ผมเป็นคนที่เกลียดการทำอะไรที่อยู่ในเส้นตาย
การที่ใครพาผมไปทำอะไรแบบนั้น
มันทำให้ผมรู้สึกเครียดโดยใช่เหตุ
หลาย ๆ ครั้ง งานมักออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจอยู่เสมอ
เพราะการเนรมิตคืนมหัศจรรย์ สร้างกรุงโรมในวันเดียว
มันเป็นกรุงโรมที่พร้อมจะถล่มอยู่เสมอ
และความท้าทายคือ ผมจะดึงคนในทีมผม
สร้างกรุงโรมที่อยู่ในแดนแฟนตาซีขึ้นมา
ผลงานที่ออกมา ควรจะออกมาจากการที่ได้ใช้เวลาอยู่กับมัน
ได้ทำความเข้าใจกับมัน ทุกผลงานที่ออกเป็นรุปเป็นร่างมา
อย่างน้อยควรมีความรู้สึกผูกพันธ์จากการสร้างมันขึ้นมา
แล้วภาคภูมิใจกับเวลาที่ได้ใช้ไป
ผมตั้งฉายาให้ตัวเองว่านกฮูกราตรี
ร่างกายของผมถูกแบ่งเวลานอนออกเป็นสองช่วง
คือสี่ชั่วโมงกลางวัน และสี่ชั่วโมงกลางคืน
ช่วงเวลาที่ผมจะทำงานได้ดีที่สุดคือ ช่วงตีหนึ่งถึงตีสาม
และช่วงเวลาที่นอนหลับแล้วตื่นมามีพลังงานที่สุดคือ
ช่วงเวลาที่เข็มสั้นชี้เลขสี่จนถึงเลขเจ็ด ทั้งกลางวันและกลางคืน
ผมเลยดูเป็นคนมีพลังงานในการทำงานเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ ผมสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นมาก
แล้วช่วงวัยขอองการเป็นนักศึกษา
ผมก็แทบจะเป็นอาจารย์อยู่เหมือนกัน
มีเพื่อนที่ต้องการให้ผมไปสอนเนื้อหาความรู้ที่ผมถนัด
และผมก็ไม่อยากปฏิเสธเลย เพราะนั่นคือหนทางที่ดีที่สุด
ที่จะพิสูจว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มามันเยอะพอจนแบ่งปันได้มากแค่ไหน
ผลลัพธ์คือ อยู่ที่ว่าเพื่อนร้อง อ๋อ ออกมาไหม
ผมทำตัวน่าหมั่นไส้อยู่หนึ่งอย่าง
คือถ้าใครนัดอะไรกระทันหัน ผมจะด่าทันที
และถ้าใครต้องการทำอะไรโดยเวลาไม่ชัดเจน
ผมก็ด่าเหมือนกัน เพราะผมถือว่าเวลามีค่าที่สุด
มากกว่าเงิน ณ ช่วงวัยของการศึกษา
ผมจึงให้เพื่อนนัดเวลาและสถานที่โดยชัดเจน
แต่ผมก็จะยืดหยุ่นเวลาอยู่เสมอ
ถามว่าจะให้ระบุขอบเขตของเวลาไปทำไม
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อ แผนสำรอง
ในหนึ่งวันมันมีอะไรที่ต้องทำเยอะมากในสิ่งที่ควรจะเป็น
การรู้เวลาอย่างแน่ชัดจะทำให้แผนสำรองปรากฎ
และจะไม่เกิดนัดซ้อนกันจนใช้พลังงานร่างกายสิ้นเปลือง
เพราะการพักผ่อนของผมมันผิดหลักการของนาฬิกาชีวิต
แต่ส่งประสิทธิภาพออกมาให้เห็นแบบชัดเจนที่สุด
เพราะฉะนั้น ผมจะเตรียมเนื้อหาและศึกษามาเพิ่มเติม
เพื่อที่จะแบ่งปันความรู้นั้นต่อ และนั่นก็เป็นการทบทวนความรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อหลาย ๆ ครั้งเข้า ใจผมก็เริ่มอยากรู้ว่าถ้าเป็นอาจารย์
ผมจะถูกนักศึกษานินทาไปทิศทางไหนกันนะ
แต่ก็ต้องหยุดไว้เพียงเท่านั้น
เพราะภาพของศาสตราจารย์ เซอจิโอ จากหนังเรื่อง ทรชนคนปล้นโลก
ปรากฎขึ้นมาในหัวของผม
ผมเลยมีความคิดที่ว่า ไม่ว่ายังไง แผนสำรองก็จำเป็นจริง ๆ นั่นแหละ
ผมอยากมีความสามารถในการคิดแผนสำรอง
ที่รองรับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
จุดประสงค์ ก็เพื่อที่จะทำให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยน้อยลง
และการพักผ่อนในเวลาที่จำกัด ยังคงได้ผลอยู่
เมื่อจบจากการเป็นนักศึกษา ประกอบกับการฝึกวางแผนสำรองอยู่สองปี
แผนส่วนมากมักไม่ได้ใช้หรอก แต่ผมกลับสนุกไปกับการวางแผนมากกว่า
และโอกาสสำคัญก็มาถึง ผมได้ไปเป็นวิทยากรในด้านของการอธิบายหลักการวางแผนธุรกิจ
การคิดเผื่อในหลายแง่หลายมุม และทฤษฎีใหม่ที่ผมคิดขึ้นมา
เป็นหลักการที่ทำให้บริษัทได้ผลลัพธ์บางอย่างที่น่าทึ่ง
และนั่นจึงเกิดการแย่งชิงตัวผมไปอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะผมไม่มีแผนสำรองในการรับมือสิ่งนี้
ผมเลยต้องหาทางออกที่ดีที่สุด และบังเอิญไปพบกับนักธุรกิจลูกครึ่งชาวญี่ปุ่น-สเปน-ไทยคนหนึ่งเข้า
ครั้งแรกที่เจอกันผมแทบจำไม่ได้หรอก รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายที่มีสเน่ห์เนื้อหอมสุด ๆ
ที่เราเข้ากันได้ดีเป็นเพราะเรามีทฤษฎีที่คล้ายคลึงกัน
และเมื่อลองนำทฤษฎีของผม และทฤษฎีของเขามาผสานให้ลงล็อก
เหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ ก็ปรากฎหลักการใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจไปได้รอดในยุคสมัยที่การแข่งขันสูงลิ่ว
เป็นการพาบริษัทและองค์กรเติบโตไปอีกขั้น
และทฤษฎีนี้ ปัญหาจะอยู่ที่ว่า ใครจะวางแผนสำรองได้ดีขนาดไหน
ทฤษฎีแผนสำรองจึงมีมากมายหลายแผน
แต่หลัก ๆ คือมีอยู่สามแผน และนี่คือทฤษฎีที่ลูกครึ่งชาวญี่ปุ่น-สเปน-ไทย เพื่อนซี้ของผมตั้งชื่อเล่น
"ปลุกนกฮูกยามทิวา"
เป็นทฤษฎีบ้าบอ ๆ ของคนสองคนที่ทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ หลุดโลก
และแน่นอนว่า ผมก็ร่วมเป็นวิทยากรในการบรรยายเรื่องนี้ในหลายเวที
จนมีชุดสูทอยู่เต็มตู้ และรองเท้าหนังอีกหลากหลายสไตล์
เป็นช่วงวัยยี่สิบเจ็ดปีลากยาวมาถึงวัยสามสิบปี
เป็นสามปีที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานจนลืมวันลืมคืน
ผมใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแบบยืดหยุ่นและคุ้มค่าที่สุดเท่าที่ทำได้
และมีช่วงเวลาโอเวอร์โดสเหมือนกัน
ที่บางครั้งก็เอาอะไรแทบไม่ทัน และต้องงั้นแผนสำรองที่อันตรายออกมาใช้
และการเป็นวิทยากรก็ยังคงอยู่ แต่ก็ต้องทำให้เบาบางลง
ค่าตัวเลยพุ่งกระฉูด เพราะคนที่เข้าใจทฤษฎีนี้อย่างลึกซึ้งมีอยู่สองคนเท่านั้น
และการทำความเข้าใจทฤษฎีนี้เหมือนเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์
ที่บางครั้งก็มีสูตรตายตัว และต้องดูตารางเพื่อคำนวณ
จนผมพักงานในช่วงวัยสามสิบประกอบการเข้ารับการผ่าตัด
และต้องพักฟื้นนานมาก หลังจากนั้นผมก็อยู่ทำงานนานขึ้นกว่าเดิม
เพราะต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ให้ออกมาดีก่อนหมดปี
ผมมีทีมที่ดีมาก ๆ นับเป็นความโชคดีที่สุดในการทำงานของผม
ทีมผมมีทั้งหมดสี่คนรวมผม และหลายครั้งต้องดึงคนอื่นมาเป็นทีมชั่วคราว
เพื่อแก้ปัญหากันไปทีละขั้น
การทำงานของเราสี่คนมันสุดโต่ง
คนหนึ่งทำงานเหมือนสิงโต
อีกคนทำงานเหมือนหมี
อีกคนทำงานเหมือนเหยี่ยว
และผมทำงานแบบนกฮูกราตรี
ต่อให้มีบางอย่างที่ติดขัด แต่เราสี่คนก้พร้อมที่จะช่วยกันแก้ปัญหา
และไม่ใช้เพราะเงิน เป็นเพราะต้องการให้ผลงานออกมาดี
เพื่อเงินที่ดีกว่า และเผื่อลุ้นกันว่าแผนสำรองของใครจะได้ถูกนำมาใช้บ้าง
เรื่องของแผนสำรองมันเยอะแยะมากมายก่ายกอง
แต่แผนสำรองของผมจริง ๆ มันถูกวางขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว
และตอนนี้มันก็กำลังช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ออกมาได้ดีจนน่าตกใจเลยล่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in