เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the eleventh day
  • วันนี้ ผมรู้สึกว่าห้องตัวเองแปลกไป ทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรอยู่ผิดที่ผิดทาง


    แต่หลังประสบเหตุการณ์เสี่ยงให้เป็นโรคหัวใจอ่อน ๆ ติด ๆ กันเข้า ผมไม่ควรไว้ใจประสาทการรับรู้ของตัวเองเท่าไหร่นัก ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นซีรีส์ดราม่าเขย่าขวัญ เรื่องน่าตื่นเต้นพวกนี้คงทำให้ยิ่งน่าติดตามสุด ๆ จนนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่ผมอยากจะกดเรตติ้งให้ต่ำกว่าหนังตลกเกรดบีห่วย ๆ ผมถอนหายใจ อยากสูบบุหรี่ขึ้นมาตงิด ๆ ให้ความร้อนผลาญตะกอนอารมณ์ที่ตกค้างให้หมดสิ้น


    เสียงตึงตังดังมาจากโถงทางเดินทำเอาพื้นไม้ใต้เท้าสั่นไหวนิด ๆ ผมมองลอดตาแมวออกไปด้วยความสงสัย เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังขนกล่องกระดาษขนาดใหญ่ขึ้นมาจากบันได โดยมีร่างเล็ก ๆ ของคุณคานาตะเดินตามติด ๆ ผมแง้มประตูออกไป เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนทักทายผมอย่างอารมณ์ดี ผมถามถึงสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นอย่างใคร่รู้ 


    “อ้อ ต้นคริสต์มาสน่ะ ที่จริงมันควรจะมาถึงก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้วรู้ไหม บริษัทพวกนี้ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ“ ผมเพิ่งสังเกตว่าเธอถือลังบรรจุของประดับต้นไม้ ทั้งสายไฟแอลอีดี ลูกตุ้มหลากสีหลายขนาด ตุ๊กตานางฟ้าตัวจิ๋ว “ต้นเก่าของฉันมันโทรมจนดูจะแก่กว่าฉันอีก ฉันน่ะไม่ยอมแพ้พวกห้องอื่น ๆ หรอก โดยเฉพาะเมอร์ซิเออร์อองตีลล์ เขาอวดได้ทั้งวี่ทั้งวัน“ เธอยิ้มให้ผม ท่าทางเหมือนพลทหารที่ได้อาวุธชิ้นใหม่พร้อมจะทำสงคราม เธอเอ่ยปากถามว่าผมอยากมาช่วยเธอแต่งต้นคริสต์มาสไหม ผมไม่ลังเลตอบตกลง


    ❄❄❄


    เมื่อติดดาวบนยอดต้นไม้เสร็จ ผมเอิ้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ ใจเต้นตึกตักเหมือนกลับไปอายุเจ็ดขวบ หลอดไฟกระพริบเล็กน้อยก่อนเปล่งแสงสีเหลืองนวล ร่ายมนตราแห่งการเฉลิมฉลองไปทั่วทั้งบริเวณ


     วินาทีนั้นเอง ผมก็คิดออก ว่าทำไมรู้สึกว่าห้องตัวเองถึงดูแปลกไป 


    ❄❄❄


    เทศกาลคริสต์มาสที่ยุโรปให้บรรยากาศแตกต่างกับที่บ้านราวกับอยู่คนละโลก ไม่มีแสงไฟจากตึกระฟ้า ไม่มีบิลบอร์ดโฆษณามหึมาตรงสี่แยก ไม่มีเพลงป๊อปที่เปิดกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนหลอนหูทั้งที่เนื้อหาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวันคริสต์มาสจริง ๆ สักนิด ผู้คนอาจคึกคักสู้สีกันอยู่ ครอบครัว คนรักต่างพากันออกมาหลงระเริงไปกับระบบทุนนิยมในคราบของวันหยุด 


    ท่ามกลางคนแปลกหน้าที่ห้อมล้อม ผมปล่อยตัวเองไหลไปกับกระแสผู้คนคับคั่ง เดินย่ำคราบดินโคลนบนพื้นหินจากฝนที่ตกเมื่อวาน หวังให้สติสัมปะชัญญะค่อย ๆ เลือนหายไปจนสิ้นตัวตน ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดจะได้เป็นเพียงฝันร้ายจากค่ำคืนหนึ่ง ทั้งเส้นผมนุ่มที่พาดแก้มจนได้กลิ่นแชมพูจาง ๆ ความชื้นแฉะบนไหล่ ร่างกายที่สั่นเทาและเสียงสะอื้นไห้ที่ผมหยุดไว้ไม่ได้ 


    สะพานแซงต์มิเชลอยู่อีกแค่ร้อยเมตรข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าคนเริ่มจอแจมากกว่าเดิมเท่าตัว เพราะเมื่อข้ามแม่น้ำแซน ถัดออกไปทางด้านขวาแค่นิดเดียว สิ่งก่อสร้างโอ่อ่าของน็อตร์-ดามจะปรากฎแก่สายตา น่าเสียดายที่ตลาดคริสต์มาสด้านหน้ามหาวิหารเพิ่งหมดไปเมื่อวานนี้ ไม่งั้นผมคงได้เสียเงินซื้อของประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธีมาไว้ที่ห้องบ้าง คือถ้าจะให้ลงทุนซื้อต้นคริสต์มาสสักต้นก็ดูจะมากเกินไปสำหรับชายโสดที่คงต้องฉลองเพียงลำพัง อย่างที่เขาพูดกันไว้ไม่มีผิด โดดเดี่ยวเดียวดายในช่วงคริสต์มาสเลวร้ายกว่าวาเลนไทน์หลายสิบเท่า 


    ผมเดินเลี่ยงมวลนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่ยืนออกันเต็มถนน เปลี่ยนทิศไปยังพื้นที่โล่งทางด้านซ้ายซึ่งมีคนยืนอยู่ประปราย ผมกวาดตามองบรรยากาศรอบ ๆ อย่างใจลอย และในบรรดาคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนถ่ายรูปน้ำพุขนาดใหญ่สมัยหลุยส์-นโปเลียน สายตาผมเหลือบไปเห็นใบหน้าที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ


    ใจผมไม่รู้ว่าควรเข้าไปทักดีหรือไม่ แต่ร่างกายกลับขยับเองอัตโนมัติจนมายืนอยู่ข้าง ๆ เขาเสียแล้ว ผมไล่มองตามสายตาคู่นั้นที่จับจ้องประติมากรรมสำริดประดับน้ำพุ อัครทูตสวรรค์มิคาเอลชูดาบขึ้นเหนือหัว มือข้างหนึ่งชี้ขึ้นสวรรค์ป่าวประกาศชัยชนะของพระผู้เป็นเจ้า ซาตานผู้ถูกกำราบนอนสยบแทบเท้าแต่ยังดูดื้อดึงว่าจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หมอนั่นไม่มีท่าทีตกใจที่เห็นผม แถมส่งยิ้มเป็นการทักทาย อ่อนล้าและอ่อนโยน บรรยากาศครึ้มฝนทำให้ดวงตาคู่นั้นกลับมาเป็นป่าสนอีกครั้ง


    “ถ้าวันนี้อยากจะแวะที่ร้าน ก็ไปได้นะ ฉันแค่มาพักทานข้าว“ ผมขมวดคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่าเขาเคยปิดร้านช่วงกลางวันสักหน อีกฝ่ายเหมือนอ่านใจผมออก เสียงหัวเราะพลันดังในลำคอ 


    “กินแต่อาหารที่ตัวเองทำก็ต้องมีเบื่อกันบ้างสิ“ พลางหยิบกล่องใส่บุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทสีเบจ “เอาด้วยไหม“ ผมหยิบไปมวนหนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อรับไฟที่อีกฝ่ายจุดให้ ใบหน้าใกล้ชิดจนเห็นแพขนตาสีอ่อน 


    “ไม่รู้ว่านายสูบด้วย“ ผมพูด พลางสูดเอาเปลวควันร้อนเข้าปอดช้า ๆ ปล่อยให้นิโคตินค่อย ๆ ทำงาน 


    “ก็ช่วยให้จิตใจสงบขึ้นมาได้บ้าง วันไหนที่แย่หน่อยฉันแทบสูบหมดเป็นกล่อง“ เขาตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย สายตาเลื่อนลอยไปไกล ให้ภาพที่ขัดกับชายหนุ่มที่ใจแตกสลายลงเมื่อวาน 


    รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ควรพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดถึงอีก แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริง ๆ “ยัยจอมเขมือบก็รู้เรื่องด้วยใช่ไหม“ นั่นเรียกร้องความสนใจเขาได้ชะงัก ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ


    “ฉันขอท้าให้นายเรียกเธออย่างนั้นต่อหน้าเจ้าตัว“ เขายังหัวเราะร่าจนสำลักควันเสียใหญ่ แต่ก็ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มเศร้า เขาไม่ได้ตอบผม แต่เล่าเรื่องสมัยที่เพิ่งเข้าเรียนปีแรก ตอนยังเป็นเจ้าโย่ง ตัวผอม ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาที่วัน ๆ เอาแต่จมอยู่กับหนังสือ และแล้ววันหนึ่ง ขณะกำลังอ่านเลคเชอร์ในโรงอาหาร ก็ได้ยินเสียงไม่คุ้นหูดังขึ้นใกล้ ๆ ก่อนจะเงยน่าขึ้นมาเจอะหญิงสาวผู้มีดวงตากลมโต ที่ฉายแววว่าเธอจำเขาได้ว่าเป็นคนในเอกเดียวกัน และสิ่งแรกที่ออกมาจากของเธอไม่ใช่  ‘สวัสดี‘ แต่เป็น ‘มันฝรั่งบดนี่นายไม่กินแล้วใช่ไหม ฉันขอนะ‘ ผมกลั้นยิ้ม หมอนั่นบอกว่าเขาจำประโยคนั้นไปจนวันตาย


    “เธอเป็นคนเดียวที่ฉันเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน“ เขาหลับตาลง “เธออยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ว่าจะตอนแม่เข้าโรงพยาบาล หรือตอนที่ฉันตัดสินใจว่าจะออกมาดูแลร้านต่อ มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวของแม่ที่ยังหลงเหลืออยู่“ เขาสูบบุหรี่เฮือกใหญ่ ริมผีปากสั่นเครือและเริ่มพูดต่อ เสียงเขาเบาลงราวกำลังสารภาพบาป 


    “ตอนที่ตำรวจโทรมาแจ้งข่าวน่ะ ความรู้สึกแรกเลยคือโล่งใจเป็นบ้า ในที่สุดปีศาจถูกปลดปล่อยเสียที“ เขาค่อย ๆ ลืมตา เงยมองใบหน้าของซาตานที่ฉุนเฉียว สนิมทองแดงกัดกินจนสำริดกลายเป็นสีเขียวคล้ำ “แต่พอเป็นอิสระ มันกลับโดดเดี่ยวแทบทนไม่ไหว จนสุดท้ายฉันก็ต้องยอมรับว่าฉันคิดถึงเขา ฉันเกลียดตัวเองที่ต้องรู้สึกแบบนี้ทุกวัน แต่ทำไงได้ ฉันคงปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาเป็นพ่อของฉันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ หึ นายจะว่าฉันบ้าไปแล้วก็ได้นะ“ เขาแค่นหัวเราะ ส่วนผมภาวนาให้น้ำที่เอ่อคลอในตาของเขาเป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายที่รับเอาควันแสบร้อนเข้าปอดมากเกินไป 


    “ถ้าแม่ยังอยู่ เธอคงพูดว่าฉันเหลวไหลทั้งเพ แย่กว่านั้นคือเธอคงปลอบใจฉันว่าพระเจ้ายังอยู่กับลูกเสมอเทือก ๆ นั้นแน่นอน ซึ่งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยสักนิด“


    “นายเชื่อไหม เรื่องพระเจ้าน่ะ“ ผมถามขึ้น หลังเขาเงียบไปสักพัก


    หมอนั่นนิ่งไปชั่วขณะ “ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นฉันเมาขนาดไหน“ แท่งยาสูบสลายกลายเป็นควัน ส่วนที่เหลือร่วงลงบนพื้นถนน แสงไฟมอดดับใต้รองเท้าที่บดขยี้


    คริสต์มาสอีฟพิลึก ถ้าผมยังอยู่ที่บ้าน ผมคงกำลังเดินเตร่ในงานการกุศลที่ครอบครัวดูแลสักที่หนึ่ง ไม่ใช่มามีบทสนทนาว่าด้วยวิกฤตอัตถิภาวนิยมต่อหน้าสิ่งก่อสร้างยุคจักรวรรดิที่ 2 กับชายหนุ่มที่รู้จักกันเพียงแค่เพียงอาทิตย์กว่า ๆ ผมอาจกำลังช่วยเขาตกแต่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือจัดเตรียมอาหารที่โบสถ์สำหรับแจกผู้ไร้บ้านในวันรุ่งขึ้น ไม่ก็ซ้อมร้องเพลงคอรัสกับบาทหลวงชราที่พยายามชวนให้ผมเป็นสมาชิกถาวรของที่โบสถ์เป็นประจำ และมักชมเสียงบาริโทนทุ้มต่ำของผมให้แม่ฟังบ่อย ๆ หวังให้เธอโน้มน้าวใจผมอีกที (แน่นอนว่าไม่สำเร็จหรอก) สำหรับผมที่เพิ่งโดนตามใจในวันฉลองวันเกิดไปก่อนหน้านั้นไม่นาน คริสต์มาสดูจะไม่ใช่เรื่องของการได้เปิดของขวัญ แต่คือเวลาของ ‘ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ที่หลงทาง ดั่งที่พระเยซูคริสต์ยอมสละชีพเพื่อชำระบาปให้พวกเรา‘ ถ้าผมจำที่แม่เคยพูดไว้ไม่ผิดนะ ตอนนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเขา


    “ฉันคงต้องกลับร้านแล้ว“ เขาจัดปกเสื้อ “เออใช่ บอกไว้ก่อนนะว่าพรุ่งนี้ร้านปิด“ ก่อนยกมือจะล่ำลา 


    ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี อะไรสักอย่างดลใจให้ผมแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าของทูตสวรรค์มิคาเอลที่ส่งสายตาไม่สบอารมณ์กลับมา ส่งเสียงดุเป็นเชิงว่า ‘จะไม่ทำอะไรสักอย่างเลยรึ เจ้ามนุษย์‘ 


    ผมเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาหมับจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ส่วนใจผมเต้นตึกตัก เผลอพูดเสียงดังจนคนรอบ ๆ หันมามอง


    “พรุ่งนี้ไปเดินเล่นกันไหม“


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in