"นี่ คุณนกฮูกราตรี คุณนี่มันเป็นเครื่องดูดเงินชัด ๆ "
ในบ่ายวันอาทิตย์ ณ บ้านอันสงบของผม
บุคคลที่ได้ฉายาว่าเป็นนกเหยี่ยว กำลังชื่นชมผมปนประชด
"หาเงินเก่งขนาดนี้ คงไม่ยากหรอที่จะ . . ."
"หยุดพูดเรื่องทำนองนั้นเถอะนะ"
ผมรู้ดีว่าเขาจะพูดถึงอะไร
ชีวิตผมที่รักงานและเงินขนาดนี้
ไม่มีเวลาพอจะไปวุ่นวายกับอะไรพวกนั้น
และนั้นเป็นแผนของผมเอง
"นายนี่รู้จักกับความเหงาดีนะ หรือเพราะเหงานายเลยทำอะไรพวกนี้"
"ใช่ ความเหงาพาผมไปตามความสนใจเอง"
นอกจากงานหลัก งานประจำ และงานวิทยากรที่วนเวียนอยู่ในชีวิตผม
มีงานอีกหนึ่งอย่าง ที่เป็นงานอดิเรกที่ช่วยสร้างรายได้เล็ก ๆ ให้กับผม
นั่นคือ งานนักดนตรี ผมใช้เงินก้อนหนึ่งที่หามา
เพื่อซื้อแซ็กโซโฟนสีเงิน และทุ่มเงินจำนวนหนึ่งสร้างห้องซ้อมดนตรีขึ้นมา
ผมมักใช้เวลาที่หัวยุ่ง ๆ คิดงานไม่ออก ให้สิ่งเหล่านี้ขจัดความวุ่นวายในหัวออกไป
และมันก็ได้ผลมาตลอด
จนกระทั่งผมคว้าโอกาสหนึ่งเข้า
ณ ร้านวินเทจแหล่งรวมคราฟเบียร์
คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผมอันดับหนึ่งไปแล้ว
และแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เบียร์เท่านั้น
บาเทนเดอร์ของร้านคือคนที่น่ากลัวมาก
สามารถล้มคนคอแข็งได้เพียงไม่กี่แก้ว บางทีก็แก้วเดียวด้วยซ้ำ
ผู้คนมักเรียกเครื่องดื่มนั่นว่า ล้มทั้งยืน
ชื่อเรียบง่าย แต่อนุภาคร้ายแรงมาก เล่นเอาคนดื่มกลับบ้านไม่ถูกเลย
ส่วนผมโชคดีที่ดื่มเหล้าไม่ได้
ไม่งั้นอีกวันผมจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
การเสียเวลาทั้งวันไปเพราะการแฮงค์เหล้า
ทำให้ผมรู้สึกผิดกับบูโจมาก ๆ เพราะงั้น ผมเลยไม่คิดแม้แต่จะแตะมัน
ส่วนสำคัญของร้านวินเทจแห่งนี้
คือการที่ผมไปมีบทบาทในคืนวันเสาร์วันหนึ่ง
ผมขับคุณลุงฟอร์ดปีหนึ่งเห้าหกเก้า พาแซ็กโซโฟนปรับแต่ง
และซื้ออุปกรณ์บางอย่างเพิ่ม
บังเอิญคืนนั้นบรรยากาศมันเงียบสงบจนแทบไม่เป็นร้าน
บาเทนเดอร์แจ้งว่าเครื่องเสียงพัง
และวันนี้คงเป็นวันที่เงียบทั้งวันแน่
สีหน้าบาเทนเดอร์แลดูกังวล และผมพอจะเข้าใจ
คืนนั้นลูกค้าใหม่เข้าร้านมากกว่าครึ่ง
และความประทับใจแรกนั้นสำคัญ ต่อการทำให้ลูกค้าใหม่ กลายเป็นลูกค้าประจำ
นั่นคืองานของบาเทนเดอร์ ผมเลยถามว่า ร้านนี้เคยเปิดเพลงแนวแจ๊สไหม
บาเทนเดอร์ตอบว่า นั่นคือเพลงแรก ๆ ที่ร้านเปิดเลย
ผมจึงยื่นข้อเสนอแลกเบียร์เพียงหนึ่งแก้ว
ให้ผมได้ทำให้ความเงียบของร้านหายไป
แน่นอนผมรีบไปหยิบแซ็กโซโฟนหลังรถ
กล่าวกับบาเทนเดอร์ว่า ครึ่งชั่วโมง ผมตรึงได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ความไม่คาดหวังของผมแพลงฤทธิ์
ลูกค้าใหม่ชอบใจเป็นอย่างมาก และเอนจอยแบบสุด ๆ
มือไม้ผมสั่นไปหมดผมแทบไม่รู้ว่าผมทำอะไร
เพียงแค่คำพูดของนายจ้างคนหน่ึ่งผุดเข้ามา
"หากเจอโอกาส แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร โปรดเถอะ คว้ามันไว้!!!"
บังเอิญเจ้าของร้านเข้ามาตอนผมกำลังเล่นเพลง Firefly
บาเทนเดอร์เล่าให้ผมฟังทีหลัง
ว่าเจ้าของร้านรู้สึกระทับใจมาก ผมคือสิ่งที่เจ้าของร้านกำลังตามหา
และในวันรุ่งขึ้นผมโดนกดกริ่งหน้าบ้านในยามบ่าย
ชายในสูทสีกรมท่า รองเท้าหนังสีน้ำตาล กำลังยืนล้วงกระเป๋าอยู่
ผมออกไปทักทายต้อนรับ และทราบว่าคือเขาเจ้าของร้าน
เขาทราบประวัติผมคร่าว ๆ จากบาเทนเดอร์
และเสนอให้ผมไปเล่นดนตรีในคืนวันเสาร์ด้วยค่าแรงแพงลิ่ว
ผมแทบจะปฏิเสธ แต่ ผมเชื่อว่ามีบางอย่างกำลังต้องการอะไรสักอย่างจากผม
แน่นอนผมต้องตอบรับข้อเสนอเพราะต้องการหาคำตอบ
เวลาผ่านไปสามเดือน ทั้งงานและงานอดิเรกคืบหน้าไปเยอะพอสมควร
ชีิวิตผมก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ลื่นไหลบ้าง สะดุดบ้าง แต่ผมโชคดีที่มีทีมคอยหนุนหลัง
และซัพพอร์ตทุกอย่าง ในช่วงเวลาที่ผมกำลังสนุกกับทุกสิ่ง
มีเส้นวงโคจรหนึ่งกำลังขนานกับผม
และดูเหมือนจะเข้ามาทับเส้นผมแล้ว . . .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in