได้ลืมตา…วันนี้เขาอยู่ดึกเพื่อเชียร์ทีมฟุตบอลทีมโปรด โลกิที่ไม่ได้สนใจกีฬาจึงนอนไปก่อน ทำให้เขาได้มีโอกาสเห็นอีกฝ่ายตอนหลับสนิทแบบนี้ แต่แน่นอนว่าธอร์ไม่อยากให้เจ้าตัวรู้เรื่องนี้…ร่างสูงใหญ่จึงรีบเลื่อนตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วดับโคมหัวเตียง นอนนิ่งๆ ให้ทุกอย่างดูเป็นปกติ

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมทองสัมผัสได้ว่าผ้าห่มโดนดึงไปทางอีกฝั่งเตียง แต่ถึงอย่างนั้น…เสียงพ่นลมหายใจอย่างงุ่นง่านก็ยังไม่หายไป เขากำลังเริ่มวิตกจริตว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่อีกฝ่ายเอานิ้วจิ้มๆ แขนพร้อมถาม

     

     

     

     

     

    “ทำไมมันหนาวแบบนี้หา?”

     

     

     

     

     

    ฟังแค่เสียงก็รู้ชัดว่าคนพูดกำลังทั้งง่วงและหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ที่ หากธอร์ก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี…โลกิบ่นเรื่องนี้มาตั้งแต่คืนแรกแล้ว แต่สำหรับเขา…อากาศแบบนี้มันร้อนชวนให้อยากจะปรับเครื่องปรับอากาศให้ทำอุณหภูมิต่ำลงด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

    “ไม่หนาวนะ” ชายหนุ่มผมทองพูดเสียงค่อย…หลังจากที่สังเกตมาหลายหน เขาพบว่าการใช้โทนเสียงสงบๆ แบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายหยุดเหวี่ยงลงไปได้เยอะเลยทีเดียว “ฉันว่ามันร้อนจะตายไป”

     

     

     

     

     

    อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ก้าวกระโดดจากคนแปลกหน้ามากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องในเวลาแค่วันเดียว…พวกเขาทั้งคู่จึงดูจะลืมเรื่องมารยาทหรือความเกรงใจกันไปเยอะ จึงกลายเป็นว่าตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็พูดจากันตรงๆ อย่างกับว่าสนิทกันมาเป็นเวลานาน…ซึ่งอันที่จริงธอร์ก็ไม่ค่อยกล้าทำแบบนี้เท่าไหร่หรอก แต่โลกินั้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำทำเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ…แต่ท่าทางเสียงสงบๆ ของคนข้างกายคงได้ผลจริงๆ เพราะเจ้าตัวไม่ได้โวยวายอะไรต่อ หากก็ตีแขนเขาอย่างพาลๆ แล้วพูดเสียงหาเรื่อง “ก็ตัวนายมันร้อนนี่! นายจะไปหนาวมั้ยหา?!”

     

     

     

     

     

    สัมผัสของมือที่ตีมาบนแขนอดทำให้ธอร์ออกความเห็นบ้างไม่ได้ “มือนายเย็นชะมัดเลย”

     

     

     

     

     

    เสียงลมหายใจถูกพ่นออกมาแบบไม่สบอารมณ์อีกที…เดาได้ว่าเพราะเขาไม่ยอมตามใจปิดเครื่องปรับอากาศ ธอร์แอบอมยิ้มตอนนึกหน้าอีกฝ่ายถลึงตาใส่เขา…แต่แล้วก็ต้องลืมหายใจเมื่อร่างที่นอนอยู่ข้างเบียดเข้ามาชิดจนแทบจะอยู่ในอ้อมแขนของตน อาการผงะของเขาคงโดนตีความผิด…เพราะเสียงทุ้มหวานพูดตามมา ฟังดูทั้งสะใจทั้งง่วงนอนอย่างน่าตีที่สุด

     

     

     

     

     

    “ร้อนนักใช่ไหม…โดนฉันเบียดไปซะเถอะ”

     

     

     

     

     

    ธอร์ไม่อยากจะพูดว่ามันไม่ได้ทำให้ร้อนขึ้นเลย…ผิวนุ่มนวลที่แนบชิดนั้นเย็นไปทั้งตัวเหมือนมือเรียวบางที่ตีเขาในตอนแรก แต่สัมผัสเย็นๆ นี้ก็ไม่พลาดในการจะทำให้ใจเต้นแรง เขาฝืนพูดออกไป “ไม่เอาน่าโลกิ ถอยออกไปได้แล้ว…ฉันง่วง จะนอนแล้ว”

     

     

     

     

     

    คราวนี้อีกฝ่ายส่งเสียงครางฮือแบบกระเง้ากระงอดเล็กๆ ออกมา…ไม่ยอมขยับตัวสักนิด “มันหนาวนี่…นายอุ่นดีด้วย เลิกไล่ฉันได้แล้ว”

     

     

     

     

     

    ธอร์แอบถอนหายใจเมื่อรับรู้ได้ว่าคนพูดหลับหนีปัญหาไปแล้ว…โลกิคงไม่รู้เลยว่าการกระทำไม่คิดอะไรแบบนี้มันทำให้เขาปั่นป่วนใจแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็ทำใจละอ้อมแขนออกไม่ได้ ทั้งเพราะเห็นจริงว่าอีกฝ่ายหนาวดังคำกล่าว…และทั้งเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการจะทำแบบนั้นด้วย

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมทองได้แต่หลับตาลง…นึกหวังให้ยามเช้ามาถึงช้ากว่าที่เคยสักนิด

     

     

     

     

     

     

    *****

     

     

     

    “นี่…บอกอีกทีซิ วันนี้เราจะไปไหนกันนะ?”

     

     

     

     

     

    โลกิส่งเสียงถามคนที่กำลังยืนรวบผมอยู่หน้ากระจก มือเรียวค่อยๆ ยกกองเสื้อที่พับเอาไว้เป็นอย่างดีขึ้นทีละตัวเพื่อหาตัวที่นึกอยากใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มผมทองถึงดูพูดน้อยๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว…โลกิยอมรับว่ามันก็ออกจะน่าช็อคอยู่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองซุกอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่นั่นมันก็น่าจะเป็นแค่ตัวเขา…ไม่เข้าใจว่าทำไมธอร์จะต้องมาแตกตื่นไปด้วย

     

     

     

     

     

              

    เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซื่อบื้อ…ทำมาหวงตัวเป็นสาวน้อยไปได้

     

     

     

     

     

     

    โลกิแอบเบ้หน้าใส่…ถึงเรื่องเมื่อคืนจะพังกฎเหล็กของเขาไปสักล้านทีได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาชอบมัน…การได้นอนอุ่นๆ แถมมีโอกาสซบหุ่นสุดเพอร์เฟคอลังการแบบเนียนๆ นี่เทียบได้เป็นความสำเร็จระดับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียวในความคิดของเขา แต่แน่นอนว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้อีกแล้ว…ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้จึงเป็นการตีหน้านิ่งให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติจะตายไป

     

     

     

     

     

    “หือ?” นัยน์ตาสีฟ้าหันมามองแบบงงๆ…ทำให้โลกิต้องทวนคำถามใหม่ แล้วเสียงทุ้มจึงตอบให้ “สวนสนุกแถวนี้แหละ”

     

     

     

     

     

    โลกิพยักหน้าหงึกๆ…วันนี้เป็นวันเสาร์ แต่ร้านแพนเค้กประกาศหยุดเพราะธอร์ได้ข้อเสนอให้ไปทำแพนเค้กขายในงานคาร์นิวัลที่สวนสนุก ถึงมันจะไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับไอศกรีม…แต่เขาก็ไปด้วยอยู่ดีเพราะอีกฝ่ายชวน

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำตกลงใจได้กับเสื้อยืดลายขวางสีส้มสดใสกับขาว…ปกติเขาไม่ได้ใส่มันบ่อยนัก แต่ไหนๆ วันนี้ก็จะไปสวนสนุกทั้งที…ใส่อะไรสีสดๆ ให้มันเข้ากับบรรยากาศก็ดูไม่เลว พออีกฝ่ายจัดการกับผมจนเรียบร้อยแล้ว…โลกิก็ผลุบเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวบ้าง ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมาอย่างพอใจกับเสื้อผ้าของตน

     

     

     

     

     

    ธอร์แอบเหล่ตามคนอารมณ์ดี…โลกิดูจะไม่รู้สึกอะไรสักนิดกับการที่พบว่าตัวเองตื่นมาในอ้อมแขนเขา นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มผมทองยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลยสักนิดเดียว รอยยิ้มและความสดใสทั้งหมดที่มีจึงหายไปหมดในตอนเช้านี้…แต่ก็อดแอบขำในใจไม่ได้กับร่างเพรียวในเสื้อลายขวาง

           

     

     

     

        

    อย่างกับพรีเซนเตอร์โฆษณาน้ำส้ม…

     

     

     

     

     

    ธอร์ย้ำกับตัวเองว่าห้ามเผลอออกความเห็นนี้ดังๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินเด็ดขาด…ก่อนที่จะเดินไปรอตรงประตูหน้า หาแท็กซี่ได้ไม่ยากเพราะเป็นเวลาที่คนเริ่มออกไปทำงานกันแล้ว และใช้เวลาไม่นาน…พวกเขาก็มาถึงสวนสนุก

     

     

     

     

     

    โลกิเหลียวมองไปรอบตัว…ทุกอย่างเงียบสงบเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ เขาเดินตามธอร์ไปถึงลานกว้างที่จะใช้เป็นจุดจัดงานคาร์นิวัล…ซุ้มขนมต่างๆ เริ่มต้นตั้งร้านกันแล้ว ผู้คนในชุดหลากสีหรือแม้กระทั่งชุดมาสคอตเดินขวักไขว่เพื่อตั้งป้ายหรือผูกธง

     

     

     

     

     

    “ทำไมร้านเรากระจอกจัง?” เสียงทุ้มหวานถามตรงๆ…เพราะซุ้มของพวกเขาเป็นแค่โต๊ะกับเตาทอดแพนเค้กธรรมดาๆ ไร้ป้ายสีหรือการประดับอะไรมากมาย ทุกอย่างจึงดูเป็นสีขาวจืดชืดเมื่อเทียบกับร้านอื่น

     

     

     

     

     

    “ไม่รู้สิ…” ธอร์เองก็ดูอยากจะถามคำถามเดียวกับเขา “เจ้าของร้านเป็นเพื่อนฉันน่ะ…แต่วันนี้เขามาไม่ได้เลยขอให้ฉันช่วย”

     

     

     

     

     

    โลกิรับคำสั้นๆ ในลำคอ…เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะตกแต่งร้านแบบไหน(สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มห่วงคือจำนวนเงินค่าจ้างต่างหาก) พวกเขาพบกล่องทัพเพอร์แวร์ใหญ่ยักษ์บรรจุส่วนผสมที่ผสมมาแล้วเรียบร้อยตั้งรออยู่…นั่นจึงทำให้ไม่ต้องเสียเวลาผสมเอง สิ่งเดียวที่เหลือจึงเป็นแค่จัดวางโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งทานให้เป็นระเบียบเท่านั้น

     

     

     

     

     

    เวลาเริ่มทำการของสวนสนุกถูกประกาศด้วยเพลงดังสนั่นและเสียงกลไกของบรรดาเครื่องเล่นที่เริ่มทำงาน…ในเวลาไม่นาน ทุกอาณาบริเวณก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายตั้งแต่เหล่าวัยรุ่นไปจนถึงกลุ่มเด็กประถมที่มาทัศนศึกษากับโรงเรียน…และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นงานของวันนี้

     

     

     

     

     

    บรรดาซุ้มของกินในโซนคาร์นิวัลเริ่มต้นทำขนมหรืออาหารตามที่ลูกค้าสั่ง ร้านของเล่นมีการโชว์ว่าของเล่นที่ขายน่าตื่นตาตื่นใจอย่างไร ธอร์เริ่มต้นทอดแพนเค้กเมื่อมีเด็กประถมเดินมาสั่ง…ก่อนที่บรรดาเด็กๆ จะแห่กันมาต่อคิวเพราะอยากเห็นแพนเค้กโดนโยนสูงในอากาศ เสียงพูดคุยตื่นเต้นเรียกความสนใจจากลูกค้ากลุ่มอื่น…และสุดท้าย ร้านสุดแสนจืดชืดของพวกเขาก็มีลูกค้ายืนต่อแถวรอกันคับคั่งแถมโต๊ะที่จัดไว้ก็เต็มทุกตัว

     

     

     

     

     

    พอแถวเริ่มสั้นลง…โลกิที่คอยช่วยเป็นคนราดไซรัปบนแพนเค้กในตอนแรกก็ต้องผันตัวไปเป็นคนรับออเดอร์จากลูกค้าที่โต๊ะแทน เขารู้สึกหงุดหงิดเหลือกำลังที่ธอร์ได้ทอดแพนเค้กส่วนตนต้องมาจดรายการที่เด็กประถมรุมกันสั่ง (ทุกคนชอบเปลี่ยนรสไซรัปกลับไปกลับมาจนน่าเอาสมุดรับออเดอร์ฟาดเรียงตัวคนละที)…และหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่ากับคำตอบที่ได้ฟังจากชายหนุ่มผมทองตอนเขาถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกงานได้

     

     

     

     

     

    “ก็จนกว่าแป้งที่มีหมดแหละ…ถ้าของยังไม่หมดเราจะกลับกันได้ไง?”

     

     

     

     

     

    นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมองกองกล่องทัพเพอร์แวร์ใหญ่ยักษ์…เดาได้เลยว่ามันไม่มีทางหมดง่ายแน่ เขาได้แต่แช่งชักเพื่อนของธอร์ที่เตรียมแป้งมามากมายมหาศาลแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาในหัว

     

     

     

     

     

    “พี่บ๋อย~ พี่บ๋อย~ เค้าจะสั่งแพนเค้ก~”

     

     

     

     

     

    แก๊งเด็กประถมโบกมือเรียกหยอยๆ อีกครั้ง โลกิกระแทกเท้าอย่างหงุดหงิดกลับไปที่โต๊ะอาหาร…หลังจากฝ่ามรสุมการรับออเดอร์จากเด็กๆ ได้อีกรอบแล้ว เขาก็เดินกระแทกเท้ากลับไปที่เตาทอดแพนเค้กอีกรอบ ธอร์สังเกตเห็นหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่ายได้…จึงอาศัยจังหวะที่แผ่นแป้งยังไม่สุกขยับเข้าใกล้ โน้มตัวลงมาเพื่อจะสบสายตากับชายหนุ่มผมดำได้ถนัดๆ

     

     

     

     

     

    “โทษที…ต้องเหนื่อยหน่อยนะ” เสียงทุ้มพูดนุ่มนวล “แต่เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านเราแล้ว…โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

    โลกิสาบานได้ว่าแดดร้อนเปรี้ยงในตอนนี้ยังไม่มีอานุภาพเผาไหม้เท่ากับความรู้สึกที่เกิดจากคำพูดนี้เลย…แล้วไหนจะวงหน้าหล่อเหลาที่โน้มเข้ามาชิดกับนัยน์ตาสีฟ้าชวนใจละลายนี่อีก เขาจึงได้แต่หลบสายตา บังคับให้ตัวเองพูดตอบไป

     

     

     

     

     

    “ระ รู้แล้วน่า! รีบๆ ทอดต่อได้แล้ว…ฉันจะบ้าตายเพราะไอ้เด็กพวกนี้แล้วเนี่ย!”

     

     

     

     

     

    ร่างบางรีบก้าวฉับๆ กลับไปที่โซนโต๊ะลูกค้าอีกรอบ…สายตาประทะกับกลุ่มเด็กสาวที่กำลังโบกมือเรียกอยู่ เขาจึงก้าวไปหา…นึกขอบคุณสวรรค์ในใจที่อย่างน้อยก็มีลูกค้าที่พอจะพูดจาด้วยรู้เรื่องเข้ามาบ้างเสียที

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาจดรายการแพนเค้กยิกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทวนให้คนสั่งฟัง…สะดุดใจกับสายตาวิบวับของสาวน้อยหนึ่งในกลุ่มนั้น จึงไม่รู้สึกแปลกใจนักตอนที่เสียงหวานๆ ของเจ้าตัวถามขึ้นมา

     

     

     

     

     

    “นี่…หลังจากนี้พี่จะไปไหนรึเปล่า?”

     

     

     

     

     

    ทั้งกลุ่มหัวเราะคิกคัก โลกิมองสาวน้อยคนที่ว่าดีๆ…ถึงเขาจะไม่ชอบสาวไฮสคูลเพราะรู้สึกว่าน่ารำคาญ แถมผมลอนๆ สีน้ำตาลทองกับตาโตๆ สีเฮเซลที่กระพริบอย่างมีจริตนี้ก็ดูแก่แดดชะมัด แต่หน้าตาท่าทางมั่นอกมั่นใจปนท้าทายแบบนี้ก็น่าสนใจดี เขาจึงยกยิ้มท้าทายนิดๆ แบบรู้ทันแล้วพูดเสียงนุ่มๆ

     

     

     

     

     

    “ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะปิดร้านได้เมื่อไหร่เมื่อไหร่ล่ะนะ”

     

     

     

     

     

    เด็กสาวยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด “งั้นเมื่อไหร่จะปิดร้านได้ล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “ก็จนกว่าจะขายหมด” โลกิยักไหล่ ความคิดเจ้าเล่ห์ในหัวแล่นวาบ…ก่อนจะมองสบดวงตาสีเฮเซลแบบที่เขารู้ว่าสายตาแบบนี้ชนะใจเป้าหมายของตนได้เสมอ “ถ้ามีคนใจดีช่วยสั่งเยอะๆ…ก็จะปิดได้เร็วขึ้นนะ”

     

     

     

     

     

    เขายิ้มนิดๆ เสริม…ก่อนกล่าวตบท้าย

     

     

     

     

     

    “แล้วถ้าปิดได้เร็ว…ก็จะว่างไปเที่ยวต่อได้ด้วยรู้ไหม?”

     

     

     

     

     

    สาวน้อยสะบัดผมลอนของตนอย่างไม่ยี่หระ…แต่แน่นอนว่ารอยยิ้มเขินๆ ที่เจ้าหล่อนพยายามจะซ่อนก็ไม่อาจเล็ดรอดสายตาของชายหนุ่มไปได้             

     

     

     

     

     

     

    *****

               

     

     

    โลกิกำลังทำอะไรอยู่?

     

     

     

     

     

    ธอร์ขมวดคิ้วพลางมองไป…ชายหนุ่มผมดำกำลังคุยกับหนึ่งในกลุ่มเด็กสาวที่นั่งอยู่ คงไม่ใช่แค่การสั่งแพนเค้ก…ตัดสินจากท่าทางเขินอายของสาวน้อยผมลอนและคนอื่นๆ ที่กำลังหัวเราะคิกคัก และโลกิเองก็กำลังยิ้มมุมปากนิดๆ…ธอร์ไม่อยากมองในแง่ร้าย แต่มันดูเจ้าเล่ห์ชอบกล

     

     

     

     

     

    หากถึงจะดูเจ้าเล่ห์ยังไง…ชายหนุ่มผมทองก็อดรู้สึกไม่พอใจปนเสียใจเล็กๆ ไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ชอบเลยที่เห็นโลกิไปยิ้มให้คนอื่นแบบนี้ มองก็รู้ว่ากลุ่มเด็กสาวกำลังเขินกับรอยยิ้มนั่น…และเจ้าตัวเองก็ดูจะไม่ปฏิเสธท่าทีชวนเชิญของสาวน้อยผมลอน ธอร์รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปห้าม…แต่ยังไงก็หยุดรู้สึกงุ่นง่านใจไม่ได้จริงๆ

     

     

     

     

               

    จะว่าไป…ที่ไม่พอใจอยู่แบบนี้ก็คงเพราะว่าโลกิไม่เคยยิ้มดีๆ ให้เขาสักครั้งด้วยล่ะนะ…

     

     

     

     

     

    “เอ้า! ออเดอร์ของสาวๆ โต๊ะนั้น”

     

     

     

     

     

    ความคิดโดนขัดจังหวะด้วยร่างเพรียวบางที่เดินเข้ามา ธอร์รีบไล่อารมณ์หม่นๆ ออกไปแล้วรับแผ่นกระดาษมาอ่าน…ขมวดคิ้วกับจำนวนจานที่มากเกินจะเชื่อว่าทั้งกลุ่มจะทานหมด

     

     

     

     

     

    “ทำไมสั่งเยอะจัง?” ชายหนุ่มถาม “นี่มันเยอะสุดๆ เลยนะ…จะกินหมดได้ไงน่ะ?”

     

     

     

     

     

    “จะหมดไม่หมดก็ไม่ใช่เรื่องของนายซะหน่อย” โลกิขมวดคิ้วบ้าง “ทำตามที่เขาสั่งมาเถอะน่า…มันจะได้หมดๆ แล้วจะได้กลับบ้านซะที”

     

     

     

     

     

    ธอร์ไม่ขยับตัวเพราะสังหรณ์ใจว่านี่ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่…และเสียงทุ้มหวานที่พูดต่อก็เฉลยให้รู้

     

     

     

     

     

    “แต่ตอนกลับ…นายกลับไปคนเดียวก่อนก็ได้เลยนะ” ยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาพร้อมเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ฉันกะว่าจะอยู่เที่ยวต่อ…เผอิญว่ามีคนใจดีชวนน่ะ”

     

     

     

     

     

    ธอร์มองตามอีกฝ่ายที่หันไปโบกมือนิดๆ ให้ทางโต๊ะเดิม…แล้วก็เข้าใจเรื่องทันที ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงตักเตือน

     

     

     

     

     

    “มันไม่ถูกนะแบบนี้”

     

     

     

     

     

    “ก็ฉันอยากกลับแล้วนี่!” โลกิตวัดเสียง มองเขาแบบไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดใจ “อยู่ตรงนี้มันน่าเบื่อจะตาย!!”

     

     

     

     

     

    ประโยคนี้ทำให้ธอร์รู้สึกแย่อย่างประหลาด…ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าโลกิไม่ได้หมายความว่าการอยู่กับเขาเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ฟังแล้วก็อดน้อยใจนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี และการแก้ปัญหาแบบเด็กๆ เพราะอยากจะให้งานจบๆ ไปแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้จริงๆ

     

     

     

     

     

    โลกิขยับจะโวยวายเมื่อร่างสูงเดินอ้อมออกมาจากโซนเตาแล้วก้าวยาวๆ ไปทางโต๊ะของกลุ่มสาวๆ…รีบซอยเท้าตามไปเพื่อจะดักหน้าแต่ก็ไม่ทัน ชายหนุ่มผมทองไปถึงโต๊ะเสียแล้ว

     

     

     

     

               

    ให้ตายสิ!! เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้วเรอะ?!

     

     

     

     

    โลกิโวยวายในใจ ยืนสติแตกอยู่ด้านหลังร่างสูงใหญ่พร้อมนึกเดาไปต่างๆ นาๆ…แต่ผิดคาด ธอร์แค่พูดเสียงเรียบๆ เท่านั้นเอง

     

     

     

     

     

    “โทษทีนะ แต่ฉันคงทำตามที่ออเดอร์มาไม่ได้”

     

     

     

     

     

    เหล่าเด็กสาวทำหน้างงๆ…แต่ไม่ใช่สาวน้อยผมลอนหัวโจกของกลุ่ม เจ้าหล่อนขมวดคิ้วแล้วโต้เสียงเชิดๆ “เราสั่งก็ทำตามที่สั่งมาเถอะน่า มันจะอะไรกันนักหนา”

     

     

     

     

     

    ธอร์อดส่งสายตาดุๆ ไปทางคนต้นเหตุที่ทำให้ตนต้องมาทะเลาะกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้…แต่ก็ชี้แจงต่อด้วยเสียงสงบนิ่ง “ก็เพราะฉันคิดว่าการมาทำอะไรแบบนี้เพียงเพราะอยากให้ผู้ชายออกไปเที่ยวด้วยมันไม่โอเคน่ะสิ”

     

     

     

     

     

    โลกิยังมีสติพอที่จะไม่อ้าปากค้างกับประโยคนี้…ถึงมันจะไม่ใช่การตบหน้าจริงๆ  แต่ก็แรงพอจะทำให้คนฟังหน้าชาได้ในระดับนั้นเลย เด็กสาวผมลอนผุดลุกขึ้น…ดวงตาสีเฮเซลแทบจะลุกเป็นไฟได้แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ยังพอรู้ตัวว่าการฝืนโวยวายต่อไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองต้องอายมากขึ้นเท่านั้น ร่างบางจึงสะบัดหน้าแล้วเดินฉับๆ ออกไป…ทิ้งให้เพื่อนๆ รีบลุกตามพร้อมร้องเรียกให้เธอใจเย็นลง

     

     

     

     

     

    โลกิรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่หันมา…เขาไม่เคยคิดว่าก่อนว่าคนที่ตนคอยใช้คอยสั่งให้ทำนั่นนี่ตามใจตัวเองจะน่ากลัวได้ขนาดนี้ตอนโกรธ ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงอารมณ์รุนแรงใดๆ ออกมาเป็นการกระทำ (ซึ่งโลกิคิดว่าเจ้าตัวน่าจะอยากทำอยู่…เพียงแต่คู่กรณีเป็นแค่เด็กผู้หญิงเลยรอดตัวไป) แต่ประโยคที่ได้ฟังนั้นก็เกินพอแล้วที่จะบอกว่าชายหนุ่มผมทองกำลังโมโหจริงจังแค่ไหน

     

     

     

     

     

    เพียงแต่เขาสงสัยอย่างเดียว…ทำไมต้องโมโหเสียใหญ่โตแบบนี้?

     

     

     

     

     

    โลกินึกไม่ออกว่าจะมีอะไรเสียหาย…ก็จริงอยู่ที่แพนเค้กที่ถูกสั่งจะเหลือทิ้งชนิดเกินครึ่ง แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องได้เงินจากสาวๆ พวกนั้นอยู่แล้ว แถมจะได้เลิกงานกลับบ้านเร็วขึ้นด้วย…แม้ว่าตัวเขาอาจต้องไปเที่ยวต่อกับพวกเธอก็ตาม ซึ่งจุดนั้น…โลกิก็ไม่เห็นว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนใดให้ธอร์เลย ชายหนุ่มจึงไม่เข้าใจว่าจะมีอะไรที่อีกฝ่ายจะต้องมาโมโหอยู่แบบนี้

     

     

     

     

               

    อย่าบอกนะว่าจะเป็นเพราะหมอนี่ถือคติโลกสวยรักษาธรรมชาติทำนองว่าห้ามเหลืออาหารทิ้งเทือกๆ นั้น…?

     

     

     

     

     

    โลกิอยากชักสีหน้ากับความคิดนี้…แต่ไม่กล้าเพราะกลัวว่าจะยิ่งทำให้ชายหนุ่มผมทองโมโหหนักเข้าไปอีก ความเงียบที่มีระหว่างกันยาวนานจนชวนให้อึดอัด…และเขาก็เดาอารมณ์ของร่างสูงใหญ่ตรงหน้าไม่ออก จึงแอบสะดุ้งเล็กๆ ตอนที่อีกฝ่ายหันหน้ามา…ผิดกับที่คาดไว้ ธอร์มีเพียงสีหน้าเรียบนิ่งไม่ยินดียินร้าย เสียงทุ้มพูดเบาๆ

     

     

     

     

     

    “ถ้านายเบื่อมากขนาดนั้น…กลับไปก่อนเลยก็ได้”

     

     

     

     

     

    ว่าจบ ร่างสูงก็เดินกลับไปที่ตรงเตาทอดแพนเค้กดังเดิม…ปกติถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ โลกิจะไม่สนใจแล้วกลับไปจริงๆ แน่ เพียงแต่พอคนพูดเป็นธอร์แล้ว…เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมาชนิดทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มผมดำไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน…เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ แม้ว่าในสมองตอนนี้จะว้าวุ่น ภาพนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูหม่นหมองเฉยชาทำให้โลกิรู้สึกไม่ชอบเลย

     

     

     

     

               

    …เขาไม่อยากให้ธอร์เกลียด

     

     

     

     

     

    ความกลัวงี่เง่าเหมือนเด็กๆ นี้น่าหัวเราะสิ้นดี…แต่มันก็เป็นเรื่องจริงในใจตอนนี้ โลกิไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแบบนี้…เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อะไรหนักหนาเลย ไม่มีทางหรอกที่เขาจะโดนเกลียดเอาได้ แต่ท่าทางโมโหของอีกฝ่ายนั้นดูจริงจังจนโลกิใจเสีย ตามมาด้วยความกลัวนี้…ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ  มันรุนแรงจนทำให้เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไรดี

     

     

     

     

               

    ให้ตายเถอะ หมอนี่มันก็แค่โกลเด้นรีทรีฟเวอร์งี่เง่าแท้ๆ…แล้วทำไมเขาจะต้องมาว้าวุ่นใจแบบนี้ด้วย?

     

     

     

     

     

    เพราะยังไม่มีลูกค้าเข้ามา ธอร์จึงได้แต่นั่งเฉยๆ…เขามองร่างบางที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เจ้าตัวดูเหมือนกำลังจะตัดสินใจอะไรสักอย่างไม่ขาดสักที ชายหนุ่มผมทองเริ่มรู้สึกแย่กับความสับสนวุ่นวายที่ระบายอยู่บนวงหน้าหวาน…เขาไม่น่าพูดจาตามอารมณ์ตัวเองออกไปแบบนั้นเลย แต่ตอนนั้นเขาน้อยใจจริงๆ ที่โลกิทำเหมือนไม่อยากจะอยู่กับตนและต้องการทำอย่างไรก็ได้ที่จะไปให้พ้นๆ…ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น

     

     

     

     

               

    โลกิจะเกลียดเขาไหมนะ…?

     

     

     

     

     

    ความคิดนี้ทำให้ธอร์ใจแป้วกว่าเดิม เขาไม่มีทางอธิบายกับอีกฝ่ายได้ว่าทำไมถึงโมโห…เพราะนั่นอาจเป็นการจุดประกายให้โลกิเริ่มเดาถึงความในใจที่มี แต่ตอนนี้…เขาอาจไม่มีหวังจริงๆ เสียแล้วก็ได้ และนี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มผมทองยิ่งยิ้มไม่ออก

     

     

     

     

     

    แย่ชะมัด…

     

     

     

     

     

    แต่แล้วทุกความคิดก็ถูกหยุดลงด้วยร่างที่ก้าวมายืนตรงหน้า…คนที่เขาคิดว่าน่าจะเกลียดเขาและกลับไปแล้ว

     

     

     

     

     

    “ธอร์…”

     

     

     

     

     

    เสียงทุ้มหวานที่เรียกชื่อเขาตอนนี้ไม่ได้ฟังดูเอาแต่ใจเหมือนเคย…มันสั่นๆ และไม่มั่นใจ แต่ชายหนุ่มผมทองก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม…เขาชอบฟังเสียงนี้เรียกชื่อของตนเหลือเกิน

     

     

     

     

     

    “ว่าไง”

     

     

     

     

     

    คนพูดไม่มีคำตอบรับใดที่ดีไปกว่านี้อยู่ในหัว แต่โลกิใจชื้นขึ้นบ้างที่เสียงทุ้มไม่ได้มีกระแสความโมโหใดๆ เจือปน…แต่ก็ฟังดูเหนื่อยล้าและท้อใจแบบแปลกๆ  ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่าเดิม

     

     

     

     

     

    “ฉัน…เอ่อ…” โลกิอ้ำอึ้ง ก่อนที่จะพูดต่อ…คำพูดจากใจจริง “…ฉันขอโทษ”

     

     

     

     

     

    พอเอ่ยออกไปแล้ว…เจ้าตัวเองก็แอบประหลาดใจ นับครั้งได้ที่โลกิจะพูดขอโทษ และนั่นก็ต้องเป็นเพราะมันจำเป็นจริงๆ…เขาไม่เคยยอมพูดคำนี้ให้ใครง่ายๆ มาก่อนเพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดสักครั้ง แต่พอเป็นธอร์…ชายหนุ่มกลับเอ่ยมันออกมาได้แบบไม่ติดขัด

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ทำไม…โลกิพบว่าตัวเองพร้อมจะยอมลงให้กับทุกความดื้อรั้นที่ตนมีถ้านั่นหมายความว่าธอร์จะไม่เกลียดเขา

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมทองนิ่งอึ้ง ประหลาดใจกับสิ่งที่ตนได้ฟัง…ถึงจะได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลาไม่นานนัก แต่เขาก็พอจะรู้ว่าโลกิเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ธอร์ไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษจากปากชายหนุ่มผมดำเลยสักครั้ง…และก็เดาว่ามันคงไม่ใช่คำที่เจ้าตัวยอมพูดบ่อยนัก จึงทำให้ในตอนนี้…ธอร์คิดจริงๆ ว่าสิ่งเดียวที่น่าจะได้รับคงเป็นคำต่อว่าเรื่องการที่เขาโมโหไร้สาระมากกว่าคำขอโทษ

     

     

     

     

     

    การที่เขานิ่งเงียบยิ่งทำให้อีกฝ่ายว้าวุ่นใจ เสียงทุ้มหวานจึงย้ำอีกรอบ

     

     

     

     

     

    “ไม่ได้ยินเหรอ…ฉันบอกว่าฉันขอโทษไง” กระแสคำสั่งกลับมาโดยไม่รู้ตัวเพราะคนพูดกำลังกังวล “แล้วฉันก็จะอยู่กับนายด้วย…เลิกโมโหได้แล้ว”

     

     

     

     

     

    ธอร์มองอีกฝ่าย…โลกิกำลังมีสีหน้าไม่มั่นใจแต่ก็ขมวดคิ้วนิดๆ ไปด้วย บอกชัดว่าหลายอารมณ์คงกำลังตีกันอยู่ในหัว…ทั้งอยากขอโทษและอยากให้เขารีบๆ บอกซะทีว่ายกโทษให้แล้ว เรียวปากสีแดงเม้มนิดๆ ระหว่างที่รอลุ้นว่าจะได้ฟังคำตอบที่ตนต้องการไหม ท่าทางและคำพูดที่ธอร์อยากให้ตัวเองสามารถพูดออกไปเหลือเกิน…ว่าเขาชอบมันมากแค่ไหน

     

     

     

     

     

               

    ให้ตายเถอะ…เขาชอบคนคนนี้

     

     

     

     

     

    “ฉันไม่ได้โมโห…” ธอร์เอ่ยเสียงเบา…เก็บประโยคที่อยากพูดแต่พูดไม่ได้ไว้ในใจ “…แล้วฉันก็ขอโทษนะ…ที่พูดจาแย่ๆ”

     

     

     

     

     

    เห็นได้ชัดว่าโลกิขยับจะยิ้มกว้างกับสิ่งที่ได้ฟัง…แต่ริมฝีปากก็โดนเม้มแน่นเพื่อให้เข้ากับประโยคกล่าวหาที่เอ่ยต่อมา “ไม่จริง…นายโมโห ฉันรู้ว่านายโมโห”

     

     

     

     

     

    ธอร์พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้ม แต่ทำไม่ได้…ชายหนุ่มอมยิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก คนตรงหน้าช่างชอบเอาแต่ใจตัวเองและก็หาเรื่องได้ตลอดเวลาจริงๆ

     

     

     

     

     

              

    ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังหน้าจ๋อยอยู่เลยแท้ๆ…พอเห็นว่าเขาไม่โกรธแล้วก็กลับมาทำตัวป่วนเลยนะ

     

     

     

     

     

    “ฉันไม่ได้โมโห…” ชายหนุ่มผมทองย้ำคำเดิม…เสียงอ่อนโยนกว่าเดิมในประโยคหลัง “…ฉันไม่เคยโมโหนายได้หรอก”

     

     

     

     

     

    โลกิพยักหน้าหงึกๆ โดยดี…การกระทำที่ทำให้คนมองทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน เขาดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้โกรธและกลับมาทำตัวปกติดังเดิมแล้ว แต่ก็แอบเสียใจที่ว่าตนเองไม่สามารถมีความกล้าที่จะพูดอะไรให้ชัดเจนได้ไปมากกว่านี้…แถมโลกิก็ดูจะไม่ได้รับรู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไร

               

     

     

     

     

    แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้…เขาก็ควรจะดีใจในความโชคดีนี้มากๆ แล้วนะ

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำไม่ได้รู้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอย่างไร…เขารู้เพียงแค่ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นแรงกับประโยคอ่อนโยนที่ได้ฟัง รอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีกเพราะเขารู้ตัวดีว่าชอบมัน…ความรู้สึกเดียวที่โลกิย้ำกับตนเองซ้ำๆ ว่าต้องไม่เกิดขึ้น แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ…ทุกกฎก็โดนลืมไปอย่างเต็มใจเสียอย่างนั้น

         

     

     

     

          

    นี่อย่าบอกนะว่าเขากำลังจะเริ่ม…

     

     

     

     

     

    โลกิแทบจะปัดมือเพื่อไล่ความคิดนี้…ความคิดที่เล่าถึงความน่าจะเป็นของสิ่งที่อาจจะเกิดแต่เขาไม่อยากรับรู้หรือเชื่อ ส่วนธอร์เองก็ไม่ต่างกัน…ความคิดปัจจุบันก็โดนเจ้าของพยายามลืมไปเสีย ปลอบใจตัวเองด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าอย่างน้อยในตอนนี้…พวกเขาทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันกว่าที่เคยมาก และแค่นี้ก็ดีเกินจะฝันให้เป็นจริงได้แล้ว

     

     

     

     

     

    แต่ถึงความคิดที่มีจะมากมายแค่ไหน สิ่งเดียวที่แต่ละคนเห็นก็เป็นเพียงสีหน้าเรียบนิ่ง…ไม่ได้รู้เลยว่าใจของอีกฝ่ายหนึ่งก็กำลังปั่นป่วนเหมือนตัวเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in