เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
internship children's lit can do everythinglooksorn (♡˙︶˙♡)
เกริ่นนำ : ถึงเวลาแล้วสินะ

  • ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 

     “การฝึกงาน”


    คำที่เราได้ยินตั้งแต่เข้ามาเรียนที่สาขาวรรณกรรมสำหรับเด็ก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

    ทั้งจากรุ่นพี่ที่รู้จักหรือแม้แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันเองที่บอกว่าตัวเองอยากจะไปฝึกงานที่ไหนบ้าง


    สำนักพิมพ์ ห้องสมุด หรือโรงเรียน แม้แต่ฝึกงานที่สาขา 


               หลากหลายสถานที่ที่ถูกแนะนำมาว่าถ้าสนใจเราก็ควรจะลอง แต่มันยังไม่มาถึงซักหน่อย

    'ชีวิตของเด็กปี 1 ก็ควรโฟกัสที่การอ่านหนังสือ วิเคราะห์หนังสือ ปั่นเปเปอร์หลายหน้าให้ทันเดดไลน์ และใช้ชีวิตที่หอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายก ก็พอแล้ว ค่อยคิดในอนาคตที่กำลังจะมาถึงก็แล้วกัน ยังมีเวลาอีกเยอะแยะ' ตอนนั้นจนกระทั่งปี 2 ปลาย ๆ เราก็คิดแบบนี้มาตลอด (ยอมรับว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่น่าเอาอย่างซักเท่าไหร่)


           จนกระทั่งขึ้นปี 3 ซึ่งเป็นปัจจุบัน


    วิชาของสาขาวรรณกรรมเด็กเริ่มท้าทายความสามารถเราขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาสัมมนาที่ทำให้เราละความคิดอย่างอื่นไปช่วงระยะหนึ่ง และมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับวิชานี้ และอีกวิชาที่เราต้องมานั่งคิดจริงจังซักทีจากที่เราละความสนใจจากมันมานาน

     

    “การฝึกงาน”


    สิ่งที่เราเรียนมาตลอด 3 ปี จะสามารถไปทำอะไรได้บ้างนะ เราคิดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่แล้วอยู่ ๆ คำที่คุณครูเคยพูดจะเด้งขึ้นมาในหัวว่า “เอกเราเป็นเหมือนเป็ด เราทำได้ทุกสิ่งอย่างนั้นแหละ” นั่นสิ  ในเมื่อเราก็ทำได้มันเกือบทุกอย่าง แต่ปัญหาที่ติดอยู่อย่างเดียวตอนนี้คือความสามารถของเรามันไม่โดดเด่นไปซักทางนี่สิ เราจะไปทางไหนดี content creator หรอ เราคิดได้หลายครั้งเลย แต่เราก็ไม่ได้ความคิดเเจ่มว้าวขนาดนั้นนะ พิสูจน์อักษรในสำนักพิมพ์หรอ น่าสนใจมาก แต่เรายังโดนตัวแดงจากครูว่าเขียนผิดบ่อย ๆ อยู่เลย  แล้วที่นี้จะไปทำอะไรดีละ จนกระทั่งมาหยุดที่งานนี้ เมื่อเราคิดไปถึงวิชาที่เพิ่งผ่านมาในวิชาปี 3 เทอม 1


    วิชาที่เหมือนจะสนุกที่สุดในปี 3 ในความรู้สึกของเรา ก็คือ วิชาหนังสือและสื่อเสริมประสบการณ์ทางการศึกษาสำหรับเด็ก วิชาที่นอกจากจะได้แต่งนิทานแล้วยังมีการเย็บสื่อผ้าเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กด้วย เรายอมรับว่าตอนที่เย็บสื่อผ้าเราแอบน้ำตาเล็ดด้วยซ้ำ ทั้งเข็มตำมือ เย็บก็ไม่สวย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ตั้งใจมาก ๆ และหวังว่าเด็กที่จะทดลองสื่อที่เราทำจะชอบงานเราไม่มากก็น้อย


    ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เรายิ้มกว้างมาก ๆ ตอนเจ้าเด็กเห็นของเล่นเเล้วทำตาโต ก่อนจะมาล้อมรอบตัว ขอเล่นสื่อผ้าเรากันใหญ่ จนเจ้าเด็กเกือบจะงอนกันก็มีเพราะว่ารอหลายคนเล่นไม่ได้เล่นซักที (เอ็นดูที่สุด T-T) แต่เราก็สามารถจัดการให้มีการเล่นที่แบ่งกันเล่นได้ทุกคน จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายมีเด็ก ๆ มาสะกิดถามว่า “พี่มาอีกได้ไหม” “พี่จะมาอีกเมื่อไหร่” เราซึ้งน้ำตาจะไหลทุกครั้งเวลาที่นึกถึงช่วงเวลานั้น 


    ทันใดนั้นความคิดสุดท้ายที่เข้ามาในหัว จะรับมือเจ้าเด็กไหวไหมในช่วงการฝึกค่อยคิด จะใช้พลังมากเท่าไหร่ค่อยคิด แต่สิ่งที่เราจะทำในการฝึกงานครั้งนี้ก็คือ


     ฝึกงานที่โรงเรียนเนี่ยแหละ!!!

    ภาพตอนที่เจ้าเด็กมาล้อมกันเล่นสื่อผ้าที่เราทำ น่ารักมั้ย *อวดๆ* (♡˙︶˙♡)



  • ADVERTISEMENT

      

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Winai Chaichana (@winaichaichana)
อ่านและดูภาพประกอบแล้วสัมผัสได้ถึงความสุขที่น้องได้รับจริง ๆ ครับ นึกถึงตัวเองตอนไปเล่านิทานที่สวนลุม ได้เจอเด็ก ๆ เล่านิทานให้เด็ก ๆ เห็นเค้าสนุกสนานเราก็แฮปปี้มาก ๆ สมัยพี่เรียนพี่ก็ไม่ได้วางแผนล่วงหน้านานว่าจะไปฝึกงานที่ไหน งานอะไร พอถึงเวลาเราก็ได้ฝึกงานที่เหมาะกับเราแล้วก็รู้สึกสนุกมาก (พี่ฝึกงานโครงการครูบ้านนอก มูลนิธิกระจกเงา เชียงรายครับ) ตอนเรียนจบมาก็ได้เป็นครูอนุบาลอยู่พักนึง สนุกมาก ๆ เด็ก ๆ น่ารัก ได้ใช้ความรู้จากเอกเรามาทำงานเต็มที่เลยทั้งทำสื่อการเรียน เล่านิทาน เข้าถึงความรู้สึกเด็กด้วยจิตวิทยาพัฒนาการ ฯลฯ แต่หลัง ๆ เริ่มไม่สนุกเพราะการเป็นครูโรงเรียนเอกชนมีความกดดันหลายอย่าง ตอนนี้เลยขายต้นไม้ออนไลน์ แต่ก็ยังได้ทำงานอดิเรกที่ทำให้มีความสุข นั่นก็คือการเขียนบทความลงมินิมอร์ เขียนบทกวี วาดรูประบายสี ทำเพลงสากลเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ตอนพี่ตัดสินใจสอบตรงเข้าสาขาเราก็คิดแค่ว่าคงสนุกและมีความสุขน่าดูถ้าได้เข้าไปเรียน เพราะดูจากรายชื่อวิชาแล้วพี่ชอบทุกวิชาเลย ตอนเรียนก็สนุกมาก ๆ ครูสอนเก่งสอนดี เพื่อนก็คุยกับเรารู้เรื่องเพราะคอเดียวกัน (สมัยเรียนมัธยมพี่ไม่ค่อยมีเพื่อนที่อ่านวรรณกรรมเยาวชนเท่าไหร่ 55) จึงเป็นการเรียนที่แฮปปี้มีความสุขมาก (ก.ไก่หลาย ๆ ตัว)

ก่อนเข้ามาเรียนพี่ไม่ได้คิดว่าต้องเรียนสาขาที่เรียนจบมาแล้วได้ทำงานที่มั่นคง รายได้ดีเหมือนคนอื่น พี่คิดแค่ว่าเรียนอะไรที่เราจะแฮปปี้ตลอดเวลาที่เรียน เป็นชีวิตป.ตรีที่ดีและน่าจดจำ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ ระหว่างเรียนมีความสุขมากจริง ๆ ตอนนี้พี่ก็มีความสุขมากครับ ได้เข้าใจว่าการที่เราหาความสุขด้วยตัวเองได้ก็เป็นอะไรที่มั่นคงยั่งยืนเหมือนกัน และเรื่องทางจิตใจอาจจะสำคัญกว่าเรื่องฐานะทางการเงินด้วยซ้ำ บางคนได้ทำทั้งงานที่ชอบและรายได้ดีด้วยก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยมาก ๆ ครับ