ความแตกต่างระหว่าง
นาฬิกาแบบแอนาลอก
และแบบนาฬิกาทราย
คือนาฬิกาแอนาลอกจะนับเวลาไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดจบ
ส่วนนาฬิกาทรายคือนับเวลาถอยหลังแบบรู้จุดจบ
ผมใช้เวลาชีวิตเหมือนกับนาฬิกาทราย
ที่มองไม่เห็นส่วนบนว่าเหลือเท่าไหร่
แต่มองเห็นส่วนด้านล่างว่าถูกใช้ไปเท่าไหร่
แต่ถ้าหากรู้ว่าส่วนด้านบนเหลือทรายเท่าไหร่
มันจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากสำหรับผม
เพราะผมเองก็อยากมองเม็ดทราย
ที่ไหลร่วงลงมาอย่างรู้สึกภูมิใจ
และนาฬิกาทรายชีวิตแห่งรั้วมหาลัยก็หมดลง
ผมได้ใช้ทุกเม็ดทรายที่ไหลร่วงลงอย่างคุ้มค่าที่สุด
ผมได้ฝึกสหกิจตามที่ได้ลงทุนทุ่มแรงและความพยามไว้
ผมได้ผลกำไรที่งอกเงย
ผมถูกทาบทามให้เข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง
และได้ใช้ความสามารถรวมถึงความรู้อย่างเต็มที่
จนถึงขั้นเจ้าของบริษัทเรียกผมว่าลูกชาย
และช่วยวางแผนช่วงเวลาที่เหมาะสม
ในการที่จะทำให้ผมได้เป็นผู้ชาย
ผมไม่ได้บอกสินะว่าผมเป็น ทรานส์
แน่นอนว่าเจ้านายได้มอบโปรเจ็กใหญ่ให้ผมทำ
เป็นการวางแผนธุรกิจระยะยาวให้กับบริษัท
ชีวิตของผมก็ได้เข้าสู่วงการธุรกิจอย่างเต็มตัว
ใคร ๆ ต่างมองว่าผมคือโมสาร์ทแห่งการวางแผน
เพราะแผนที่ผมวางไว้มักมีแผนสำรองยู่เสมอ
เพื่อรองรับความผิดพลาดในทุกรูปแบบ
และผมก็สนุกกับการวางแผนมาก
ถึงแม้จะมีเรื่องเครียดบ้าง
แต่ก็เป็นธรรมดาที่เราจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้
ว่าแผนของเราจะได้ดำเนินการแบบไหน
และเมื่อจบโปรเจ็กที่แสนยาวนาน
ร่างกายผมก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง
และเมื่อวันนั้นมาถึง . . .
ผมเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
และกลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ส่วนเจ้านายก็อยากใช้งานผมให้คุ้มกว่านี้
แต่เขาเลือกที่จะให้ผมออกไปหาแรงบัลดาลใจ
และแน่นอน ผมมอบเวลานั้นให้กับครอบครัว
ผมพาพ่อกับแม่ไปท่องเที่ยว
ตามสถานที่และสไตล์ของพวกเขา
แววตาที่เขามองผม
คือ ชายหนุ่มที่เติบโตมาภายใต้นามสกุลของพวกเขา
ลูกชายแต่กำเนิดมาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผมกลับบ้านไปหาพวกท่านบ่อยแค่ไหน
มันก็ยังนับครั้งได้ และไม่เคยยาวนานเลย
ครั้งนี้ผมเลยเตรียมเซอรไพร์ครั้งใหญ่ให้พวกเขา
ผมที่ไม่มีหนี้สินอะไร
ตั้งใจจะเติมความฝันของพวกเขา
นั้นคือ รถช๊อปเปอร์ในฝันของพ่อ
และรถที่แม่อยากได้มากที่สุด
การเซอร์ไพร์ในครั้งนี้นั้นได้เติมเต็มให้ผมเป็นอย่างมาก
และสุดท้ายที่ทำให้เกิดประโยคที่ผมต้องช็อค
นั้นคือผมได้ซื้อบ้านให้พวกเขา
ณ สถานที่ที่สงบมาก และมีพื้นที่ให้ทำการเกษตร
ตามอาชีพที่พวกเขาทำ
ผมรู้ดีว่าพวกเขาไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยและรับเงินจากลูกชายฝ่ายเดียว
หัวธุรกิจที่ผมมี มันมาจากดีเอ็นเอหัวธุรกิจของพ่อ
และเมื่อทำเรื่องทุกอย่างจบ
แม่ก็ถามผมว่า "แทนที่จะเอาเงินมาซื้อนู่นนี่ให้พ่อกับแม่ ทำไมไม่เอาไปหาคู่ชีวิตล่ะ"
ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วพ่อก็พูดทันที
"อายุขนาดนี้แล้วระวังจะหายากเอานะ"
ผมยืนช็อคหายใจเข้าไม่หายใจออกอยู่สามสิบวินาทีก่อนตอบไปว่า
"มันคงยังไม่ถึงเวลาหรอกครับ"
ผมไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ผมตอบไปนั้น
ขณะเดียวกัน เวลาบางอย่างถูกนับถอยหลังจนเหลือศูนย์แล้ว
และใบ้เลย คือเวลาที่วงโคจรอีกวงจะเหวี่ยงมาทับกับผม
แม้ในความเป็นจริงจะพอมีคนเข้ามาบ้าง
แต่กฎของผมคือไม่เอาความรักมาปนกับงาน
ผมตัดทุกคนทุกหนทางเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้น
ผมจึงยังบ้างานและมีสมาธิอยู่กับการทำงานได้
ผมถูกเหวี่ยงให้ไปอยู่ในวงโคจรของธุรกิจ
และเป็นหุ้นส่วนกับคนนู้นคนนี้มากมาย
เงินเดือนหกหลักในวัยสามสิบคือความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิต
ที่เกิดขึ้นจริง และแน่นอนทุก ๆ วันผมมัวบ้าและสนุกอยู่กับงาน
และหลังจากนั้น ผมก็ถูกย้ายงานไปดูแลบริษัทย่อย
ตั้งแต่เริ่มโรงงานจนโรงงานผลิตลอตแรก
ทำให้ผมต้องตัดสินใจซื้อบ้านเล็ก ๆ อยู่
เป็นสองชั้นมีระเบียงสีขาวน้ำตาล
ครั้งแรกที่ผมเห็นผมก็ตกหลุมรักบ้านหลังนี้เลย
ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน
ผมก็ไปเจอรถในฝันของผม นั่นคือ ฟอร์ด มัสแตง ปี 1969
ผมเข้าไปถามคนที่ขายรถคันนี้
เขาได้เล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจให้ผมฟัง
และผมก็ซื้อทันทีในวันนั้น รวมถึงจ่ายคุณค่าของเรื่องราวนั้นด้วย
ผมรับปากว่าจะดูแลคุณตาคันนี้ให้ดีที่สุด
และผมก็พาคุณตาไปปรับโฉมให้กลายเป็นคุณลุงกำยำ
ผมเดินทางไปไหนมาไหนด้วยคุณลุง
แทนที่จะเป็นมอไซค์ที่ผมใช้ตั้งแต่อยู่มหาลัย
ในทุก ๆ วันการทำงานของผมได้วนลูป
กิจวัตรที่ทำในแต่ละวันเกิดขึ้นซ้ำ
จนกลายเป็นความสงบที่ผมเองก็บอกไม่ถูก
ว่าทำไมมันถึงโหวง ๆ แปลก ๆ
และวันที่ผมขับรถหลงทางก็มาถึง
แล้วเย็นวันนั้นผมก็เหลือบไปเห็นร้านวินเทจขนาดเล็กร้านหนึ่ง
ผมรู้สึกถูกชะตาต้องใจเลยจอดรถและเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
พบว่ามันคือร้านแอลกอฮอล์เบียร์คราฟที่ผมไม่คิดว่าจะเจอ
ชีวิตของผมเลยถูกเติมเต็มอีกครั้ง
และเวลาผ่านไปร่วมสองเดือนที่ผมวนเวียนอยู่ร้านนี้ในทุกวันหยุด
แต่ครั้งนี้บรรยากาศมันเปลี่ยนไป แบบกระทันหัน . . .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in