"ปากเสีย ซี้ซั้วต่าพูดมาได้ไง ยังไม่ตายเสียหน่อย” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับฉันตะโกนด่าหลังได้ยินคำตอบ
"เอ้า ต้องตายก่อนด้วยหรอถึงจะไปได้ งั้นกูก็ผ่านการตายมานับไม่ถ้วนแล้วไงตอนไฟนอลโปรเจ็กต์"
ฉันตอบกลับขำๆอย่างไม่จริงจังตามประสาเพื่อนสนิทคุยกับเพื่อนสนิทแบบตั้งใจกวนใส่อีกฝ่ายหน่อยๆ แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำด้วย และด่ากลับมาอีกสองสามคำพร้อมส่ายหน้าอย่างระอา
ถ้าคุณคิดว่าได้ยินคำถามนี้บ่อยที่สุดแล้ว เราขอนำเสนอคำถามที่ทุกคนที่เพิ่งผ่านพ้นสถานภาพนิสิตนักศึกษาหลังจากเซ็นชื่อส่งไฟนอลโปรเจ็กต์ใบสุดท้าย ชนิดที่ว่าหมึกปากกายังไม่ทันแห้ง สมองที่เพิ่งผ่านการคิดงานมาหมาดๆ กำลังดี๊ด๊าเตรียมเก็บเสื้อผ้าไปพักร้อนก็ต้องหยุดชะงัก ยั้งการเดินทางเอาไว้ก่อน
เพราะคำถามที่ว่า เรียนจบแล้วไปไหน? ได้มาทำลายสถิติของคำถามด้านบนอย่างราบคาบ
สายวิชาที่ฉันร่ำเรียนมาเป็นสายวิชาที่หากถามเหล่าคนรุ่นแม่แล้ว ก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสายที่ดูมีความมั่นคงน้อยที่สุดเห็นจะได้ ทำให้ฉันรวมถึงเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคนต่างไปไม่เป็น คิดเห็นไม่ถูก เมื่อได้ยินคำถามนี้ ไอ้ประเภท เรียนจบแล้วเหนื่อยไหม? ทำโปรเจ็กต์จบเป็นยังไงบ้าง? ให้เราได้พอเล่าความภาคภูมิใจ หรือลดความเหนื่อยล้าจากการปั่นงานอย่างหนักหน่วงนั้น อย่าได้หวังเลย แต่เอาเถอะ ชีวิตคนเรามันไม่ได้รับคำถามที่อยากตอบเสมออยู่แล้ว ต่อให้หนีไปประกวดมิสยูนิเวิร์สก็ยังเลี่ยงไม่ได้ ฉันตระหนักในความจริงข้อนี้ดี เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนที่เคยถามได้อ่านอยู่ ก็... ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะ (ยิ้มกวาดสายตา)
สำหรับฉันที่จบมาด้วยเอกการโฆษณา ทางให้เลือกก็มีไม่กี่ทาง อย่างการทำงานบริษัทเอเจนซี่โฆษณาที่เป็นทางตั้งต้นอย่างที่เด็กเรียนจบสายนี้ควรจะทำ ไปเวิร์กแอนด์ทราเวล หรือไปเรียนต่ออะไรก็ตามแต่ใจจะปรารถนา แต่ที่มาที่ทำให้ฉันกำลังพิมพ์สิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้คือคำตอบเดียวกันกับที่บอกเพื่อนไปแล้วโดนด่า กลับมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันใช้ตอบตัวเองด้วยเช่นกัน
"ไปที่ชอบที่ชอบ" คือคำตอบนั้น และสำนักพิมพ์บัน คือที่ชอบที่ชอบนั้น
แต่จะโกรธกันหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าที่ชอบไม่ได้หมายความว่าชอบสำนักพิมพ์ เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่รู้กระบวนการทำงานด้วยซ้ำ ถึงไม่สามารถพูดได้ว่าชอบ อย่างเต็มปาก ฉันรู้ (หรือคิดเอาเอง) เพียงแค่ว่ามีอย่างหนึ่งที่ฉันชอบ คือ การเขียน ที่จะต้องเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของสถานที่แห่งนี้มากกว่าที่อื่นอย่างแน่นอน
เอาวะ ขึ้นชื่อว่าสำนักพิมพ์แล้ว มึงต้องได้เขียนแน่ๆ
ดังนั้นเมื่อสำนักพิมพ์ชื่อน่ากินอย่าง บันบุ๊คส์ เปิดรับสมัครเด็กฝึกงานตำแหน่งกองบรรณาธิการ ฉันจึงไม่รอช้า ส่งเรซูเม่บวกงานเขียนที่พอจะมีติดตัวอยู่บ้างจากการเลือกวิชาโทในสาขาวารสารฯ ไปในทันใด
ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์บันเลยสักเล่ม (ถึงจะสำนักพิมพ์อื่นก็น้อย) อาจเป็นเพราะตั้งแต่มีโซเชียลมีเดียเข้ามาพัวพันในชีวิตก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มห่างเหินกันไป การอ่านหนังสือเล่มใหญ่จบภายในข้ามคืนจึงหายสาบสูญไปจากวงจรชีวิตชนิดตามหาตัวไม่ได้อีก แม้แต่ความชอบเดินเข้าร้านหนังสือบ่อยๆก็เป็นกาวใจให้เราไม่ได้ ความใฝ่ฝันที่อยากเป็นนักเขียน มีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่ม เหมือนจะฝันไปก็ขายขี้หน้าตัวเอง เพราะปีๆ หนึ่งแทบไม่อ่านหนังสือจบเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาสักเล่ม
เอาน่ะ ขึ้นชื่อว่าสำนักพิมพ์ มึงต้องได้อ่านหนังสืออยู่แล้ว
ดังนั้น สรุปได้ว่า ที่ชอบที่ชอบ ของฉันในที่นี้คือสถานที่ที่ประกอบไปด้วยสิ่งที่ฉันชอบทำ และอยากทำรวมอยู่ด้วยกัน นั่นคือ การเขียนและการอ่าน และเป็นที่ที่มีโลเคชั่นตั้งอยู่ใกล้กับความฝันที่อยากเป็นนักเขียน มีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่มมากที่สุด
ฉันจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำพร้อมกับป้ายห้อยคอที่เขียนว่า '’พิม กองบรรณาธิการ BUNBOOKS’ บนตึกสีเหลืองอ่อนชั้น 5 ในรัชดาซอย3 (ที่ไม่มีอะไรอร่อยเลย) แห่งนี้ ในเวลานี้
เรื่องราวในอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันเองก็กำลังติดตามตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออยู่ เหมือนกัน
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ฉันก็บอกเพื่อนได้อย่างไม่โดนด่ากลับมาว่า 'กูได้อยู่ที่ชอบที่ชอบแล้วนะ’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in