เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
For me you are ..invisible me
ขอบคุณทุกบทเพลงที่ทำให้เรา..
  • “ไปเร็ว รถไฟกำลังจะออกแล้ว” ผมคว้าเป้ขึ้นสะพายพร้อมบอกเพื่อนอีกสองคนที่นั่งเล่นมือถืออยู่ในชานชาลาของสถานีรถไฟหัวลำโพง

     

    ใช่ครับ เรากำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่กันแต่จุดประสงค์ของพวกเราไม่ได้เหมือนกันสักเท่าไร

     

    ดิน แค่อยากจะหนีจากการเรียนที่ทำมันปวดหัวอยู่หลายเดือนเพื่อมาทำสารคดีที่เชียงใหม่ตามคำชักชวนของผม

    เก้า แค่อยากจะกลับไปหาครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนานและเมื่อมันรู้ว่าผมและดินนัดกันมาทำสารคดีที่นี่จึงขอติดสอยห้อยตามมาด้วย สบายพวกผมแหล่ะครับ ได้ที่พักฟรี

     

    ส่วนผมตั้งใจว่าจะมาเขียนสารคดีท่องเที่ยว

    ครับ นั่นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น จริงๆแล้ว ผมอยากมาเจอคนคนนึงไม่รู้ว่าจะได้เจอหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร ขอให้ได้อยู่ใกล้เขามากที่สุดก็พออย่างน้อยจังหวัดเดียวกันก็น่าจะย่นระยะทางความคิดถึงได้ดีกว่าตอนที่อยู่กันคนละภาคแบบนี้

     

    เสียงเครื่องจักรของรถไฟดังขึ้น เราสามคนเดินหาที่นั่งกันตามตัวเลขที่ถูกพิมพ์ไว้บนบัตรโดยสาร


    ตื่นเต้น..ไม่รู้ว่าตื่นเต้นเพราะนี่คือการเดินทางไกลด้วยตนเองครั้งแรก

     

    หรือเพราะ จะได้ไปในที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่

     

    ผมนั่งมองโทรศัพท์ตัวเองทุกห้านาทีจะทักเขาไปดีไหม ข้อความของผมเมื่อหลายเดือนก่อนเขายังไม่ได้ตอบกลับเลยหรือผมควรจะรอจนกว่าเขาจะตอบ สมมติถ้าเขาตอบมาตอนผมกลับกรุงเทพแล้วล่ะจะทำอย่างไรดี

     

    “มึง มึงว่ากูทักเขาไปเลยดีปะวะ” ผมตัดสินใจไลน์ไปหาเพื่อนสนิท อย่างน้อยก็ยังมีคนรู้เรื่องระหว่างเขากับผม ให้ผมมั่นใจว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งเรื่องของเราก็เคยเกิดขึ้นจริง

    “ทักไปดิ ลองดู” มันตอบกลับแทบจะทันที

    “ทักไปว่าไงดีวะ”

    “บอกไปว่ากำลังไปหานะ”

    “ก่อนพิมพ์มึงคิดบ้างปะเนี่ย บอกไปแบบนั้นก็แย่ดิวะ”

    .

    .

    .

    เอางี้แล้วกัน

    ผมตัดสินใจถ่ายรูปตัวเองส่งไปให้เขา

    หน้าแย่จัง.. งั้นให้โผล่มาแค่ไหล่พอ

    ส่งแล้วนะ..

     

    “อะไรอะคุณ” ข้อความจากเขาเด้งขึ้นมาทันทีที่ส่งไป

     

    ผมตัดสินใจถ่ายบรรยากาศในรถไฟไปแทน

    เออ ทำไมเมื่อกี้คิดไม่ได้วะ

     

    “อยู่บนรถไฟแล้ว ตอนนี้น่าจะถึงนครสวรรค์”

    “เฮ้ย มาแล้วเหรอ”

    “ใช่แล้ว”

    “มาเจอกันหน่อยเปล่า”

     

     

     

    “กล้าเปล่าล่ะ” ผมพิมพ์ตอบกลับไป แม่งเอ้ย มือสั่น

    “ได้ นัดวันมา เราว่างทุกวันเสาร์กับพฤหัส”

    “งั้นเดี๋ยวดูก่อน เราไม่รู้จะอยู่กี่วัน”

    “หนาวเปล่าคุณ”

    “ก็หนาวอะ อากาศเย็นแล้ว ยิ่งตอนรถวิ่งลมตียิ่งหนาว”

    “เสื้อกันหนาวอะเอามาไหม”

    “เอามา”

    “แล้วใส่หรือยัง ใส่เลยดิ”

    “ใส่แล้ว”

    “ดีมาก อากาศมันหนาวดูแลตัวเองด้วยนะคุณ ใส่เสื้อผ้าหนาๆเดี๋ยวจะไม่สบาย”

    คำพูดไม่กี่คำของเขาทำให้ใจผมอุ่นขึ้นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพัดเข้ามาจากหน้าต่างห้องโดยสารรถไฟ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดไปตามมารยาทหรือเพราะเป็นห่วง แต่ที่แน่ๆคนที่หวั่นไหวน่าจะเป็นผมอีกเช่นเคย

    เขามักจะโผล่มาตอนที่ผมคิดถึงเขาแทบขาดใจแล้วก็จะหายไปในวันที่ผมดีขึ้น   ทุกครั้งที่เขาหายไปผมต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งเพื่อลืมและเมื่อนับจนจะถึงร้อย เขาก็กลับมาเพื่อให้ผมวนกลับไปเริ่มนับใหม่อีกรอบ

     

                    รถไฟถึงสถานีเชียงใหม่ตอนเวลาเกือบจะตีห้าพ่อของเก้ายืนถือป้ายกระดาษใบใหญ่รอรับพวกเราอยู่ มองไปมองมาเหมือนอยู่สนามบินช่วงสายของวัน หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย เราย้ายขบวนกันไปดอยอินทนนท์ จริงๆไม่ได้อยู่ในตารางของผมกับดินหรอกครับเพราะเราสองคนกะว่าจะมากันเรื่อยๆ ไม่ได้วางแผนอะไร แต่พอมีเก้าเข้ามากลายเป็นว่าสารคดีเรามีเรื่องให้เขียนเยอะแยะไปหมดเราตัดสินใจว่าจะอยู่กันสักห้าวันพอ ถ้ามากกว่านี้คงต้องไปดรอปเรียนแล้ว

     

                    รถกระบะสีเขียวแก่แล่นสู่ถนนใหญ่ผ่านตึกสูงและบ้านเรือนมากมาย เชียงใหม่ตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับย่านอโศก หากจะมองให้ดีที่ต่างก็คงมีเพียงภูเขาสีเขียวเข้มที่เป็นแบคกราวน์คอยเติมเต็มช่องว่างระหว่างตึกเท่านั้นผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นตึกดีไซน์เก๋ มีป้ายภาษาอังกฤษแปะไว้ว่า “MAYA”  ห้างนี้เองหรือที่เขาชอบเดินกับเพื่อนแล้วถ่ายรูปมาตั้งเป็นโปรไฟล์ของไลน์แล้วผมก็จะน้อยใจทุกครั้งที่เห็นว่าเขาเปลี่ยนภาพโปรไฟล์แต่ไม่ยอมตอบข้อความจากผม

                    หลายวันที่อยู่เชียงใหม่ผมกับเพื่อนตระเวนไปด้วยกันหลายที่ ผมเองก็พาเขาไปด้วยทุกที่ในความคิด เอาแต่เฝ้าคิดว่าเรานั่งฟังเพลงที่ชอบฟังด้วยกันตอนนั่งรถแดง   นั่งคุยถึงวงดนตรีที่ผมกับเขาชอบข้างอ่างแก้ว หรือแม้กระทั่งตอนได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากศิลปินข้างทางผมก็เผลอคิดไปว่าเขามายืมฮัมเพลงอยู่ข้างๆ ในใจยังหวังลึกกๆว่าเราสองคนจะได้เจอกัน  บางทีเราอาจจะเดินสวนกันโดยที่ต่างคนต่างไม่รู้ตัว

     

                    “ไปไหนก็มาบอกเราก็ได้นะรีวิวด้วยดีไม่ดี บอกทิ้งไว้ในนี้แหล่ะ เผื่อที่ไหนที่คุณไปแล้วเราบังเอิญอยู่ใกล้ๆ จะได้เจอกัน”

                    ข้อความสุดท้ายจากเขาเมื่อสองวันก่อนบอกมาแบบนี้ส่วนเจ้าของข้อความน่ะเหรอ คงกำลังวุ่นกับเรื่องเรียนน่าดูและผมก็กำลังทำหน้าที่เป็นผู้รายงานที่ดีคอยบอกว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้แม้ว่าเขาจะยังไม่เปิดอ่าน

    “พรุ่งนี้เรากลับแล้ว เอาไง เจอกันไหม”ผมตัดสินใจส่งข้อความไปอีกครั้ง

    “อ้าว กลับไวจัง เราไม่ว่างเลยอะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจมันถึงหวิวๆตอนรู้ว่าจะไม่ได้เจอกัน ทั้งที่เตือนตัวเองไม่ให้คาดหวังแล้วแท้ๆ

    “ไม่เป็นไร เอาไว้รอบหน้าเรามาคนเดียว คุณพาเราเที่ยวด้วย”

    “ได้เลย ไว้มาอีกนะ”

                    ผมสูดลมหายใจเข้าจนสุดเหมือนต้องการเก็บอากาศที่นี่ใส่ปอดกลับไปยังกรุงเทพด้วยก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถบัสสีน้ำเงินคันใหญ่ตามเพื่อนทั้งสองคนไป

                    ดีแล้วที่เราไม่ได้เจอกันไม่อย่างนั้นผมคงห้ามความรู้สึกตัวเองได้ยาก ผมไม่อยากชอบคุณไปมากกว่านี้

     ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงค่อยๆหายจากกันและกันไปและยังเหลือแค่ผมที่จำเรื่องของเราได้ทุกฉาก ผมไม่ได้ฟูมฟาย ไม่เคยฟูมฟายเลยต่างหาก มีเพียงความเสียดายที่ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ไปได้ไกลกว่านี้ แม้จะเอาแต่เฝ้าถามตัวเองว่าผมทำอะไรพลาดไปแต่สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็คงจะเป็นแค่        ในโมเม้นต์นั้นสำหรับผมเขาคือคนที่ใช่แต่ในขณะเดียวกันสำหรับเขาผมอาจยังไม่ใช่..



    ทันทีที่รถบัสเคลื่อนตัวออกจากอาเขตผมจะทิ้งเรื่องของเราไว้ตรงนี้ และผมสัญญาว่าจะกลับมาเป็นเพื่อนของคุณเพื่อนที่ชอบฟังเพลงเหมือนคุณ เพื่อนที่ชอบดูหนังแนวเดียวกับคุณและเพื่อนที่เคยแอบชอบคุณ

     

    ขอบคุณทุกบทเพลงที่ทำให้เราเคยได้ใกล้ชิดกัน. 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in