เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทิวาสวัสดิ์WITCHARIN NIRANAMKUL
นาฬิกาทราย
  • ความแตกต่างระหว่าง
    นาฬิกาแบบแอนาลอก
    และแบบนาฬิกาทราย
    คือนาฬิกาแอนาลอกจะนับเวลาไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดจบ
    ส่วนนาฬิกาทรายคือนับเวลาถอยหลังแบบรู้จุดจบ

    ผมใช้เวลาชีวิตเหมือนกับนาฬิกาทราย
    ที่มองไม่เห็นส่วนบนว่าเหลือเท่าไหร่
    แต่มองเห็นส่วนด้านล่างว่าถูกใช้ไปเท่าไหร่
    แต่ถ้าหากรู้ว่าส่วนด้านบนเหลือทรายเท่าไหร่
    มันจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากสำหรับผม
    เพราะผมเองก็อยากมองเม็ดทราย
    ที่ไหลร่วงลงมาอย่างรู้สึกภูมิใจ

    และนาฬิกาทรายชีวิตแห่งรั้วมหาลัยก็หมดลง
    ผมได้ใช้ทุกเม็ดทรายที่ไหลร่วงลงอย่างคุ้มค่าที่สุด
    ผมได้ฝึกสหกิจตามที่ได้ลงทุนทุ่มแรงและความพยามไว้
    ผมได้ผลกำไรที่งอกเงย
    ผมถูกทาบทามให้เข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง
    และได้ใช้ความสามารถรวมถึงความรู้อย่างเต็มที่
    จนถึงขั้นเจ้าของบริษัทเรียกผมว่าลูกชาย
    และช่วยวางแผนช่วงเวลาที่เหมาะสม
    ในการที่จะทำให้ผมได้เป็นผู้ชาย
    ผมไม่ได้บอกสินะว่าผมเป็น ทรานส์
    แน่นอนว่าเจ้านายได้มอบโปรเจ็กใหญ่ให้ผมทำ
    เป็นการวางแผนธุรกิจระยะยาวให้กับบริษัท
    ชีวิตของผมก็ได้เข้าสู่วงการธุรกิจอย่างเต็มตัว

    ใคร ๆ ต่างมองว่าผมคือโมสาร์ทแห่งการวางแผน
    เพราะแผนที่ผมวางไว้มักมีแผนสำรองยู่เสมอ
    เพื่อรองรับความผิดพลาดในทุกรูปแบบ
    และผมก็สนุกกับการวางแผนมาก
    ถึงแม้จะมีเรื่องเครียดบ้าง
    แต่ก็เป็นธรรมดาที่เราจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้
    ว่าแผนของเราจะได้ดำเนินการแบบไหน

    และเมื่อจบโปรเจ็กที่แสนยาวนาน
    ร่างกายผมก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง
    และเมื่อวันนั้นมาถึง . . .
    ผมเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
    และกลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม

    ส่วนเจ้านายก็อยากใช้งานผมให้คุ้มกว่านี้
    แต่เขาเลือกที่จะให้ผมออกไปหาแรงบัลดาลใจ
    และแน่นอน ผมมอบเวลานั้นให้กับครอบครัว
    ผมพาพ่อกับแม่ไปท่องเที่ยว
    ตามสถานที่และสไตล์ของพวกเขา

    แววตาที่เขามองผม
    คือ ชายหนุ่มที่เติบโตมาภายใต้นามสกุลของพวกเขา
    ลูกชายแต่กำเนิดมาโดยตลอด
    ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมกลับบ้านไปหาพวกท่านบ่อยแค่ไหน
    มันก็ยังนับครั้งได้ และไม่เคยยาวนานเลย

    ครั้งนี้ผมเลยเตรียมเซอรไพร์ครั้งใหญ่ให้พวกเขา
    ผมที่ไม่มีหนี้สินอะไร
    ตั้งใจจะเติมความฝันของพวกเขา
    นั้นคือ รถช๊อปเปอร์ในฝันของพ่อ
    และรถที่แม่อยากได้มากที่สุด

    การเซอร์ไพร์ในครั้งนี้นั้นได้เติมเต็มให้ผมเป็นอย่างมาก
    และสุดท้ายที่ทำให้เกิดประโยคที่ผมต้องช็อค
    นั้นคือผมได้ซื้อบ้านให้พวกเขา
    ณ สถานที่ที่สงบมาก และมีพื้นที่ให้ทำการเกษตร
    ตามอาชีพที่พวกเขาทำ
    ผมรู้ดีว่าพวกเขาไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยและรับเงินจากลูกชายฝ่ายเดียว
    หัวธุรกิจที่ผมมี มันมาจากดีเอ็นเอหัวธุรกิจของพ่อ
    และเมื่อทำเรื่องทุกอย่างจบ
    แม่ก็ถามผมว่า "แทนที่จะเอาเงินมาซื้อนู่นนี่ให้พ่อกับแม่ ทำไมไม่เอาไปหาคู่ชีวิตล่ะ"
    ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วพ่อก็พูดทันที
    "อายุขนาดนี้แล้วระวังจะหายากเอานะ"
    ผมยืนช็อคหายใจเข้าไม่หายใจออกอยู่สามสิบวินาทีก่อนตอบไปว่า
    "มันคงยังไม่ถึงเวลาหรอกครับ"
    ผมไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ผมตอบไปนั้น
    ขณะเดียวกัน เวลาบางอย่างถูกนับถอยหลังจนเหลือศูนย์แล้ว
    และใบ้เลย คือเวลาที่วงโคจรอีกวงจะเหวี่ยงมาทับกับผม

    แม้ในความเป็นจริงจะพอมีคนเข้ามาบ้าง
    แต่กฎของผมคือไม่เอาความรักมาปนกับงาน
    ผมตัดทุกคนทุกหนทางเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้น
    ผมจึงยังบ้างานและมีสมาธิอยู่กับการทำงานได้
    ผมถูกเหวี่ยงให้ไปอยู่ในวงโคจรของธุรกิจ
    และเป็นหุ้นส่วนกับคนนู้นคนนี้มากมาย
    เงินเดือนหกหลักในวัยสามสิบคือความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิต
    ที่เกิดขึ้นจริง และแน่นอนทุก ๆ วันผมมัวบ้าและสนุกอยู่กับงาน

    และหลังจากนั้น ผมก็ถูกย้ายงานไปดูแลบริษัทย่อย
    ตั้งแต่เริ่มโรงงานจนโรงงานผลิตลอตแรก
    ทำให้ผมต้องตัดสินใจซื้อบ้านเล็ก ๆ อยู่
    เป็นสองชั้นมีระเบียงสีขาวน้ำตาล
    ครั้งแรกที่ผมเห็นผมก็ตกหลุมรักบ้านหลังนี้เลย
    ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน
    ผมก็ไปเจอรถในฝันของผม นั่นคือ ฟอร์ด มัสแตง ปี 1969
    ผมเข้าไปถามคนที่ขายรถคันนี้
    เขาได้เล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจให้ผมฟัง
    และผมก็ซื้อทันทีในวันนั้น รวมถึงจ่ายคุณค่าของเรื่องราวนั้นด้วย
    ผมรับปากว่าจะดูแลคุณตาคันนี้ให้ดีที่สุด
    และผมก็พาคุณตาไปปรับโฉมให้กลายเป็นคุณลุงกำยำ
    ผมเดินทางไปไหนมาไหนด้วยคุณลุง
    แทนที่จะเป็นมอไซค์ที่ผมใช้ตั้งแต่อยู่มหาลัย

    ในทุก ๆ วันการทำงานของผมได้วนลูป
    กิจวัตรที่ทำในแต่ละวันเกิดขึ้นซ้ำ 
    จนกลายเป็นความสงบที่ผมเองก็บอกไม่ถูก
    ว่าทำไมมันถึงโหวง ๆ แปลก ๆ
    และวันที่ผมขับรถหลงทางก็มาถึง
    แล้วเย็นวันนั้นผมก็เหลือบไปเห็นร้านวินเทจขนาดเล็กร้านหนึ่ง
    ผมรู้สึกถูกชะตาต้องใจเลยจอดรถและเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
    พบว่ามันคือร้านแอลกอฮอล์เบียร์คราฟที่ผมไม่คิดว่าจะเจอ
    ชีวิตของผมเลยถูกเติมเต็มอีกครั้ง

    และเวลาผ่านไปร่วมสองเดือนที่ผมวนเวียนอยู่ร้านนี้ในทุกวันหยุด
    แต่ครั้งนี้บรรยากาศมันเปลี่ยนไป แบบกระทันหัน . . . 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in